ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 235 ยอมรับ
แววตาของเผยถงเต็มไปด้วยจริงใจ ระหว่างคิ้วเผยความกลัดกลุ้มอยู่เลือนราง รวมกับนึกถึงคำที่เขาพูดก่อนหน้า คนส่วนมากเห็นสถานการณ์เช่นนี้คาดว่าล้วนเกิดความเห็นใจ เผยความเมตตาปรานีกันทั้งนั้น
น่าเสียดาย คนที่เขาพบกลับไม่ใช่คนส่วนมาก แต่เป็นพี่น้องกู้ซี
ไม่ว่ากู้ฉ่างหรือว่ากู้ซี ล้วนไม่คิดใช้ความรู้สึกปลอบใจเขาแม้แต่น้อย กู้ฉ่างถึงขนาดเค้นถามอย่างไม่หยุดหย่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงเห็นด้วยกับการไปเล่าเรียนที่สกุลกู้? เป็นเพราะหลายปีมานี้การศึกษาในสกุลเผยเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ?”
การศึกษาในสกุลเผยแตกต่างกับสกุลอื่นอย่างชัดเจน สกุลอื่นจะรับลูกหลานที่เป็นญาติทางการแต่งงานมาร่ำเรียนหนังสืออยู่บ้าง ถึงกระทั่งเพื่อใช้ประโยชน์เรื่องเส้นสาย ยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากรับลูกศิษย์ไม่ก็ถูกขอให้รับลูกหลานในสกุลยากจนข้นแค้นเอาไว้ บางครั้งยังออกค่าใช้จ่ายให้พวกเขาเข้าสอบขุนนาง ทว่าสกุลเผยกลับรับแต่ลูกหลานในสกุลตัวเอง นี่จึงทำให้คนอื่นไม่ค่อยคุ้นเคยกับลูกหลานสกุลเผย บางคนถึงขั้นไม่รู้ว่าสกุลเผยก็มีระบบศึกษาของตัวเองด้วยซ้ำ
กู้ฉ่างนั้นสงสัยใคร่รู้ต่อการศึกษาของสกุลเผยอยู่เรื่อยมา อยากหาโอกาสไปดู เขาถามคำถามนี้ ประการแรกคือสงสัยคำพูดของเผยถง ประการที่สองคืออยากหาโอกาสสืบเรื่องการศึกษาในสกุลเผย ดูว่าจะสามารถหาจังหวะเข้าไปเยี่ยมชมการศึกษาของสกุลเผยได้หรือไม่
ใครจะรู้ว่าเผยถงกลับส่ายศีรษะทั้งยิ้มขื่น เอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “ไปเรียนหนังสือที่สกุลกู้ ก็เพราะปลอบใจท่านแม่ของข้า ท่านก็คงเคยได้ยินมาก่อน หลังจากท่านแม่แต่งงานก็ใช้ชีวิตที่เมืองหลวงกับท่านพ่อเรื่อยมา ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับท่านย่านัก หลังจากท่านพ่อจากไป นางก็ตัวคนเดียว พูดได้ว่าไม่คุ้นชินกับเมืองหลินอันเลย ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวข้ามผ่านวันไปอย่างไม่สบายใจนัก ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศและการใช้ชีวิตในหลินอัน ฤดูหนาวแรกของหลินอัน มือนั้นแข็งจนแทบขยับไม่ได้ รวมกับการศึกษาของสกุลเผย ยามนี้มีนายท่านอี้ควบคุมอยู่ ปีนั้นท่านพ่อเคยขัดแย้งกับนายท่านอี้เพราะเรื่องการสอบเคอจวี่…ท่านแม่คิดกับตัวเองก็มักรู้สึกว่าข้าคงใช้ชีวิตอย่างอึดอัดเช่นกัน นางเป็นแม่ที่รักลูกสุดหัวใจ ครุ่นคิดว่าหลังจากนี้สกุลกู้…ก็จะเป็นสกุลพ่อตาข้า หากไปมาหาสู่กับคนของสกุลพ่อตาบ่อยครั้ง เฉกเช่นท่านพ่อของข้า กลายเป็นเพื่อนสนิทของพวกท่านลุงท่านอาในสกุลพ่อตา การใช้ชีวิตย่อมมีความสุขกว่าหลินอัน นี่จึงได้ตัดสินใจเรื่องนี้โดยพลการ ข้าไม่อาจทนให้ท่านแม่เศร้าโศกเสียใจ จึงรับปากไป ไม่เคยคิดว่ายังต้องก่อความเข้าใจผิดเช่นนี้ออกมา!”
