ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 250 พอใจ
อย่างเช่นเผยถงที่ด้านบนมีผู้อาวุโสกดทับ ด้านข้างมีท่านอาจับตาดู ด้านหลังยังมีเหล่าลูกพี่ลูกน้องของสกุลต่อแถวรออีกยาวเหยียด สามารถทำให้ผู้อาวุโสเห็นความสำคัญและพาเขาไปร่วมงานเลี้ยงทำความรู้จักลูกหลานสกุลอื่นได้ นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เพื่อที่จะทิ้งความทรงจำอันดีไว้ให้ผู้อาสุโสและเหล่าสหายเก่า สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายไม่ห่างเหมือนกับสมุนน้อย ไม่ต้องพูดถึงการตัดสินใจหลบออกมาจากงานด้วยตนเอง แค่จะพูดเสริมสักสองคำก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก
กู้ซีเองเกิดในสกุลใหญ่เช่นเดียวกัน ย่อมจะรู้ว่าเผยถงก็ไม่ง่ายดายนัก
พอฟังคำจากเผยถงแล้ว นางก็อดจะใจอ่อนมิได้ น้ำเสียงเย็นเยียบที่เจือความจริงใจเพียงไม่กี่ส่วน จึงเปลี่ยนเป็นความเห็นใจทันที “นายหญิงใหญ่ วันนี้นางไม่ได้ส่งคนไปเยี่ยมคุณหนูอวี้ เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”
เผยถงไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่จำความได้เขาก็อยู่ที่เมืองหลวง ข้างกายมีบิดามารดา เข้าใจว่าตนเองเป็นหลานชายคนโตของบ้านหลัก ในรุ่นเดียวกันมีเขาเป็นพี่ใหญ่สุด สมบัติของสกุลแน่นอนว่าต้องมาถึงเขาก่อน รอจนเขาอายุครบเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ต้องดูแลน้องชายน้องสาว ด้วยเหตุนี้เขาจึงปลาบปลื้มพอใจมาโดยตลอด
ทว่าเมื่อเขากลับมาถึงหลินอันจึงได้รู้ แม้ว่าเขาจะเป็นพี่คนโตในรุ่น แต่สมบัติในสกุลหาใช่ถึงมือเขาคนแรก หากเขาต้องการเข้าถึงสมบัตินั้น ก็ต้องใช้ความสามารถของตนทำให้ผู้อื่นเคารพเชื่อถือ ไม่เพียงเท่านั้น จวนสกุลเผยยังมีอีกสองคนที่เขียนอ่านได้เชี่ยวชาญกว่าเขา นั่นก็คือเผยฉานกับเผยปัว
เฉกว่ากาลก่อนดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเขา ทว่าบัดนี้ จู่ๆ ตะวันดวงนั้นก็เปลี่ยนไปหมุนรอบผู้อื่นเช่นกัน
เป็นเวลานานที่เขาไม่อาจปรับตัวได้
ดีที่เขาถูกบิดาอบรมบ่มเพาะ แต่เด็กก็มีนิสัยหนักแน่นไม่หยิบโหย่ง เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็ปรับตัวจนคุ้นเคยได้
ไม่อย่างนั้นครอบครัวของเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้หรือ?
