ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 255 ฮึกเหิม
ชิงหยวนไม่แยแสปฏิกิริยาของนายหญิงใหญ่
บ้านของนายท่านใหญ่และนายท่านสามภายนอกดูเหมือนจะอยู่ด้วยกันสงบสุข ความเป็นจริงคือน้ำและไฟ ทั้งน้ำและไฟนี้ยังเป็นนายหญิงใหญ่ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว นางเป็นคนของนายท่านสาม แม้ว่าจะสรรเสริญเยินยอนายหญิงใหญ่ นอกจากนายหญิงใหญ่จะไม่รับน้ำใจแล้ว ยังจะคิดว่านายท่านสามรู้สึกผิดต่อนายท่านใหญ่ กำลังประจบพวกเขา แล้วไฉนนางจะต้องส่งหน้าของนายท่านสามไปให้นายหญิงใหญ่บดขยี้ด้วยเล่า?
ชิงหยวนและหูซิ่งปรึกษากันเรื่องผลไม้สด “ยามนี้ตรงกับฤดูที่ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์พอดี อิงเถาลงตลาด กระจับก็คงขึ้นตลาดแล้วกระมัง? ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านหาวิธีส่งเข้ามาเสียหน่อย นายท่านสามกลับมา ข้าจะได้มีเรื่องส่งมอบได้”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หูซิ่งตกใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็รู้สึกภูมิใจอยู่เลือนราง
เขาปฏิบัติตัวดีกับสกุลอวี้มาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าหมากนี้ได้เดินมาทิศทางที่ถูกต้องแล้ว
“ท่านวางใจก็พอแล้ว” เขาเอ่ยรับประกันกับชิงหยวน “นอกจากพวกท่านแม่เฒ่าทางนั้นแล้ว ก็เป็นคุณหนูอวี้ จะละเลยใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คุณหนูอวี้”
ชิงหยวนกลับครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “นั่นก็ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้น คุณหนูอวี้เป็นผู้น้อย กระตือรือร้นต่อนางเกินไป หากดึงความสนใจจากคนอื่นเข้าก็ไม่ดีแล้ว”
หูซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำเรื่อง ท่านยังมีอะไรไม่วางใจอีก! รับรองว่าไม่ดึงดูดความสนใจใคร ไม่มีคนพูดวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน”
ชิงหยวนพยักหน้าอย่างพอใจ
หูซิ่งเป็นหนึ่งในสามพ่อบ้านของจวน หากสายตาและความสามารถเล็กน้อยยังไม่มี ตำแหน่งพ่อบ้านนี้ก็ควรเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้ว
นางยกตะกร้าที่มีผิงกั่วครึ่งหนึ่งกลับไปทางอวี้ถัง หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะยกเข้าไป
อวี้ถังเรียนการเขียนพู่กันของหลิ่วกงเฉวียน[1] คุณหนูสวีเรียนของฮูหยินเว่ย ตัวอักษรของอวี้ถังจึงเฉียบคมกว่าเล็กน้อย ด้านคุณหนูสวีกลับดูอ่อนช้อยอยู่มาก แต่คุณหนูสวีนั้นเขียนได้ดีกว่าอวี้ถังอย่างชัดเจน
ชิงหยวนย้ายที่วางพู่กันไปยังตรงกลางระหว่างพวกนางอย่างเงียบเชียบ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กินผลไม้แล้วค่อยคัดเถิดเจ้าค่ะ! ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวผลไม้คงจะดำคล้ำหมด”
เดิมทีคุณหนูสวีก็ต้องการเพียงฆ่าเวลา ยามนี้มีเรื่องอื่นเข้ามา จึงทิ้งพู่กันลงทันที ดึงอวี้ถังไปกินแอปเปิ้ล ยังเอ่ยว่า “อิงเถาเมื่อวานอร่อยอย่างยิ่ง! วันนี้ไม่มีหรอกรึ? ข้าให้อาฝูเอาเงินให้เจ้า ส่งเด็กรับใช้ไปซื้อกลับมาเสียหน่อยได้หรือไม่”
ชิงหยวนยกน้ำชาให้ทั้งสองคน ทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “อิงเถาของเมืองหลินอันมีไม่มาก รสชาติค่อนข้างเปรี้ยว อิงเถาเมื่อวานนั้นส่งมาจากทางซานตง ลูกใหญ่ทั้งมีรสหวาน พวกเราคาดไม่ถึงว่าคุณหนูทั้งสองจะชื่นชอบอิงเถาของซานตง ข้าจะออกคำสั่งลงไปเดี๋ยวนี้ แต่วันนี้เกรงว่าคงจะไม่ทัน ต้องรอประมาณวันสองวัน ไม่อย่างนั้นส่งคนไปซื้ออิงเถาแถวนี้มาก่อนดีหรือไม่? หากคุณหนูทั้งสองคิดว่าเปรี้ยวเกินไป สามารถเพิ่มน้ำตาลกรวดหรือน้ำผึ้งทำเป็นผลไม้กวนชงกับน้ำ ก็อร่อยเช่นกัน”
คุณหนูสวีอดมองชิงหยวนใหม่ไม่ได้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิธีของเจ้า สกุลของพวกเราก็มักใช้บ่อยๆ เช่นกัน เจ้าเข้าจวนมาตั้งแต่เมื่อใด? เคยตามนายท่านสามไปเมืองหลวงอย่างนั้นรึ?”
