ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 253 ฟังธรรม
ทุกคนสบสายตากัน
เช้าตรู่เช่นนี้ เผยเยี่ยนเรียกชิงหยวนไปมีเรื่องสำคัญอันใดกัน?
อาหมิงเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพี่เจิ้นพูดว่า อีกเดี๋ยวนายท่านสามจะไปหังโจว เป็นไปได้ว่าอาจมีเรื่องกำชับกับพี่สาว”
ชิงหยวนไม่กล้ารีรอ รีบตามอาหมิงไปพบเผยเยี่ยน
คุณหนูสวีถอนหายใจ “ก็ไม่รู้ว่าทางไหวอันจะมีจดหมายส่งมาเมื่อใด”
อวี้ถังปลอบใจนาง “พี่น้องสกุลชวีทำเรื่องได้น่าไว้ใจยิ่ง เจ้าวางใจเถิด พวกเขาย่อมเร่งกลับมาโดยเร็วแน่”
คุณหนูสวีพยักหน้าอย่างจนใจ ถามอวี้ถังว่าวันนี้วางแผนจะทำอะไร
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงรองบอกให้หมอสื่อมานวดข้าในยามบ่าย ดูว่าฝีมือนางเป็นอย่างไร หากดีอย่างที่นางพูดจริงๆ รอเรื่องของวัดเจาหมิงเสร็จแล้ว ก็รับนางเข้าจวน ช่วงสายข้าวางแผนจะคัดลอกคัมภีร์เสียหน่อย”
จากนั้นก็จะเชิญพวกพระอาจารย์ในวัดมาช่วยทำพิธีอวยพรให้เผยเยี่ยน
เขามีบุญคุณต่อนางอย่างยิ่ง นางกลับเข้าใจเขาผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นับจากนี้ไป นางต้องเชื่อใจเขามากกว่านี้
คุณหนูสวีเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ก็ดี! ข้าจะคัดลอกคัมภีร์อยู่ที่นี่เช่นกัน จะได้ไม่ต้องพบกับนายหญิงใหญ่สกุลเผย หากนางดึงข้าไปถามนั่นถามนี่ ข้าจะตอบก็ไม่ได้ ไม่ตอบก็ไม่ได้อีก”
อวี้ถังแปลกใจ
คุณหนูสวีจึงค่อยเอ่ยกับนางเสียงเบา “ลูกสาวของอารองสกุลอิน ใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว เผยเฟย คุณชายรองสกุลเผย ปีนี้อายุสิบสี่ปีพอดี”
อวี้ถังอดเลิกคิ้วไม่ได้ กดเสียงเบาลงเช่นกัน “หมายความว่าอยากจะเกี่ยวดองกัน!”
“ไม่อย่างนั้นเหตุใดนายหญิงใหญ่สกุลเผยจึงไปเข้าพบนายหญิงสามสกุลหยางล่ะ?” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวง นายหญิงใหญ่เผยก็รู้จักนายหญิงสามสกุลหยางแล้ว แต่ยามนั้นนางได้รับความดูแลเอาใจใส่จากสามี ทั้งให้กำเนิดลูกชายสองคน อยู่ในช่วงที่ทุกอย่างราบรื่นไปหมด ไม่ได้ให้ความสำคัญนายหญิงสามสกุลหยางแต่อย่างใด หากไม่มีเรื่องอะไร นางจะไปหานายหญิงสามสกุลหยางถึงหน้าประตูทำไมกัน?”
อวี้ถังมองท่าทีของคุณหนูสวี เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่เต็มใจ?”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “ย่อมไม่เต็มใจ หากเกี่ยวดองกันจริงๆ เผยถงอาจพอครุ่นคิดดูได้ แต่เผยเฟย เรียนหนังสือไม่ได้ ความสามารถไม่พอ ทั้งมารดายังมีนิสัย สายตาและความรู้เช่นนี้ สกุลอินย่อมไม่ถูกใจ”
อวี้ถังไม่รู้เรื่องของเผยเฟยนัก ไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้
นางจึงทิ้งเรื่องนี้ไว้ด้านหลัง ใฟ้ชิงผิงช่วยนำพวกกระดาษและหมึกเข้ามา ถามคุณหนูสวีว่าจะคัดลอกคัมภีร์ด้วยกันหรือไม่
คุณหนูสวีตอบรับอย่างยินดี
ยามที่ทั้งสองคนกำลังฝนหมึก ชิงหยวนก็กลับมา
ในมือนางยังถือตะกร้าอิงเถาใบใหญ่ เอ่ยว่า “นายท่านสามกำชับให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านที่ศาลาเทศนาธรรม”
อวี้ถังตกตะลึง
เมื่อวานยังให้นางพักอยู่ในห้องเซียงฝาง ไฉนข้ามคืนกลับเปลี่ยนไปอีกแล้ว?