ก่อนหน้าที่เขาตอบตกลงเรื่องงานแต่งกับกู้ซี หนึ่งเพราะเขาปวดใจ คิดว่าญาติผู้น้องได้จากไปแล้ว เขาจะแต่งกับใครก็ไม่ต่างกัน สองเพราะเขาเห็นว่าตนเองกับน้องชายอยู่ในจวนสกุลเผยอย่างยากลำบาก คิดยืมอำนาจของกู้ฉ่าง อยากจะหนีออกจากบ่อโคลนอย่างสกุลเผยแห่งนี้ หาได้มีความรู้สึกดีต่อกู้ซีเท่าไรนัก
เมื่อกู้ซีถามขึ้นมาเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบทันที
นิสัยของมารดาเป็นเช่นไรเขาย่อมกระจ่างดี นางหยิ่งในศักดิ์ศรี โอหังทะนงตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าบางสิ่งไม่ควรกระทำ แต่นางก็ดันทุรังจะทำให้ได้
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับคุณหนูอวี้ แต่เพราะกู้ซีมาหาเขาเป็นพิเศษเพื่อถามคำถามนี้ เห็นชัดว่ามารดาเขาคงทำอะไรผิดพลาดอีกแล้ว
หลังจากที่บิดาจากไป เขาก็ไม่เคยคิดจะได้รับความช่วยเหลือจากมารดา ขอเพียงมารดาไม่เป็นภาระถ่วงหลังของเขาก็พอ
เขาเอ่ยเสียงทุ้มว่า “วันนี้ทั้งวันข้าอยู่แต่ข้างกายอารอง กระทั่งอาสามส่งคนมาเชิญอารองไปเป็นประธานพิธีบริจาคที่ศาลาเทศนาธรรม ข้าถึงได้ตามอารองไปที่นั่น คุณหนูอวี้เป็นอะไรไปรึ? แล้วท่านแม่ข้าก่อเรื่องอะไรอีก?”
กู้ซีฟังแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด
นางกลัวเหลือเกินว่าจะต้องเจอคนกตัญญูอย่างโง่เง่า
เช่นนั้นต่อให้นางเก่งกาจสารพัดอย่างก็ไม่มีที่ให้นางแสดงมันออกมา
นางเล่าเรื่องที่อวี้ถังเป็นลมให้เผยถงฟัง ภายหลังก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้ารู้ว่านายหญิงใหญ่รักความสงบไม่ชอบเคลื่อนไหว แต่ตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังที่พักของคุณหนูอวี้ ข้าคิดว่าต่อให้นายหญิงใหญ่ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมาเยี่ยมด้วยตนเอง ก็สมควรส่งหญิงรับใช้ไปถามสารทุกข์สุกดิบสักคำ อย่างไรเสียนายหญิงรองก็ยังไปคอยดูแลรับใช้ท่านแม่เฒ่าแล้ว”
เช่นนี้เมื่อเปรียบเทียบกัน ออกจะชัดเจนเกินไป
ย่อมจะกระทบต่อชื่อเสียงของเผยถงสองพี่น้องด้วย
กู้ซีตระหนักถึงพลังของวาทศิลป์ดี เพราะนางเคยอาศัยสิ่งนี้ใช้กดข่มมารดาเลี้ยงเอาไว้
นางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “นายหญิงใหญ่เศร้าโศกเสียใจ จะมีกะใจที่ไหนไปรับรองพวกนายหญิงสกุลอื่น ช่วงไว้ทุกข์ให้นายท่านใหญ่จึงไม่สะดวกออกหน้าไปทั่ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็เติบโตในเมืองหลวง ผู้อื่นย่อมรู้สึกแปลกหน้าอยู่แล้ว ยิ่งในเวลาเช่นนี้ พวกเจ้ายิ่งสมควรไปมาหาสู่กับสกุลอื่นให้มาก เมื่อผู้อื่นรับรู้ถึงความดีของเจ้า พอเกิดเรื่องอะไรย่อมจะช่วยออกหน้าพูดจาแทนเจ้า!”
ก็เพราะเหตุผลนี้เอง
เผยถงเป็นคนฉลาด กลับมาได้ไม่นานก็พบปัญหานี้ แต่เพราะตัวเขาเป็นลูก ทั้งยังเป็นบุรุษ เรื่องพบปะสังสรรค์ของเรือนหลังเขาไม่สะดวกออกหน้า คนอื่นยิ่งไม่กล้าเสนอความเห็น
เขาสังเกตกู้ซีอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
อายุประมาณสิบแปดสิบเก้า ผิวขาวอมชมพูระเรื่อ คิ้วเข้มดวงตาเมล็ดซิ่ง แม้จะไม่ได้สวยเพริศพริ้ง แต่ท่าทางสง่างาม เห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นคุณหนูสกุลบัณฑิต
บวกกับเป็นคนมีความคิดละเอียดรอบคอบ
ทันใดนั้นเผยถงพลันรู้สึกพอใจในตัวกู้ซีอย่างมาก
บางทีนี่อาจเป็นลิขิตของสวรรค์!