กู้ซีถอนหายใจอย่างโล่งอก มองพี่ชายไปแวบหนึ่ง
กู้ฉ่างกลับยังคงเอ่ยว่า “ท่านพ่อของเจ้าขัดแย้งกับนายท่านอี้ได้อย่างไร?”
หากเพราะทรัพย์สินของสกุล สกุลเผยเป็นสกุลใหญ่มีกิจการนับไม่ถ้วน อย่าพูดว่าเพื่อส่งเสียจิ้นซื่อคนหนึ่งเลย กระทั่งหลังจากที่เผยโย่วเป็นขุนนาง สกุลเผยก็ยังคงช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายให้เขาเหมือนเมื่อก่อน ไฉนจึงขัดแย้งกันได้?
นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่กู้ฉ่างคิดว่าสกุลเผยเป็นสกุลที่เหมาะแก่การเกี่ยวดองอย่างยิ่ง
ใครก็รู้ว่าเงินเดือนของขุนนางนั้นน้อยยิ่ง เดิมทีก็ไม่พอเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัว ขุนนางที่ไม่มีสกุลคอยช่วยเหลือจุนเจือ จึงมักเดินทางผิดได้ง่าย
เผยถงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ควรให้ข้าที่เป็นผู้น้อยมาพูด แต่ว่า ในเมื่อท่านถามขึ้นมา ข้าก็ไม่กลัวว่าท่านจะฟังเรื่องขบขัน สกุลพวกเรามีกฎอย่างหนึ่ง ลูกคนโตของบ้านหลักไม่อาจเป็นขุนนางได้ ดังนั้นท่านปู่ทวด ท่านปู่ล้วนแต่หยุดการสอบขุนนางไว้ที่ขั้นจวี่เหรินเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสามารถจะสอบต่อไปแต่อย่างใด และเพราะมีกฎสกุลเช่นนี้ ยามที่ท่านพ่อข้ายังเยาว์วัย วิชาความรู้ไม่อ่อนด้อย รวมกับความเลือดร้อนในวัยหนุ่ม จึงไม่พอใจกฎข้อนี้ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง คิดจะสอบเคอจวี่ให้ได้ ภายหลังเมื่อสอบเป็นซู่จี๋ซื่อ ก็ดึงดันจะเป็นขุนนาง นี่ทำให้นายท่านอี้ไม่พอใจอย่างมาก เคยวิ่งโร่ไปถึงเมืองหลวงไถ่ถามท่านพ่อข้าด้วยตัวเอง ยามนั้นสถานการณ์ของทั้งสองคนไม่ดีอย่างยิ่ง ท่านแม่ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์พอดี…นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมท่านปู่จึงมอบตำแหน่งผู้นำสกุลให้กับอาสาม ทั้งข้าและท่านแม่ต่างก็เห็นด้วย”
กู้ฉ่างเคยได้ยินกฎข้อนี้ของสกุลเผยมาก่อน ยามนี้ได้ยินคำยืนยันจากปากของเผยถง เขาอดทอดถอนหายใจไม่ได้ “สกุลอื่นลำบากยากเย็นกว่าจะมีบัณฑิตคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าท่านพ่อของเจ้า เพื่อการสอบขุนนางแล้วกลับยินดีที่จะละทิ้งตำแหน่งผู้นำสกุล ช่างมีจิตใจที่สูงส่งจริงๆ เป็นบุคคลที่สมควรจะเอาอย่าง”
เผยถงหัวเราะ เอ่ยว่า “ท่านชมเกินไปแล้ว” แต่จากท่าทีของเขาก็สามารถมองออกว่า เขาภาคภูมิใจในตัวบิดาของตนไม่น้อย
เพราะความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เผยโย่วไม่ได้ผิด
เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสาม
เป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดของช่วงสามรุ่นที่ผ่านมา