ชิงหยวนเอ่ยอธิบาย “นายท่านสามกลัวท่านจะเบื่อเจ้าค่ะ นึกได้ว่าด้านหลังแท่นบรรยายธรรมยังมีศาลาด้านหลังอีกแห่ง ท่านสามารถไปนั่งฟังพระอาจารย์บรรยายธรรมที่ศาลาด้านหลังได้ ทั้งยังไม่ต้องไปเบียดเสียดกับคนอื่น”
อวี้ถังครุ่นคิดอย่างละเอียดก็พบว่าด้านหลังแท่นบรรยายธรรมยังมีศาลาเล็กๆ อยู่จริงๆ
แต่ว่าที่นั่นใช้สำหรับให้พระชั้นสูงที่มาบรรยายธรรมพักผ่อนชั่วคราว
ชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่เช้าตรู่นายท่านสามก็ให้คนไปจัดเก็บสถานที่แล้วเจ้าค่ะ ให้ข้าเข้าไปดูเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่? หากท่านไม่ชอบหรือคิดว่าไม่สะดวกืสบาย พวกเราค่อยกลับมาพักที่ห้องเซียงฝางก็พอแล้ว”
นางเรียกอวี้ถังว่า ‘คุณหนู’ โดยไม่มีสกุล จาก ‘เจ้า’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘ท่าน’
อวี้ถังคิดคล้อยตาม
คิดว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับท่าทีของเผยเยี่ยนที่มีต่อนาง
ทว่านางยังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด คุณหนูสวีที่เดิมทีคิดจะหลบหลีกจากนายหญิงใหญ่ จำใจคัดลอกคัมภีร์เป็นเพื่อนอวี้ถังกลับกระโดดขึ้นมาเป่าหูนาง “ดูร่างกายของเจ้าสิ ไม่เหมาะจะไปเบียดเสียดกับผู้คนจริงๆ แต่ศาลาด้านหลังนั้นย่อมเงียบสงบเป็นแน่ เผยสยากวงก็มีใจปรารถนาดี พวกเราอย่าได้ทำลายน้ำใจของเขาดีกว่า เช้าวันนี้พวกเราเข้าไปดูก็พอแล้ว หากรู้สึกว่าไม่ดีก็ค่อยกลับมา”
อวี้ถังมีชีวิตถึงสองชาติ เป็นชาติก่อนที่นางเคยเข้าร่วมงานบรรยายธรรมครั้งใหญ่มาครั้งหนึ่ง ยามนั้นหลี่ตวนสอบจิ้นซื่อได้ คนสกุลหลินดีอกดีใจ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างจึงเชิญพระอาจารย์วัดหลิงอิ่นของหังโจวเข้ามาบรรยายธรรม นางตามคนของสกุลหลี่ไปร่วมสนุก เวลานั้นทุกคนต่างก็แสดงความยินดีกับคนสกุลหลิน ยังจะมีใครจำได้ว่านางเป็นใครอีก?
