ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 111 ผลประโยชน์
ในสมองของเผยเยี่ยนมีภาพดวงตากลมโตและกระจ่างดั่งน้ำใสของอวี้ถังลอยขึ้นมา
ไม่ว่าดวงตาคู่นั้นมองไปทางไหนล้วนแต่เป็นประกายระยิบระยับ เต็มเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวเช่นนาง ต่อให้ต้องติดแหง็กอยู่แต่ในเรือน นางก็คงหาทางทำเรื่องอะไรออกมาได้อยู่ดีกระมัง?
เผยเยี่ยนโยนขนมถั่วตัดกรอบเข้าปาก
นี่อย่างไร ไม่ให้ออกไปข้างนอก นางอยู่ในเรือนยังทำขนมถั่วตัดกรอบออกมาได้เลย
หากขังนางให้อยู่ในเรือนต่ออีกสักหลายวัน ไม่รู้ว่าจะมีอะไรส่งมาให้เขาอีกบ้าง?
“อาหมิง” เขากล่าว “ไปเชิญคุณหนูอวี้มาดื่มชา” ยังไม่ทันจบเสียงดี เขาก็นึกว่ามีแขกเหรื่ออยู่เต็มจวน จึงเปลี่ยนแผนในทันทีว่า “เป็นข้าไปพบคุณหนูอวี้จะดีกว่า เจ้าบอกให้พวกเขาเตรียมเกี้ยวแบบสามัญไว้หลังหนึ่ง พวกเราจะไปเงียบๆ แล้วกลับมาอย่างไม่กระโตกกระตากเช่นกัน”
ช่วงพลบค่ำ ยังมีงานเลี้ยงต้อนรับมิตรสหายและแขกเหรื่ออีก
อาหมิงรับคำแล้วหายวับไป
ผ่านไปสองเค่อ เกี้ยวเล็กผ้าม่านสีเขียวหลังหนึ่งก็เคลื่อนออกจากจวนสกุลเผยไปอย่างไร้เสียง
สกุลเผยเลือกหอตงไหลเป็นสถานที่รับรองแขก แม้ชื่อจะเรียกว่าหอ แต่ความจริงเป็นเรือนประสานที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดแห่งหนึ่ง ถ้าเงยหน้ามองขึ้นไป จะเจอกับผนังดอกไม้ทุกหนแห่ง ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยทางเดินสายเล็กๆ หากคนเข้าไปอยู่ตรงกลาง มักทำให้สับสนทิศและหลงทางได้ง่ายๆ
นายท่านใหญ่สกุลเผิงยืนอยู่หลังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ทางซ้ายคือป่าไผ่ ทางขวาคือภูเขาจำลองและหินไท่หู[1] มองดูทิวทัศน์ที่เทียบเคียงได้กับภาพวาดก็ไม่ปาน
“สกุลเผยน่าสนใจไม่เลว” เขาร้องเหอะทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “หากพวกเราคิดจะบุกไปทักทายเสียหน่อย เกรงว่าคงหลงทางก่อนกระมัง?”
เขาเป็นบุรุษอายุห้าสิบปี ตัวสูงชะลูด หน้าขาวเคราเฟิ้ม คิ้วเข้มตาโต ท่าทางสง่าผ่าเผย คล้ายบัณฑิตที่อ่านตำรามามาก
ด้านหลังเขามีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก ดวงหน้าหยกมีรอยบากสีม่วงพาดยาวตั้งแต่หางตาจนถึงมุมปาก ไม่เพียงทำให้เขามีรูปโฉมดุดัน แต่ยังให้ความรู้สึกน่ากลัว จนคนไม่กล้ามองหน้าตรงๆ
“ท่านลุงใหญ่” เขาเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น พวกเรายังจะไปเยี่ยมสกุลอู่แห่งหูโจวอยู่ไหมขอรับ?”