เขาเอาแต่เฝ้ารอญาติผู้น้อง ทว่านางกลับจากไปแล้ว เขากับคุณหนูกู้อยู่ห่างกันเป็นหมื่นแสนลี้ แต่เขากลับต้องสู่ขอคุณหนูกู้ผู้นี้มาเป็นภรรยา
เผยถงถอนหายใจแผ่วเบา รีบขจัดอารมณ์รักเกลียดในใจทิ้ง แล้วขอบคุณกู้ซีอย่างจริงใจว่า “ขอบใจเจ้ามาก! หากมิใช่เจ้าตักเตือน ข้าก็คงยังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนค่ำข้าจะกลับไปหารือเรื่องนี้กับท่านแม่ให้ดี แต่ว่า เจ้าก็น่าจะได้ยินมาบ้างแล้ว ท่านแม่ข้าไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไร กลัวแต่ว่าเรื่องพวกนี้ต่อไปคงต้องลำบากเจ้า ถ้าวันหน้าเจ้าได้ยินสิ่งใดเข้าหูอีก ขอให้เจ้าพูดกับข้าโดยตรง หลีกเลี่ยงว่าพวกเราทำเรื่องผิดมารยาทออกไปแต่ตนเองกลับไม่รู้ตัว”
นี่นับว่ายอมรับฟังคำเตือนนางแล้วกระมัง
กู้ซีพออกพอใจยิ่ง
ต่อไปนางต้องใช้ชีวิตร่วมกับเผยถง หากว่าหัวใจของเผยถงโอนเอียงไปทางนายหญิงใหญ่ นางพูดอะไรเขาก็ฟังไม่เข้าหู ชีวิตของนางคงต้องทรมานมากแน่
เผยถงทางนั้นยังมีธุระต้องจัดการ นางไม่อยากทำเขาเสียเวลา จึงพูดกับเผยถงอีกไม่กี่คำ ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายกันไป
กู้ซีเดินไปทางเรือนพักของตน จึงต้องผ่านที่พักของอวี้ถังอย่างเลี่ยงไม่ได้
นางกางหูตั้งใจฟังเต็มที่
เวลานี้ท้องฟ้ามืดลง เรือนพักของอวี้ถังจุดตะเกียงแล้ว ดวงไฟส่องเจิดจ้า กระทั่งแผ่นฟ้ายังสว่างขึ้นหลายส่วน สะดุดตาคนเป็นที่สุด เสียงหัวเราะที่ลอยแว่วมาจากเรือนทางนั้น ได้บอกแก่ผู้มาร่วมพิธีบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิงอย่างโอ้อวดว่า สถานที่แห่งนี้คึกคักปานใด และผู้เป็นเจ้าของเรือนเป็นที่ต้อนรับมากเพียงไหน
กู้ซีรู้สึกอึดอัดเหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่กลางอก
เหอเซียงเอ่ยว่า “พวกเราเข้าไปทักทายหน่อยดีไหมเจ้าคะ?”
“จะให้ไปเยินยออวี้ถังอีกคน?” นางแสยะยิ้มแล้วเหลือบตามองประตูหรูอี้สีแดง “นางคู่ควรรึ?”