นางทั้งร้อนทั้งกระหาย เบียดเข้าไปในฝูงชนอย่างลำบากยากเย็น นั่งตากลมอยู่ใต้ต้นการบูร ชั่วพริบตาไม่รู้ว่าคนสกุลหลินและกู้ซีออกไปจากศาลาเทศนาธรรมตั้งแต่เมื่อใด รอจนนางตามหาไปทั่วอย่างลนลาน ก็พบคนสกุลหลินและกู้ซีที่กำลังคุยกับพระอาจารย์ใต้ต้นสนตื่นรู้ นางถูกคนสกุลหลินตำหนิอย่างจัง กล่าวว่านางไม่เคยพบเจอโลกภายนอก เห็นความสนุกคึกคักกลับวิ่งตามไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา…ทำให้นางขายหน้าขายตาอย่างยิ่ง
นับแต่นั้นก็ไม่ร่วมพิธีแสวงบุญและงานบรรยายธรรมอะไรอีก
ทั้งนึกถึงการถูกปฏิบัติที่นางได้รับยามนี้ ก็อดลอบถอนหายใจอยู่ค่อนวันไม่ได้ ทั้งสงสัยอยู่บ้างว่าพระอาจารย์ที่มาจากฝูเจี้ยนจะเป็นอย่างไร
อวี้ถังลังเลอยู่พักใหญ่จึงค่อยตัดสินใจ เอ่ยกับชิงหยวน “เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปดูก่อนเถิด”
ชิงหยวนได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปเอาหมวกเหวยเม่าให้คุณหนูทั้งสองเดี๋ยวนี้…นายท่านสามกล่าวแล้ว คนในศาลาเทศนาธรรมมีมาก ท่านเป็นผู้น้อย หากเข้าไปก็จำต้องทักทายคนนั้นคนนี้ พานให้เหนื่อยเสียเปล่า ยังมิสู้นั่งพักผ่อนในห้องเซียงฝาง! ให้พวกเราไม่ต้องไปปรากฏตัว ลอบไปอย่างเงียบๆ กลับมาอย่างเงียบๆ จะได้ไม่รบกวนพวกผู้ใหญ่ในศาลาเทศนาธรรม”
เป็นเหตุผลนี้จริงๆ ด้วย!
คุณหนูสวีได้ยินก็ดีใจยิ่ง คิดว่าเผยเยี่ยนทำเรื่องได้รอบคอบและเอาใจใส่ ไม่มีจุดบกพร่อง อดเอ่ยชมไม่ได้ “เผยสยากวงยามที่เกลียดชังก็ทำให้คนเกลียดชังจริงๆ ยามที่เอาใจใส่ก็ยังทำให้คนชอบได้จริงๆ ไม่แปลกใจที่ใต้เท้าจางชื่นชอบศิษย์คนโปรดผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีต้นสายปลายเหตุทั้งนั้น”
อย่างนั้นรึ?
อวี้ถังหน้าแดงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดอยู่บ้าง ในใจมีความรู้สึกปลาบปลื้มที่พูดไม่ออกพรั่งพรูอย่างเลื่อนราง ใบหูก็แดงเช่นกัน
คุณหนูสวีกลับมัวแต่สนใจว่าหมวกเหวยเม่าของตัวเองสวยหรือไม่ จึงไม่ได้ใส่ใจอวี้ถังมาก ยังพูดอยู่ตรงนั้น “ข้าคิดว่าพวกเราควรล่วงหน้ากลับมาเร็วหน่อย ยามที่งานเลิกจะได้ไม่พลั้งพบเจอกับพวกนาง เช่นนั้นยามบ่ายเจ้าจะเรียกหมอสื่อเข้ามานวดและรมยาอีกหรือไม่? ข้าคิดว่าควรจะเรียกหมอสื่อเข้ามา ไม่อย่างนั้นนายหญิงรองถามขึ้นมา เจ้าก็ไร้ทางตอบแล้ว ส่วนเรื่องคัดลอกคัมภีร์ ยามเย็นพวกเราหาเวลามาคัดลอกก็เพียงพอแล้ว พระโพธิสัตว์ไม่ได้สนใจว่าพวกเราจะคัดได้มากหรือได้น้อย ประเด็นสำคัญคือดูว่าพวกเราซื่อสัตย์จริงใจหรือไม่”
โดยสรุปแล้วก็คือไม่อยากคัดลอกคัมภีร์เท่าใด
อวี้ถังเม้มปากแย้มยิ้ม รู้สึกราวกับในใจมีลูกไก่ตัวหนึ่งซ่อนอยู่ ร่าเริงอย่างยิ่ง น้ำเสียงที่พูดก็สดใสตาม “ได้สิ! ยามบ่ายพวกเรารมยาไม่ก็นวดกัน ยามเย็นค่อยคัดลอกคัมภีร์ ส่วนทางเจ้า หากคิดว่ามีความจำเป็นก็คัด คิดว่าไม่จำเป็นก็ใช่ว่าต้องคัดเสมอไป! ข้าได้ยินท่านแม่กล่าวว่า พระโพธิสัตว์ทุกองค์ล้วนมีสถานที่บรรลุธรรมเป็นของตัวเอง วัดเจาหมิงเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระศากยมุนี เขาผู่ถัวกลับเป็นที่บรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์กวนอิม กุศลกรรมก็ไม่อาจทำสุ่มสี่สุ่มห้าได้เช่นกัน”
