ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 236 แม่ลูก
ยามที่เผยเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องโถงโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผยถงก็เดินมาถึงห้องเซียงฝางของตัวเองแล้ว
เขายังไม่ทันเดินเข้าประตูใหญ่ของเรือน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักลอยออกมา
เผยถงและน้องชายเผยเฟย เผยเซวียนอารอง เผยหงญาติผู้น้องล้วนพักในเรือนนี้กันหมด
อารองและอาสามของเขาเป็นคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากกล่าวว่าอาสามเขาเป็นดั่งวันในฤดูร้อน อารองของเขาก็ย่อมเป็นวันในฤดูหนาว ยามที่ท่านปู่จากไป นอกจากอารองจะไม่แก่งแย่งอะไรกับอาสาม ยังดูแลรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบ้านใหญ่ ก็ได้รับการดูแลจากอารองไม่น้อยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาและน้องชายย่อมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกว่าตอนนี้อย่างยิ่ง
ได้ยินเสียงนี้เขาก็รู้แล้วว่า คงจะเป็นเผยหงซึ่งมีอายุแปดปี กำลังหยอกเย้ากับพวกบ่าวในเรือน
เผยถงรู้สึกไม่สบายใจ
ยามที่บิดาจากไป เผยเฟยเพิ่งจะอายุสิบสองปี เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่ประสาทางโลก กลับต้องมารับรู้ว่าพวกเขาไม่มีบิดาอีกแล้ว ก็ยังรู้ความปลอบขวัญมารดาที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดค่อนคืน รู้จักตั้งใจเรียนหนังสือ ช่วยเขาทำเรื่องราวต่างๆ
ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนวันวานไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
ตระหนักถึงตรงนี้ เขาก็อดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้
แต่นึกถึงท่าทีของอาสามที่มีต่อมารดาและพวกเขา เขาก็อดแค่นหัวเราะในใจไม่ได้ เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มขึ้นมา ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน
“คุณชายใหญ่!” บ่าวรับใช้ที่เล่นกับเผยหงเห็นเขาก็เข้ามาคารวะทันที เผยหงก็เข้ามาเขาอย่างดีใจ ตะโกนว่า “พี่ใหญ่!”
เผยถงยิ้มอย่างอ่อนโยนลูบศีรษะเผยหง เอ่ยว่า “ไฉนยามนี้ยังเล่นในเรือนอยู่อีก? แม่นมเจ้าล่ะ? เหงื่อออกหรือไม่? ระวังจะจับไข้เข้า ที่นี่อยู่บนเขา หากจับไข้ขึ้นมาก็ตามหาหมอยากแล้ว” ประโยคสุดท้าย กลับพูดไปยังพวกบ่าวรับใช้ที่เล่นกับเผยหง
พวกบ่าวรับใช้ค้อมศีรษะอย่างเกรงกลัว ก่อนจะขานรับพร้อมเพรียงกัน
ฉากหัวเราะสุขใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาในชั่วพริบตา
เผยหงใบหน้าแดงก่ำ มุมปากคว่ำลงเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง นายท่านรองเผยเซวียนกลับหยิบหนังสือที่อ่านได้ครึ่งหนึ่งออกมาจากห้องโถงเสียก่อน เอ่ยว่า “อาถงกลับมาแล้วรึ! เจ้าอย่าโมโหไปเลย ข้าเป็นคนอนุญาตให้อาหงเล่นเอง ข้าก็อยู่ในห้องโถง ไม่อาจเกิดเรื่องได้หรอก”
เผงถงยิ้มอย่างกระดากอาย เอ่ยว่า “เป็นข้าที่ใจร้อนเอง!”