น้ำเสียงของเขาเจือความโอนอ่อนผ่อนตามอยู่หลายส่วน ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับเห็นถึงความหงุดหงิดที่บอกชัดว่าเขาเป็นคนความอดทนต่ำเพียงใด
สกุลเผิงกับสกุลอู่เคยทำกิจการบางอย่างที่ไม่อาจพูดกับคนนอกได้ จึงน่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องมากกว่าสกุลอื่น
“ต้องไปสิ” นายท่านใหญ่สกุลเผิงหมุนกายกลับมา เอ่ยกับชายหนุ่มที่เด็กกว่าว่า “เผยเยี่ยนจัดงานประมูลอะไรนี่ขึ้นมา มิใช่เพราะต้องการให้พวกเราไม่กี่สกุลฆ่าฟันกันเองรึ ข้าได้ยินว่าสกุลอู่มาถึงก่อนใครเพื่อน ดูจากคุณธรรมของสกุลนั้น ก่อนงานประมูลคงต้องหาวิธีลากผู้อื่นไปเป็นพวกแน่ อย่างน้อยก็ห้ามให้เผยเยี่ยนควบคุมราคาได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้น พวกเราก็ต้องเข้าร่วมด้วย”
ชายหนุ่มผู้นั้นพลันงะชักคำที่อยากจะเอ่ย
นายท่านใหญ่สกุลเผิงกล่าวว่า “สืออี เจ้าจำไว้ให้มั่น ราชสำนักต้องการรื้อถอนสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล มีเพียงผลึกกำลังกันไว้เท่านั้นถึงจะข้ามผ่านความเสี่ยงนี้ไปได้ อีกสองวันจะเริ่มงานประมูลแล้ว เจ้าก็เก็บตัวเสียบ้าง กลางคืนออกไปข้างนอกต้องระวัง สกุลเผยมิใช่สามัญ หากว่าถูกพบเข้า เจ้าคิดคำแก้ต่างเอาไว้ให้ดี ถึงเวลานั้นผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”
จวนหลังนี้ไม่ใหญ่มาก ไม่ทันไรก็มีสกุลใหญ่เจ็ดแปดสกุลเข้ามาพัก ความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายก็ซับซ้อน อีกทั้งแต่ละคนต่างก็มาเพราะแผนที่สูงค่าเทียมเมืองผืนนั้น หากมืดค่ำยังตระเวนไปทั่วลานไม่หลับนอน ผู้อื่นอาจเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝง
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘สืออี’ นั้น ก็คือ ‘ท่านสืออี’ ตามคำบอกเล่าของหลินเจวี๋ย
เขารับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างข้องใจ “สกุลเผยต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็มีแค่เผยโย่วเท่านั้น ตอนนี้เขาก็ตายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เผยเซวียนที่อ่อนแอไร้ความสามารถ กับเผยเยี่ยนที่โอหังอวดดี ทั้งเผยเยี่ยนยังจิตใจคับแคบ สกุลเผยเปลี่ยนมาอยู่ในมือเขา กลับไม่หาทางทำให้รุ่งเรืองก้าวหน้า เอาแต่กดข่มบ้านหลักไปวันๆ ข้าว่า ต่อให้สกุลเผยยังพอมีอำนาจอยู่ แต่ก็เป็นแค่เรือผุพังลำหนึ่ง ท่านลุงไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
นายท่านใหญ่เผิงพลันย่นคิ้ว
หลานชายคนนี้มีชื่อเสียงแต่เล็ก อายุยังน้อยก็สอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว สกุลเผิงทุ่มกำลังเพื่อสนับสนุนเขา ปีนั้นทั้งเขาและกู้ฉ่างสกุลกู้แห่งหังโจวถูกผู้คนยกให้เป็น ‘สองบุรุษที่กินกันไม่ลง’ น่าเสียดายที่ภายหลังเขาถูกคนทำให้เสียโฉมโดยไม่ตั้งใจ ต้องจบอนาคตเส้นทางขุนนาง ทำได้แค่ช่วยเหลือกิจการของสกุลเท่านั้น ทว่ากู้ฉ่างกลับก้าวเดินบนเส้นทางนี้อย่างราบรื่น ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ในใจของหลานเขาคนนี้ไม่อาจเป็นสุข ถึงขนาดเคียดแค้นต่อความไม่เป็นธรรม จนบางครั้งเรื่องที่สามารถแก้ไขอย่างสันติได้ กลับถูกเขาจัดการเสียจนเลือดนองพื้น ทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด
ทว่าหลานชายคนนี้ของเขาก็หนักแน่นและเฉลียวฉลาด
หลายอย่างที่ผู้อื่นไม่อาจทำสำเร็จ แต่เขาก็จบงานได้เรียบร้อย จะสละทิ้งก็น่าเสียดาย จะเก็บไว้ใช้ก็น่าเป็นห่วง
ยังดีที่เขานับว่ากตัญญู งานในสกุลก็ทุ่มเทเต็มกำลังเสมอ ทั้งเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโส ต่อให้เขาจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสกุล แต่หากมีคำตัดสินออกมา เขาก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดผู้อาวุโสหลายคนในสกุลยังคิดว่าควรจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดี
แต่เขาก็ช่างสูงส่งเปี่ยมคุณธรรมเสียเหลือเกิน
ยอดคนใต้หล้าต่างวิจารณ์ได้ตามใจ ใครก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งสิ้น
แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ไม่ว่าเผยเยี่ยนและเผยเซวียนจะเป็นคนเช่นไร แต่พวกเขาก็เป็นจิ้นซื่อสองป้ายอย่างชอบธรรม เจ้าสืออีต่อให้มีปัญญาไหวพริบ บู๊บุ๋นไม่เป็นรองใคร แต่ก็ไม่อาจทำงานรับใช้ราชสำนัก ทำได้เพียงมองผู้อื่นชี้นิ้วสั่งคนในแผ่นดิน ทิ้งชื่อเสียงบนหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนเขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความอับจนต่อชะตากรรม
แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสั่งสอนเขา รอให้กลับไปฝูเจี้ยนแล้วค่อยพูดให้เขาฟังอีกที
ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะคิดเพ้อไปว่าตนสามารถแตะต้องคนพวกนั้นได้จริงๆ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
“ที่นี่เป็นถิ่นของสกุลเผย ต่อให้สกุลเผยเป็นแค่เรือผุพัง เจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว” นายท่านใหญ่เผิงกำชับกับเขา “อย่าลืมว่า ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าภาพผืนนั้นคงมาอยู่ในกำมือเราได้ง่ายๆ แล้วผลสุดท้ายล่ะ?”
นัยน์ตาของเผิงสืออีพลันมีประกายโหดเหี้ยมวาบผ่าน
ตอนแรกนั้น สกุลเผิงกลัวจะทำให้สกุลเผยรู้ตัว เป็นเหตุให้ชักนำสกุลอื่นที่ต้องการครอบครองแผนที่เข้ามาร่วมวงด้วย ถึงตัดสินใจใช้งานคนที่ไม่สะดุดตาหาวิธีนำภาพวาดมาให้ได้ เขาก็เป็นหนี่งในคนที่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน
“ท่านลุงใหญ่ ข้ารู้แล้ว” เผิงสืออีค้อมศีรษะต่ำ “ครั้งนี้ไม่มีทางพลาดอีกแน่”
นายท่านใหญ่เผิงผงกหน้ารับ
ให้หลานชายคนนี้ของเขาจัดการ เขาค่อนข้างที่จะวางใจได้อยู่
“อีกสักพักข้าจะแวะไปหาคนของสกุลอู่ ดูว่าสกุลอู่มีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเบา “ไม่แน่เราอาจร่วมมือกับสกุลอู่ได้”
แผนที่ส่วนหนึ่งที่สกุลเผยนำออกมาให้พวกเขาชมนั้นเหมือนกันกับแผนที่ที่อยู่ในมือของพวกเขาราวกับแกะ