คุณหนูสวีสมองแล่นวาบอย่างว่องไว เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าคัดลอกคัมภีร์ให้อินหมิงหย่วนไม่กี่หน้าก็เพียงพอแล้ว ร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรง ไม่นานพวกเราก็จะแต่งงานกัน อย่างไรเขาก็ต้องมีชีวิตยืนยาวหน่อย”
แม้จะพูดเช่นนี้ ในสมองนางกลับปรากฏใบหน้าที่ซีดขาวซูบเซียวของอินหมิงหย่วนขึ้นมา สีหน้าพลันหม่นหมอง รู้สึกไม่สบายใจ
อวี้ถังรีบปลอบใจนาง “ไม่ต้องกลัวเรื่องโรคภัยหรอก คุณชายอินป่วยมาหลายปีล้วนไม่มีเรื่องอันใด ทั้งยังนับวันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ย่อมเพราะได้รับความคุ้มครองจากพระโพธิสัตว์ เจ้าวางใจก็พอแล้ว”
จู่ๆ คุณหนูสวีก็รู้สึกว่าไปเล่นที่ศาลาเทศนาธรรมไม่ได้น่าสนุกขนาดนั้นแล้ว
นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรยามเย็นก็จะหาเวลามาคัดลอกคัมภีร์ให้อินหมิงหย่วนให้ได้ พอถึงเวลานั้นก็จะไปเชิญพระอาจารย์ของวัดเจาหมิงทำพิธีให้กับพระโพธิสัตว์ด้วยกันกับอวี้ถัง
คุณหนูสวีและอวี้ถัง คนหนึ่งสวมหมวกเหวยเม่าสีเขียว อีกคนสวมหมวกสีฟ้า เดินตามชิงหยวนออกจากประตูไป
ยามนี้พวกนางจึงพบว่าด้านนอกประตู นอกจากอาหมิงแล้ว ยังมีเด็กรับใช้ที่ไม่คุ้นหน้ายืนอยู่อีกห้าหกคน
ชิงหยวนเอ่ยว่า “เป็นคนข้างกายของนายท่านสาม นายท่านสามกล่าวว่า กลัวพวกท่านจะประสบพบเจอกับใครเข้า แรงของพวกเด็กรับใช้นั้นมีมากกว่าพวกผู้หญิงอยู่แล้ว”
นี่ก็หมายความว่าต้องการปกป้องนาง
อวี้ถังใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณนายท่านสามอย่างยิ่ง หากเจ้าพบนายท่านสาม ก็ช่วยกล่าวแทนข้าหน่อยเถิด”
ชิงหยวนขานรับทั้งรอยยิ้ม ในใจกลับนึกถึงฉากที่เผยเยี่ยนเรียกนางเข้าไป
ในห้องมีแต่คนวิ่งวุ่นเต็มไปหมด พวกเด็กรับใช้ยุ่งอยู่กับการจัดเก็บสัมภาระ พวกผู้คุ้มกันกำลังยกกระเป๋าเดินทาง ท่านชูกำลังพูดเคร่งเครียดอะไรบางอย่างกับเจ้าเจิ้น ด้านเผยชีกำลังช่วยเผยเยี่ยนจัดเก็บโต๊ะหนังสือ เผยเยี่ยนยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีทองยามเช้า เอ่ยกับนางอย่างจริงจัง “ช่วงที่ข้าเดินทางไปหลายวันนี้ เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูอวี้ดีๆ อย่าให้นางคิดมาก ข้าบกกับอาหม่านแล้ว ให้เขาเรียกอู๋เหนียงจื่อเข้ามา ถึงเวลานั้นให้อู๋เหนียงจื่อคอยอยู่กับคุณหนูอวี้ เจ้าก็รับผิดชอบทำเรื่องปกติยิบย่อยให้นาง อย่าให้คนสกุลเผิงเข้าใกล้คุณหนูอวี้ หากคนของสกุลเผิงกล้าเข้ามาอย่างส่งเดช เจ้าก็สนใจแค่ออกหน้าพอ เกิดเรื่องอะไรไม่ต้องกลัว ทั้งหมดทั้งมวลรอข้ากลับมาค่อยว่ากัน”
ชิงหยวนยังจำได้ว่ายามที่ตัวเองได้ยินคำพูดนี้หนังตาก็กระตุก
นายท่านสามนั้นต้องการปกป้องคุณหนูอวี้
นางหันไปมองยังอวี้ถัง
เห็นเพียงเงาด้านหลังที่สะโอดสะโองของนาง
หากคุณหนูอวี้เข้าจวน…กลัวก็แต่ว่าจะสามารถท้าทายกับภรรยาเอกของนายท่านสามได้
ถึงเวลานั้นนางต้องยืนข้างไหนกัน?
ชิงหยวนรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง
นางทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางสามารถยุ่งได้ ทำได้เพียงค่อยตัดสินใจยามที่เรือเข้าใกล้ฝั่ง เรื่องที่สำคัญในยามนี้คือทำเรื่องที่นายท่านสามกำชับให้ดี หลายวันที่นายท่านสามไม่อยู่ทุกอย่างต้องสงบเรียบร้อย ไม่เกิดเรื่องราวอันใด
อวี้ถังและคุณหนูสวีเข้าไปในศาลาด้านหลังแท่นบรรยายธรรมอย่างเงียบเชียบ
ศาลาด้านหลังนั้นยาวเพียงครึ่งจั้ง กว้างหนึ่งจั้ง วางตั่งหลัวฮั่นไว้หลังหนึ่ง เก้าอี้สองตัว บางทีอาจเป็นเพราะเผยเยี่ยนกำชับมา บนตั่งหลัวฮั่นจึงมีของว่างและผลไม้วางอยู่ มีดอกไม้สด ทั้งยังปูเบาะรองนั่งใหม่เอี่ยม
คุณหนูสวีพอใจอย่างยิ่ง
นางเอ่ยเสียงเบากับอวี้ถัง “พวกเรานั่งที่ตั่งหลัวฮั่นฟังธรรมกันเถิด”
แท่นบรรยายธรรมและศาลาด้านหลังกั้นเพียงไม้กระดานแกะสลักดอกไม้ เสียงของพระอาจารย์นั้นได้ยินอย่างชัดเจน
อวี้ถังพยักหน้า เห็นด้านข้างซ้ายขวาของตั่งหลัวฮั่นล้วนเป็นประตูลายฉลุเล็กๆ รู้ว่านั่นเป็นที่เข้าออกจากแท่นบรรยายธรรมมายังศาลาด้านหลังจึงส่องดูช่องนั้นไปยังด้านนอก พริบตาเดียวก็มองเห็นเผยเยี่ยนที่นั่งกลางศาลาเทศนาธรรม
นางรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่า รีบหยัดกายยืนตรง ครุ่นคิดว่า ไม่รู้ว่าเขาจะออกเดินทางไปหังโจวเมื่อใด? ตัวเองจะมีโอกาสไปส่งเขาหรือไม่?
คุณหนูสวีไหนเลยจะรู้ความคิดของอวี้ถัง เห็นอวี้ถังด้อมมองอยู่ทางนั้น ก็ตามเข้าไป กระซิบว่า “ให้ข้าดูด้วยสิ”
อวี้ถังรีบกระโดดหนีไปอีกทางราวกับหลบหลีก
คุณหนูสวีพูดเสียงเบา พลางเดินไปด้านหน้าประตูลายฉลุ “เจ้าเห็นอะไร? อย่าบอกนะว่า เป็นเผยสยากวงที่มีรูปลักษณ์ดั่งที่เลื่องลือ คนที่หล่อเหลาราวกับถูกปั้นออกมา แต่งกายอย่างงามสง่า สวมผ้าซงเจียงเรียบๆ สีฟ้าอ่อน ปักปิ่นไผ่เขียว ดูสะอาดสะอ้านสบายตา กำลังอยู่ในสถานที่เช่นนี้…”
อวี้ถังเพียงรู้สึกว่าหน้าของนางร้อนฉ่ากว่าเดิม
————————–