กู้ฉ่างเอ่ยว่า “เรื่องคำสั่งเสียของท่านพ่อเจ้า ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ทำให้กระจ่างหน่อยเถิด”
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“เรื่องไปเรียนหนังสือที่สกุลกู้ เจ้าก็ควรไตร่ตรองให้มาก” ยามนี้กู้ฉ่างเข้าใจเผยถงแล้ว ย่อมให้ความดูแลเขาดั่งเป็นน้องสามีของตัวเองจากใจจริง การกระทำคำพูดก็ค่อนข้างปกป้อง “สกุลใหญ่อย่างเช่นพวกเรา กี่รุ่นกี่บ้านล้วนอาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งมีความขัดแย้งบางเรื่องที่ไม่อาจบอกให้คนอื่นรู้ได้ ข้ามีเพียงน้องสาวคนเดียว นางก็มีข้าเป็นพี่ชายเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่น จะไปมาหาสู่หรือไม่ก็เหมือนกัน ความสัมพันธ์อาจจะสู้เพื่อนร่วมหอเรียนตอนเด็กของเจ้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เจ้าอธิบายให้มารดาของเจ้าฟัง ให้นางอย่าได้คาดหวังไว้สูงนัก”
แทนที่จะคาดหวังสกุลกู้ ยังมิสู้คาดหวังสกุลหยาง
สกุลหยางมีสมาชิกครอบครัวที่เรียบง่าย ไม่มีเรื่องยุ่งวุ่นวายขนาดนั้น
เผยถงได้ฟังก็มีท่าทีตกใจ แต่เขาก็เก็บสีหน้าของตัวเองอย่างว่องไว คำนับให้กับกู้ฉ่างอย่างนอบน้อม กล่าวขอบคุณ ทั้งรับปากว่า “เรื่องนี้ข้าจะพูดกับท่านแม่ให้ชัดเจน ทางอาสาม ท่านก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปอธิบายกับเขาด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องเรียนหนังสือของข้า ข้าก็วางแผนจะพูดคุยกับนายท่านอี้เช่นกัน เชื่อว่าจากนิสัยของนายท่านอี้ แม้ว่าข้าจะผิด ก็คงไม่สร้างความลำบากใจให้เขาแน่นอน” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้ามองกู้ซี เอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “เพียงแต่ถึงเวลานั้นอาจจะทำให้คุณหนูกู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม จำต้องอยู่ในสกุลเผยกับข้าหลายปี ไม่อาจกลับสกุลมารดาบ่อยๆ ได้”
สิ่งที่กู้ซีชื่นชอบก็คือความเอาใจใส่นี้ของเผยถง
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่นายหญิงใหญ่เผยเป็นคนชอบช่วยเหลือจุนเจือสกุลมารดา
รอจนนางแต่งเข้ามา หากจะส่งเงินช่วยเหลือสกุลมารดา ไม่พูดถึงเรื่องนายหญิงใหญ่เผยจะยินดีหรือไม่ แต่เผยถงย่อมเคยชิน ไม่อาจมีความเห็นต่างอะไร พวกเขาคงไม่เกิดความขัดแย้งเพราะเรื่องเช่นนี้
กู้ซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายคิดมากไปแล้ว” ยังเคลื่อนสายตามองไปยังกู้ฉ่าง แฝงด้วยการขอความเห็นใจแทนเผยถงอย่างเลื่อนราง
กู้ฉ่างก็ไม่อาจสร้างความลำบากใจให้เผยถง หากกู้ซีแต่งเข้าไปจริงๆ ก็ทำได้เพียงหวังให้เผยถงดูแลปกป้องนาง เขาไม่อยากล่วงเกินคน
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” เขาหยัดกายขึ้นบอกลา “สยากวงยังรอพูดคุยธุระกับข้าอยู่ทางนั้น!”