ตอนนี้เขาไม่อาจตัดสินได้เลยว่าปัญหาเกิดจากจุดไหน ถึงขนาดไม่อาจรู้ได้เลยว่าแผนที่ที่อยู่ในมือเขาเป็นของจริง หรือว่าแผนที่ที่อยู่กับสกุลเผยที่เป็นของจริงกันแน่ นี่คือสิ่งที่บีบให้สกุลเขาต้องมาร่วมงานประมูลอย่างไม่มีทางเลือก
ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเป็นคนมีคุณธรรม ความหยิ่งผยองของเผยเยี่ยนนั้นเขาก็เคยได้ยินมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พบหน้าเผยเยี่ยน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขามาก่อน หากว่าเผยเยี่ยนคิดใช้แผนที่ผืนนั้นเป็นตัวทำเงิน สกุลเขาคงต้องเสียเลือดครั้งใหญ่แน่
แต่นี่ไม่นับว่าเป็นกระไร
มีเสียก็ย่อมมีได้
กลัวแต่ว่าแผนที่ที่เขาประมูลมาได้นี้จะเหมือนกับฉบับที่อยู่ในมือเขาราวจับวาง หรือบางทีสิ่งที่อยู่ในมือสกุลเผยอาจเป็นของปลอม…เช่นนั้นก็ทำให้คนกระอักเลือดอยู่ดี
เผยเยี่ยนแม้รู้ว่าสกุลเผิงไม่ได้มาดี แต่เขามีนิสัยชอบหยอกสุนัขแกล้งแมว ยิ่งเหมือนกับสกุลเผิงเช่นนี้ เขายิ่งต้องกระตุกหนวดดูหน่อย ไม่ว่าคนสกุลเผิงจะคิดทำสิ่งใดเขาล้วนไม่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์คอยขัดขวาง ทั้งคร้านจะส่งคนให้ไปจับตาดูคนสกุลเผิงด้วย
อย่างไรเสียพวกเขาก็เข้ามาอาศัยในจวนสกุลเผยแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องที่เขาอยากรู้แล้วไม่อาจรู้ได้แน่
เขาสั่งคนให้หยุดเกี้ยวที่หลังประตูเรือนสกุลอวี้ในตรอกเล็กๆ
ปกติแล้วแถวนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมา
โดยเฉพาะตอนบ่าย เหล่าบุรุษในตรอกชิงจู๋ส่วนใหญ่มักอยู่ที่ร้านค้า เหล่าสตรีหากไม่พักผ่อนอยู่ในเรือนก็กำลังทำงานเย็บปักถักร้อย ตอนนี้จึงเงียบเชียบเป็นที่สุด
เขาสั่งอาหมิงว่า “ระวังอย่าให้นายหญิงอวี้รู้ตัว ข้าไม่อยากเข้าไปทักทายอย่างเป็นทางการ”
อาหมิงรู้ว่านายท่านสามของเขาไม่ชอบออกหน้า จึงรับคำรัวเร็ว ก่อนไปเคาะประตูที่ด้านหน้า
คนที่มาเปิดประตูคือป้าเฉิน ได้ยินอาหมิงบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ของสกุลเผยและต้องการพบอวี้ถัง ทั้งเห็นว่าเขาขาวอวบน่าชัง ในใจเกิดความชอบพอยิ่ง นางไม่ได้ถามมากความก็รีบพาเขาไปหาอวี้ถังทันที
อวี้ถังเห็นอาหมิงก็ประหลาดใจมาก ยิ่งพอรู้ถึงเจตนาการมาของเขาก็ยิ่งร้อนรน เป็นนานกว่าจะลำดับเรื่องราวได้
นางไล่ซวงเถาให้ไปหยิบขนมถั่วตัดกรอบมาให้อาหมิงกิน จากนั้นก็กดเสียงต่ำถามเขาว่า “เจ้าบอกว่านายท่านสามต้องการพบข้า เกี้ยวก็จอดอยู่ที่ประตูหลังแล้ว?”
อาหมิงพยักหน้าหงึกหงัก เห็นว่าอวี้ถังสวมเสื้อคลุมตัวยาวผ้าหังโจวสีแดงเข้ม ขับให้ดวงหน้าขาวผ่อง ยิ่งแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ก็ยิ่งอ่อนหวานน่าชม จึงแอบกระซิบบอกอวี้ถังว่า “นายท่านสามคงมาเพราะเรื่องสวนป่าของสกุลท่าน ก่อนมายังถามถึงอยู่ขอรับ”
อวี้ถังคิดอยากเจอเผยเยี่ยนตั้งนานแล้ว เช่นนี้ก็ประเสริฐนัก คนที่สัปหงกง่วงนอนพลันมีคนยื่นหมอนมาให้ ล้วนดีต่อทุกฝ่ายยิ่งแล้ว
“เจ้ารอเดี๋ยว!” อวี้ถังเองก็กลัวเผยเยี่ยนมาที่เรือน นิสัยอย่างเขา ใครที่อยู่ด้วยล้วนรู้สึกอึดอัดทั้งนั้น อีกอย่างมารดานางเพิ่งจะกินยานอนพักไป หากรู้ว่าเผยเยี่ยนมา อย่างไรก็ต้องลุกขึ้นมาต้องรับอีก “ข้าบอกคนในเรือนไว้สักคำ แล้วจะตามไปพบนายท่านสามทันที”