เหอเซียงสะดุ้งตัวโยน เกือบจะเอามือไปปิดปากกู้ซีด้วยซ้ำ โชคดีกู้ซีพูดออกมาเพียงประโยคเดียว จากนั้นก็ยืดอกเชิดหน้า สาวเท้าพรวดๆ ไปทันที
แน่นอนว่าอวี้ถังไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางกำลังฟังชิงหยวนเล่าเรื่องแม่หมอฉื่อให้นายหญิงรองสกุลเผยและนายหญิงสามสกุลหยางฟัง “…แค่จิ้มเข็มเข้าไป ป้าหลิวก็หายเจ็บแล้วเจ้าค่ะ ข้าคิดว่านางคงมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นพ่อบ้านหูคงไม่กล้าแนะนำเข้ามา ส่วนเรื่องจะทำร่างกายให้แข็งแรงกับลดความอ้วนเสริมความงามได้หรือไม่นั้น ก็ต้องลองทำดูก่อนเจ้าค่ะ”
นายหญิงรองกับนายหญิงสามสกุลหยางพากันพยักหน้าหงึกหงัก นายหญิงรองถึงขั้นเอ่ยว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นหรอก ช่วงนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน พรุ่งนี้ค่อยเรียกนางมาช่วยข้าคลายเส้นหน่อยก็ยังดี เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าในวังมีแม่หมอเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเมืองหลินอันจะมีกับเขาด้วย”
นายหญิงสามสกุลหยางเอ่ยเสริมว่า “ไทเฮาก็ชอบนวดนักล่ะ ได้ยินว่าในวังเลี้ยงแม่หมอมือนวดไว้ตั้งเจ็ดแปดคน สลับกันเข้าเวร ทุกวันจะต้องนวดสักนิดหน่อย”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง!” นายหญิงรองร้องขึ้นมาอย่างดีใจ “พวกเราก็ลองดูทุกคนเลย นายหญิงอวี้ก็ด้วย โอกาสเช่นนี้หายากนัก”
“ข้า ข้าก็ด้วยรึ?!” คนสกุลเฉินแต่ไรก็ไม่เคยคิดให้คนแปลกหน้ามานวดตัวอยู่แล้ว แค่คิดก็รู้สึกกระดาก จึงเอ่ยว่า “ข้าว่าไม่ต้องหรอก ข้าขอดูอยู่ข้างๆ ก็พอ”
“ไอหยา พวกเรานวดด้วยกันจะได้มีเพื่อน เจ้าจะกลัวอะไร!” นายหญิงรองหัวเราะ แล้วถามชิงหยวนว่า “พรุ่งนี้แม่หมอคนนั้นยังมารมยาด้วยโกฐให้คุณหนูอวี้อีกหรือไม่? นัดไว้ชั่วยามใด? พวกเราจะให้นางนวดให้ จะทันเวลาหรือเปล่า?”
อวี้ถังรีบเอ่ยว่า “ทันเจ้าค่ะ! นางบอกว่าการรมยาด้วยโกฐไม่อาจใช้เวลานานเกินไป อย่างมากก็แค่สามเค่อเท่านั้น ท่านอย่าได้มองว่านางมาอยู่ที่เรือนข้าครึ่งค่อนบ่าย แท้จริงส่วนใหญ่มัวแต่คุยเรื่อยเปื่อยอยู่กับข้าทั้งนั้น”
นายหญิงรองพอได้ยินว่าเรื่องเรื่อยเปื่อยก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
อวี้ถังรีบอธิบายว่า “มิใช่คุยเรื่องของผู้อื่นนะเจ้าคะ เป็นเรื่องของตนเองทั้งนั้น ทั้งยังสนุกไม่เลวด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ!” คนสกุลเฉินยิ้ม “ยังไม่ทันได้พูดถึงเรื่องของสะใภ้และพ่อแม่สามีในเรือนเลย เอาแต่พูดเรื่องของตนเองทั้งนั้น”
นี่นับว่ารู้จักแยะแยกหนักเบา!
นายหญิงสามสกุลหยางรู้สึกว่าน่าสนใจ ถามอวี้ถังว่าพอรมยาด้วยโกฐแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง? พลางไตร่ตรองว่าตนเองจะลองบ้างดีหรือไม่
ขณะทุกคนกำลังพูดคุยอย่างออกรส เผยเยี่ยนก็มาถึง
นายหญิงรองสกุลเผยล้วงนาฬิกาแขวนในอกออกมาดูอย่างสงสัย “ดึกขนาดนี้แล้วนายท่านสามมาทำอะไร?”