“ไม่เป็นไรๆ!” เผยเซวียนหัวเราะ ตบไหล่เผยถงเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ยามนั้นท่านพ่อของเจ้าก็ดูแลข้าแบบนี้เช่นกัน”
เขาเพิ่งจะพูดจบ สีหน้าของทั้งสองต่างก็หม่นหมองลง
ผ่านไปพักหนึ่ง เผยเซวียนจึงถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าก็ไม่ต้องคิดมาก อาสามของเจ้าเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัว ไม่ชอบอธิบายกับผู้อื่น แต่เขาย่อมไม่มีความคิดร้าย เขาเป็นผู้นำสกุล ไม่อาจดูแลพวกเราที่เป็นบ้านหลักเพียงอย่างเดียว ต้องคอยดูแลสถานการณ์โดยรวม เจ้าเป็นหลานชายคนโตของเขา ควรจะเข้าใจเขา ให้ความสนับสนุนเขา”
“ข้าเข้าใจ!” เผยถงเอ่ยเสียงเบา อารมณ์ดำดิ่งอย่างเห็นได้ชัด “ดังนั้นแม้ว่าท่านลุงจะเขียนจดหมายมาถามข้า ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” พูดจบ เขาก็คล้ายกับนึกอะไรได้ จู่ๆ ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ส่งยิ้มเริงร่าให้เผยเซวียน “เมื่อสวรรค์มอบภาระที่ยิ่งใหญ่ให้ใครสักคน ย่อมทำให้เขาทนทุกข์ในใจ ลำบากกายลึกถึงกระดูก อารองวางใจเถิด ข้าไม่อาจถูกความลำบากเล็กๆ เบื้องหน้านี้ทำให้พ่ายแพ้ได้ ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ สอบขุนนาง เลื่องชื่อเรืองนามให้ได้เหมือนท่านพ่อ”
“อืม!” เผยเซวียนส่งยิ้มให้กำลังใจแก่เขา แต่หากสังเกตอย่างละเอียดก็จะพบว่า รอยยิ้มของเขาแข็งทื่อไปบ้าง น่าเสียดายที่ยามนี้เผยถงก็ปากไม่ตรงกับใจ มัวแต่คิดมากกังวล ไหนเลยยังจะสังเกตเผยเซวียนอย่างละเอียด? เขาได้ยินเพียงเผยเซวียนถามเขาว่า “เจ้าไปไหนมา? ไฉนจึงกลับมาเย็นเช่นนี้?”
เผยถงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้ากู้มา เชิญข้าไปพูดคุยครู่หนึ่ง ยามนี้จึงได้กลับมาสาย”
เผยเซวียนได้ฟังก็ดีใจยิ่ง เอ่ยว่า “ใต้เท้ากู้ไม่ว่าจะวิชาความรู้หรือนิสัยล้วนยอดเยี่ยม ในเมื่อมีโอกาส เจ้าก็ควรขอให้เขาช่วยสั่งสอนเสียหน่อย” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “ข้ายังมีจานฝนหมึกชั้นยอดตลับหนึ่ง อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนนำมาให้เจ้า เจ้าก็ส่งให้ใต้เท้ากู้ เขาเป็นพี่ภรรยาเจ้า ภายหลังย่อมจำต้องไปมาหาสู่กัน ทำตามธรรมเนียม คนย่อมไม่กล่าวโทษ พวกเราเป็นฝ่ายกระตือรือร้นหน่อย คนเขาแต่งน้องสาวเข้ามา จะได้สามารถวางใจด้วย”
อารองของเขาผู้นี้ เป็นคนจริงใจโดยแท้!
เผยถงอดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ “อารอง ไม่แปลกที่คนอื่นล้วนกล่าวว่าท่านให้ความสำคัญกับอาสะใภ้รอง ดูท่าภายหลังข้าต้องเรียนรู้จากท่านเสียหน่อยแล้ว”
เผยเซวียนยิ้มตบหลังเผยถงไปที “เจ้าเด็กคนนี้ ยังกล้าหยอกล้ออาตัวเองอีก อีกเดี๋ยวคัดอักษรให้ข้าหนึ่งหมื่นตัวเสีย!”
เผยถงละล่ำละลักเอ่ยขอความเมตตา “ไม่กล้าอีกแล้ว!”
อาหลานทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เผยเซวียนก็อุ้มลูกชายที่เล่นจนศีรษะเปียกชุ่มด้วยเหงื่อกลับห้อง เผยถงกลับห้องเซียงฝางของเขาและน้องชายที่ตั้งทางตะวันตกด้านหลังของห้องหลัก
เพียงแต่เขายังไม่ทันผลักประตู ประตูก็เปิดออกเสียก่อน ปรากฏใบหน้าใสซื่อทั้งแฝงความหล่อเหลาของเผยเฟย
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว!” เขาเอ่ยอย่างดีใจ “ข้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ตลอด หากท่านไม่กลับมาอีก ข้าก็จะออกไปตามหาท่านแล้ว”
เผยถงเข้าไปโอบไหล่น้องชายอย่างอบอุ่น เอ่ยว่า “ก็กลับมานี่แล้วไม่ใช่รึ? ทบทวนบทเรียนเสร็จหรือยัง? ไฉนไม่ออกไปเล่นกับอาหง?”
เผยเฟยพาพี่ชายเข้าไปในห้อง บอกเป็นนัยให้บ่าวรับใช้ไปตักน้ำมาให้พี่ชายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งเอ่ยพึมพำไปพลาง “ข้าไม่ชอบเล่นกับอาหง เขาไม่รู้ความอะไร ข้าต้องยอมให้เขาทุกอย่าง!”