อาหมิงมือถือขนมถั่วตัดกรอบที่ซวงเถามอบให้แล้วเดินจากไปอย่างเริงร่า อวี้ถังให้ซวงเถาช่วยดูทางให้ ส่วนตนแอบออกไปพบเผยเยี่ยนทางประตูหลัง
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทุกวัน เผยเยี่ยนอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมเนื้อละเอียดสีขาว ระหว่างเอวห้อยตราประทับเล็กๆ สีเขียว ยืนด้วยท่วงท่างามสง่าอยู่ตรงนั้น บุคลิกโดดเด่นไม่เป็นรองใคร
อวี้ถังลอบมองเขาด้วยความชื่นชมอยู่หลายที
ไม่คิดว่าพอเจอคนตัวเป็นๆ ความคิดมากมายกลับสลายหายไปหมด
“เหตุใดเจ้าชักช้าเช่นนี้?” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าถามเจ้าสองสามคำก็จะไปแล้ว”
ช่างไร้ทีท่าของวิญญูชนโดยสิ้นเชิง
อวี้ถังค่อนขอดเขาอยู่ในใจ
หากมิใช่ว่าวันนี้นางแต่งตัว ‘ถูกต้องเรียบร้อย’ อยู่ก่อนแล้ว นางคงไม่ออกมาเร็วขนาดนี้หรอก!
แต่ได้ยินจากอาหมิงว่าเผยเยี่ยนมาเพราะเรื่องสวนป่าของสกุลตน นางคิดว่าตนเองไม่ควรใจแคบและคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเพราะสิ่งเหล่านี้
“นายท่านสาม ท่านหาข้ามีเรื่องใดหรือ?” นางเข้าประเด็นทันที
เผยเยี่ยนไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงของตนมีปัญหาที่ตรงไหน ความตรงไปตรงมาของอวี้ถังก็ทำให้เขาไม่ต้องอ้อมค้อม อารมณ์จึงค่อยๆ ดีขึ้น
“สวนป่าของสกุลเจ้า ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?” น้ำเสียงเขารวบรัด “ผ่านวันเพาะปลูกมาแล้ว หากเจ้าไม่ตัดสินใจเสียที เช่นนั้นก็จะล่าช้าไปอีกหนึ่งฤดู”
อวี้ถังคิดจะหยั่งเชิงเขาอยู่พอดี วาจานี้ของเขาตรงใจนางอย่างยิ่ง นางจึงเอ่ยว่า “แต่ก่อนข้าคิดว่าต้นซาจี๋ไม่เลวเลย แต่ทุกคนเอาแต่ห้ามข้าไม่ให้ปลูก ข้าเลยอยากสอบถามท่าน ถ้าข้าขายสวนป่าผืนนั้นให้ท่าน ท่านจะปลูกอะไรรึ?”
นางหมายความว่าอย่างไร?
เพราะว่าไม่ก่อประโยชน์ ดังนั้นจึงคิดขายสวนป่าให้สกุลเขา?
เขาเหมือนคนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ?
สีหน้าของเผยเยี่ยนดำทะมึน เขาเอ่ยว่า “เจ้าอยากขายสวนป่าผืนนั้นให้ข้าหรือ?”
“มิใช่ๆ” อวี้ถังพบว่าเผยเยี่ยนเข้าใจนางผิด จึงรีบอธิบายว่า “ข้าพูดว่า ‘ถ้า’ ต่างหาก ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อ?”
การสมมติเช่นนี้ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่ชอบใจว่า “ไม่เคยคิด ไม่รู้” พูดจบ ก็ทำคล้ายว่าชิงชังนางหนักหนา แล้วเอ่ยต่อว่า “นอกจากสกุลเจ้าข้นแค้นจนไม่มีอะไรจะกิน ถ้าไม่ขายนาขายที่ต้องอดตาย ข้าก็จะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนบ้านร่วมเมืองช่วยเหลือเจ้าสักครั้ง เมื่อสวนป่าผืนนั้นตกเป็นของข้าแล้ว เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสกุล ข้าคงได้แต่กุมขมับคิดหาทางออก แล้วลองพิจารณาอย่างละเอียดดู”
————————————————————-
[1]หินไท่หู เป็นหินปูนขาว มักมีรูหรือช่องโหว่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเป็นเวลานาน นิยมนำมาใช้ประดับสวน