แม้จะกล่าวว่าเป็นคู่หมั้นหมาย แต่อย่างไรก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน เผยถงไม่อาจรั้งตัวนาน เขาหันไปเอ่ยกับกู้ซีว่า “พบกันพรุ่งนี้” ก่อนจะตามกู้ฉ่างออกจากเรือนของกู้ซี ทั้งออกปากไปส่งกู้ฉ่างคุยธุระที่ห้องโถงด้วยท่าทีนอบน้อมสุภาพ ยังเอ่ยว่า “ข้านึกไม่ถึงว่าท่านจะเข้ามา หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ คงจะเตรียมเหล้าสุราต้อนรับท่านแล้ว ไม่รู้ว่าท่านจะออกจากหลินอันเมื่อใด? ไม่สามารถต้อนรับท่าน ก็ให้ข้าไปส่งท่านเถิด! ไม่อย่างนั้นข้าย่อมรู้สึกไม่สบายใจ”
ในน้ำเสียงยังแฝงด้วยท่าทีของเด็กหนุ่มที่ขาดประสบการณ์ต่อเรื่องภายนอก
จู่ๆ กู้ฉ่างก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าเหตุใดกู้ซีจึงเลือกเผยถงเป็นสามี
ยอมให้ตัวเองเลี้ยงดูปลูกฝังคนที่นิสัยใจคอเข้ากับตัวเอง ดีกว่าจะต้องตัวสั่นงันงกเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เบื้องล่างของเผยเยี่ยน
นี่ก็คือความหนักแน่นและหัวแข็งของเขา
พวกเขาสองพี่น้องยังคงคล้ายกัน!
กู้ฉ่างหัวเราะขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นกว่าเดิม เขากล่าวกับเผยถงว่า “หลังจากงานบรรยายธรรม ข้าจะพักในหลินอันอีกหลายวัน ถึงเวลานั้นย่อมไปดื่มกับเจ้า เจ้าอย่าดื่มจนเมาก็พอแล้ว”
เผยถงยิ้มอย่างกระดากอาย
ยิ่งเผยความเป็นหนุ่มสาวไม่ประสีประสาออกมา
กู้ฉ่างถามเรื่องการเรียนของเขาขึ้นมา
เผยถงตอบทีละคำถามตามความสงสัยใคร่รู้ของกู้ฉ่างอย่างตั้งใจ รอจนเผยถงส่งเขาที่ด้านนอกห้องโถง เขาก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกกับเผยถง ทดสอบวิชาความรู้กับเผยถงต่อ
จวบจนเถาชิงเดินออกมาจากห้องโถง เห็นเขาและเผยถงยังยืนพูดคุยอยู่ใต้ต้นแปะก๊วย ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าพี่สามีน้องเขยมีเรื่องอะไรค่อยพูดพรุ่งนี้ดีกว่า พวกเราในห้องล้วนรอเจ้าเพียงคนเดียว” ยามนี้จึงค่อยตัดบทกู้ฉ่างได้ เขาเอ่ยอย่างรู้สึกผิดกับเผยถง “ขอโทษด้วย” ก่อนจะส่งเผยถงออกไป เข้าไปในห้องโถงกับเถาชิง
เผยถงยืนอยู่ใต้ชายคาของประตูเรือน แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลงมา พาให้เงาครั้งหนึ่งของเขาอยู่ใต้แสงจันทร์ อีกครึ่งหนึ่งซ้อนทึบในเงามืด
สักพักใหญ่ เขาจึงค่อยๆ ออกจากเรือนนั้นไป
ในห้องโถง เถาชิงพูดเรื่องเผยถงกับเผยเยี่ยน “เด็กคนนั้นยิ่งโตก็ยิ่งหล่อเหลา ทั้งยิ่งคล้ายคนของสกุลพวกเจ้า งานแต่งของเขากำหนดแล้วหรือยัง? ยามที่เขาแต่งงานเจ้าอย่าลืมบอกข้าล่วงหน้าเสียหน่อย ข้าจะมาร่วมงานแต่งของเขาด้วย”
เผยเยี่ยนรับปากด้วยรอยยิ้ม วางท่าทีราวกับเป็นอาที่ดี
กู้ฉ่างอดชำเลืองมองเผยเยี่ยนไปทีไม่ได้
เผยเยี่ยนยิ้มอย่างเบิกบาน แตกต่างจากปกติที่มักเย็นชาและถือตัวโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าเขาเคยรู้จักกับเผยเยี่ยนมาก่อน อีกนิดก็คงคิดว่าเผยเยี่ยนตรงหน้านี้เป็นตัวปลอมไปแล้ว
เขารู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง
เผยถงแต่งงาน หาใช่เขาแต่งเองเสียหน่อย เขาจำต้องดีอกดีใจขนาดนี้เชียวรึ?