มือที่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าของเผยถงชะงักขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็ทบทวนบทเรียนอยู่ในห้องดีๆ เกิดเป็นบุรุษ ความรู้ย่อมสำคัญที่สุด”
เผยเฟยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เผยถงอาบน้ำล้างหน้า เปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะกำชับกับน้องชายให้อยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยม “ข้าจะไปน้อมทักทายท่านแม่เสียหน่อย”
ด้วยเหตุที่เผยโย่วและเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงสนิทสนมกัน นายหญิงใหญ่เผยจึงได้รับการดูแลจากเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเป็นพิเศษ นางไม่ได้อยู่เรือนทางตะวันตกกับลูกชาย ทั้งไม่ได้ตามไปอยู่ทางเรือนตะวันออกกับท่านแม่เฒ่า แต่นางพักอยู่ห้องสงบจิตที่ว่างของเจ้าอาวาสวัดเจาหมิง ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก
นี่ก็เป็นเหตุที่ว่าทำไมอวี้ถังมาอยู่หลายวันกลับไม่เห็นหน้าของนายหญิงใหญ่เผย
เผยเฟยได้ยินก็เอ่ยอย่างดีใจ “ข้าจะไปด้วย”
เผยถงไม่ได้ขัดขวาง พาน้องชายไปที่พักของมารดา
นายหญิงใหญ่เผยคัดลอกคัมภีร์ภายใต้แสงไฟ เห็นลูกชายทั้งสองเข้ามา ก็วางพู่กันลงด้วยรอยยิ้ม รับการคารวะจากพวกเขา ยังเอ่ยถามว่า “เย็นขนาดนี้แล้ว ไฉนพวกเจ้าทั้งสองคนจึงเข้ามา? มีเรื่องเร่งด่วนอะไรอย่างนั้นรึ?”
เผยถงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม หางตากลับบังเอิญเหลือบผ่านจอนผมของมารดา พบว่ามีประกายสีเงินอยู่บ้าง
ชั่วขณะนั้นเขาก็ลืมตอบคำถามของมารดา
หากเขาไม่ได้ตาฝาด มารดา…ไม่รู้ว่ามีผมหงอกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
เขาแสบร้อนที่จมูก
มารดายังอายุไม่ถึงสี่สิบปี!
หากบิดายังมีชีวิตอยู่ บิดาคงดูแลเอาใจใส่มารดาดั่งของล้ำค่า ไหนเลยยังจะมีผมหงอกได้?
เขาเอ่ยพึมพำ “ท่านแม่ วันนี้ข้าไปพบกู้เจาหยาง”
นายหญิงใหญ่เผยมองลูกชายคนโตไปที บอกเป็นนัยไม่ให้เขาพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเผยเฟย
เผยถงพักประเด็นนี้ไว้อย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเล่นเรื่องอื่นกับมารดาและน้องชาย รอจนนายหญิงใหญ่หาข้ออ้างส่งเผยเฟยไปเอาของว่างมาให้พวกเขา ยามนี้ใบหน้านางจึงค่อยเคร่งขรึมขึ้นมา “กู้เจาหยางมาหลินอัน? เขามาหาเจ้าทำไม?”
“เขากล่าวว่าอาสามบอกเขาว่า ก่อนที่ท่านพ่อจะจากไปได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้…” เผยถงเล่าเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนพบกันให้นายหญิงใหญ่ฟัง
นายหญิงใหญ่กระโดดขึ้นมาทันที ตบโต๊ะกล่าวว่า “เผยเยี่ยนพูดจาเหลวไหล! ยามที่พ่อเจ้าจากไป แม้ว่าข้าจะไม่อยู่หน้าเตียง แต่เหตุการณ์ก่อนที่พ่อเจ้าจะจากไปข้ากลับสืบมาอย่างชัดเจน เขาพูดไม่ทันแม้แต่ประโยคเดียว…พูดไม่ทันแม้แต่ประโยคเดียว…” ขณะที่นางพูด ก็นึกถึงฉากในวันนั้นขึ้นมา อดร้องไห้อย่างเจ็บปวดไม่ได้ “พ่อของเจ้า ไม่เต็มใจนัก! เจ้าไม่อยู่ต่อหน้าเขา น้องของเจ้าไม่อยู่ต่อหน้าเขา ข้าก็ไม่อยู่ต่อหน้าเขา…”
เผยถงถามเรื่องที่เขาสงสัยในใจมาโดยตลอด “ยามที่ท่านพ่อจากไป ข้าอยู่ที่สำนักศึกษาพอดี เผยเฟยถูกท่านปู่เรียกเอาของไปส่งให้อาสาม เหตุใดท่านถึงไม่อยู่ข้างกายท่านพ่อเช่นกัน? แม้จะกล่าวว่าท่านพ่อป่วยตายกะทันหัน แต่ก่อนที่เขาจะจากไปย่อมรู้สึกไม่สบาย เขารู้สึกไม่ดี ก็ต้องเรียกหาท่านแม่กระมัง? ไฉนจึงเรียกท่านปู่ไปได้?”