อวี้ถังพลันไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี
คนสกุลเฉินก็งุนงงไม่ต่างกัน เอ่ยว่า “น่าจะแวะมาดูว่าอาถังเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงเช้านายท่านสามก็มาเยี่ยมอาถังแล้ว อย่างไรนางก็เป็นลมตอนอยู่ในวัดเจาหมิง”
สกุลเผยช่วยบริจาคเงินให้จัดพิธีบรรยายธรรม สมควรด้วยเหตุและผลที่จะเป็นห่วงสุขภาพของอวี้ถัง
ทุกคนคลายความสงสัย นายหญิงสามสกุลหยางลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
ประโยคสุดท้าย นางหันมาพูดกับอวี้ถัง
อวี้ถังกำลังจะลุกไปส่งนายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสวี สองคนกลับไม่ยอม “เจ้าเพิ่งจะหายป่วย รักษาตัวอยู่ในเรือนให้ดีเถอะ อย่าต้องให้ตนเองเหน็ดเหนื่อยเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เลย”
นางเห็นว่าบอกปัดมิได้ บวกกับรู้เรื่องที่นายหญิงสามสกุลหยางแกล้งป่วย คิดว่าอุดอู้อยู่ในห้องไม่มีเรื่องสนุก จึงเอ่ยชวนว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้เรามากินข้าวเช้าด้วยกันดีหรือไม่? ซาลาเปาเจของวัดเจาหมิงอร่อยเหลือเกิน ข้าให้ห้องครัวส่งมาให้พวกเรามากหน่อย”
คุณหนูสวีรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว จึงเขย่าแขนเสื้อของนายหญิงสามสกุลหยางด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงสามสกุลหยางคิดว่าได้ออกมาเดินเล่นบ้างก็ดีเหมือนกัน จึงตอบว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราจะมาแต่เช้า”
คนสกุลเฉินรับคำอย่างดีใจ แล้วไปส่งคุณหนูสวีกับนายหญิงสามสกุลหยางที่ประตู
นายหญิงรองรู้ว่าเย็นมากแล้ว ตอนที่เผยเยี่ยนมาถึงก็ทักทายนิดหน่อย ก่อนจะพาเหล่าคุณหนูสกุลเผยจากไป
อวี้ถังเห็นว่าสีหน้าของเผยเยี่ยนมิสู้ดี หลังจากเชิญเขาให้นั่งลงที่โต๊ะกลมในโถงรับแขกแล้ว ก็ชงชาให้เขาด้วยตนเอง “ชานี่พระอาจารย์วัดเจาหมิงเป็นคนทำเอง ทุกคนต่างบอกว่ารสชาติดี ท่านดื่มคุ้นเคยดีหรือไม่? หรือจะให้แม่นางชิงหยวนไปหยิบชาที่ท่านดื่มประจำมา?”
“ไม่ต้องหรอก!” เผยเยี่ยนมองสีหน้าแดงเรื่อของอวี้ถัง ดวงตาสองข้างเป็นประกาย มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง พลันรู้สึกสบายใจขึ้นมา เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้ามิได้พิถีพิถันเพียงนั้น!”
ยังไม่นับว่าพิถีพิถันอีกรึ?!
หางตาของอวี้ถังรีบหลุบลงและกวาดมองรองเท้าของเผยเยี่ยนทันที
เขาสวมรองเท้าที่คล้ายรองเท้าผ้าสีดำธรรมดาคู่หนึ่ง ลายเส้นสองแถวหน้ารองเท้ากลับปักด้วยด้ายเงินทอง ขอเพียงมีแสงเล็กน้อย มันก็จะเป็นประกายยิบยับ…ด้านข้างรองเท้ายังปักลายเมฆมงคลสีเดียวกัน…
กระทั่งนางเป็นผู้หญิงยังไม่พิถีพิถันขนาดนี้เลย!
ไม่รู้ว่า ‘พิถีพิถัน’ ที่เขาเอ่ยมานั้น มันหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่?
อวี้ถังค่อนขอดเขาในใจ สีหน้าไม่ได้แสดงออก แล้วหมุนตัวไปหยิบกล่องขนมเก้าช่องมาให้เผยเยี่ยนกินคู่กับน้ำชา เอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “นายท่านสามมาที่นี่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเจ้าคะ?”
———————————————————–