กู้ฉ่างมองเผยเยี่ยนไปอีกครั้ง
ไม่เพียงหางตาของเผยเยี่ยนจะเผยรอยยิ้ม แต่สีหน้ายังพอใจไม่น้อย นั่งพิงหมอนใบใหญ่ ไม่เหมือนผู้นำสกุลที่มาคิดเล็กคิดน้อยแก่งแย่งผลประโยชน์กับสกุลอื่น กลับกันคล้ายกำลังหยอกเย้ากับผู้นำสกุลพวกนี้ สุขสำราญใจอย่างยิ่ง
กู้ฉ่างนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องนี้มีอะไรให้สุขสำราญกัน
เขาขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดจากสีหน้าของเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แม้ว่ากู้ฉ่างจะมองพินิจเขาอย่างไร้มารยาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เคืองโกรธ
เขารู้สึกว่าอวี้ถังยังคงซื่อบื้ออยู่บ้าง
เขาพูดอะไรก็ว่าอย่างนั้น
เช่นนั้นเรื่องของสกุลหลี่ เขาก็ต้องวางแผนดีๆ เสียหน่อยแล้ว
อย่างแรกคือไม่อาจให้สกุลพวกเขารักษาเรือนที่ซื้อใหม่ในหังโจวได้ อย่างที่สองทางที่ดีที่สุดให้บ้านสายตรงสกุลหลี่ลงมือจัดการพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่อาจพูดอะไรแล้ว แม้จะเป็นเสิ่นซ่านเหยียน ก็ต้องทำให้เขาไม่ขอความช่วยเหลือแทนหลี่ตวนอีก ทางที่ดีต้องกลายเป็นศัตรูกันไปเสีย ไม่อย่างนั้นจากนิสัยพูดร่ำรี้ร่ำไรของเสิ่นซ่านเหยียน หากไปพูดเกลี้ยกล่อมใครมาช่วยเหลือสกุลหลี่อีก เขาก็ยังต้องเสียแรงขัดขวาง…
เขาครุ่นคิดในสมองกลับไปกลับมา กระทั่งยามที่นายท่านใหญ่อู่ถามเขาว่าได้หรือไม่ เขายังดึงสติกลับมาไม่ได้ว่านายท่านใหญ่สกุลอู่ถามอะไรด้วยซ้ำ ทำเพียงตอบไปอย่างคลุมเครือ “เรื่องนี้ข้าต้องครุ่นคิดให้ละเอียดเสียหน่อย” พาให้เถาชิงส่งสายตาพิฆาต รอจนนายท่านใหญ่สกุลอู่ไปถามคนอื่นต่อ เถาชิงจึงค่อยถามเขา “วิญญาณของเจ้าหลุดไปอยู่ตรงไหนแล้ว นายท่านใหญ่สกุลอู่กล่าวว่าเงินสองแสนตำลึงนั่นสกุลพวกเขายินดีแบ่งปัน เรื่องดีเช่นนี้เจ้ากลับไม่รับปากไป คงไม่ใช่ว่าเจ้าถูกสิ่งใดสิงร่างอยู่กระมัง” ยามนี้เขาจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไป
แต่เขาก็ปลอบใจตัวเองว่า คนที่นั่งทั้งหมดนี้เป็นจิ้งจอกเฒ่า เรื่องที่รับปากไม่แน่ว่าจะทำได้เสมอไป แม้ว่าจะพลาดไปก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาสามารถนำเงินที่เป็นดั่งของมีค่าออกมา แม้ว่ายามนี้เขาจะใจลอย ก็คงไม่เป็นปัญหาอันใดกับเรื่องนี้อยู่ดี
————————-