แม้จะเป็นยามนี้ ก็ยังมีประโยคหนึ่งที่เขาไม่กล้าถาม
ปู่ของเขาเป็นผู้นำสกุลเผย ปกติล้วนไม่ห่างจากหลินอัน ก่อนหน้านี้บิดาเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาธิการ เห็นว่าใกล้จะรับตำแหน่งแล้ว ยามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสุขสันต์ จู่ๆ ปู่ก็มาเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ กระทั่งอาสามยังไม่รู้ ทั้งหลังที่บิดาเขาจากไป ปู่ก็ไม่ได้ส่งศพของบิดา เขาเข้าใจได้ว่าผู้ใหญ่ส่งศพผู้น้อยไม่เป็นมงคล แต่ท่านปู่กลับพักในวัด ยามที่บิดาจากไปวันที่สอง ทั้งยังสั่งให้อาสามมาขนโลงศพ อารองกลับบ้านเกิดมาส่งศพ ท่านปู่ยังคงลอบกลับมาหลินอันอย่างเงียบเชียบคนเดียวเหมือนดั่งยามที่ไป
เมื่อก่อนเขาเพียงคิดว่า ท่านปู่เป็นคนผมขาวส่งคนผมดำ ย่อมรับไม่ได้ ไม่อาจทนมองโลงศพของบิดา แต่ยามนี้ดูแล้ว กลับคล้ายมีเงื่อนงำทุกหนทุกแห่ง
โดยเฉพาะอาสามของเขา คาดไม่ถึงว่าคำพูดที่ให้เขาเรียนหนังสือที่สกุลสิบปีแล้วค่อยสอบขุนนางจะเป็นคำสั่งเสียของบิดา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนแรกที่มารดาคิดจะส่งเขากลับไปเรียนหนังสือที่สกุลท่านตา ไฉนเขาจึงไม่พูดออกมาต่อหน้าทุกคน
ในอกของเผยถงคล้ายถูกกดด้วยหินก้อนใหญ่ ทอดมองมารดาด้วยแววตาที่ใสกระจ่าง
นายหญิงใหญ่ชะงักไป ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยดึงสติกลับมา ในดวงตาปรากฏความลนลานอยู่บ้าง เอ่ยอย่างกระอึกกระอัก “ใช่ ใช่แล้ว! พ่อของเจ้าไม่สบายใจ เหตุใดไม่เรียกหาข้า กลับเรียกหาปู่ของเจ้า พ่อของเจ้าเลื่อนตำแหน่ง อาจจะกลายเป็นคนของสกุลเผยที่มีตำแหน่งสูงสุดในราชสำนักก็ได้ ข้าและพ่อของเจ้าล้วนดีใจกันยกใหญ่ แต่ยามที่ปู่เจ้ามา กลับไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย เขาย่อมคิดว่าพ่อของเจ้าไม่เชื่อฟัง ทำลายกฎของบรรพบุรุษ หากพ่อเจ้าไม่รับตำแหน่งผู้นำสกุล สกุลเผยต้องเลือกบ้านหลักของสกุลใหม่อีกครั้งไม่ก็ต้องเลือกอารองหรืออาสามออกมาสืบต่อกิจการสกุลหนึ่งคน แต่อารองของเจ้าไม่ได้ เขาเอาแต่ไหลตามน้ำไม่มีความคิด ยามนั้นอาสามเจ้ากำลังฟาดฟันกับเจียงหวาอย่างดุเดือด คาดไม่ถึงว่าขุนนางขั้นเจ็ดตัวเล็กๆ จะสามารถขึ้นไปอยู่ขั้นสามได้ ล้วนพูดกันว่าอาสามเจ้าอนาคตไกล ภายหลังย่อมข้ามผ่านพ่อของเจ้า ก้าวหน้าในเส้นทางขุนนางอย่างไม่สิ้นสุด ปู่ของเจ้ากลับไม่พูดแม้แต่คำเดียว ก็ให้อาสามเจ้าลางาน ขนศพลงใต้…อีกอย่างพ่อเจ้าก็ไม่ใช่ไร้บุตร? มีลูกชายอย่างพวกเจ้าตั้งสองคน? หากปู่เจ้าคิดเข้าข้างอาสาม ก็ควรให้เขารั้งอยู่ในเมืองหลวง…”
———————-