ทางเมืองหลวงอากาศแห้ง ลมทะเลทรายก็มีมาก การเก็บรักษาผลไม้จึงเป็นเรื่องยาก มักจะนำมาทำเป็นผลไม้กวน
ชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สกุลของข้าเป็นบ่าวมาหลายชั่วอายุคน อายุห้าปีก็เข้าจวนแล้ว ตอนแรกนั้นรับใช้ในห้องของท่านแม่เฒ่า อายุแปดปีก็เริ่มรับใช้นายท่านสาม ยามที่นายท่านสามไปเมืองหลวง ข้าก็ตามไปเช่นกัน”
ก็หมายความว่า นางเข้าจวนมาครั้งแรก ก็ได้เรียนรู้กฎระเบียบกับท่านแม่เฒ่าแล้ว
เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทอย่างแท้จริง
คุณหนูสวีลอบผงกศีรษะ
อวี้ถังก็มองออกเช่นกันว่าชิงหยวนแตกต่างจากคนอื่น แต่นางคิดว่าตัวเองเป็นเพียงแขกคนหนึ่งของจวนสกุลเผย ชิงหยวนปฏิบัติดีต่อนาง นางให้ความเคารพตอบชิงหยวนก็เพียงพอแล้ว ส่วนอย่างอื่นไม่จำเป็นต้องซักไซ้ไล่เลียง รู้มากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
ทั้งสามคนพูดคุยเล่นด้วยกัน ไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน
—
นายหญิงสามสกุลหยางที่พักอยู่ด้านข้างมองนายหญิงใหญ่ที่ดื่มชาตรงข้ามนางด้วยท่าทีสบายๆ ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
พูดอย่างชัดเจนไปแล้ว สกุลอินมีสมาชิกน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชายล้วนให้ความสำคัญ อย่างไรก็ไม่อาจแต่งลูกสาวเป็นสะใภ้ให้เผยเฟยได้ นายหญิงใหญ่สกุลเผยผู้นี้ไม่เข้าใจจริงๆ? หรือว่าเข้าใจแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้?
นายหญิงสามสกุลหยางไม่อยากพูดคุยกับนางอีก ทั้งไม่อยากรั้งนางกินข้าวกลางวันให้ตัวเองอึดอัดใจ
นางยกชา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทางข้ายังต้องดื่มยา คงไม่รั้งท่านแล้ว หากพวกเรามีเวลาว่าง ค่อยพูดกันใหม่ดีๆ เถิด”
นายหญิงใหญ่ผิดหวังอย่างยิ่ง
นางคิดว่านายหญิงสามสกุลหยางปิดประตูไม่รับแขก อยู่คนเดียวย่อมต้องเบื่อเป็นอย่างยิ่ง ควรจะมาต้อนรับนางที่เป็นสหายเก่าในเมืองหลวงเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่านายหญิงสามสกุลหยางจะยังน่าชังเหมือนเมื่อก่อน พูดจาเชือดเฉือน ทั้งสองคนแทบนั่งร่วมโต๊ะกันไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่งานแต่งของลูกคนรอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องแย่งชิง ไม่อาจให้สกุลเผยตัดสินใจได้
น่าเสียดายที่สกุลมารดาของนางไม่มีคุณหนูที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายคนรอง ไม่อย่างนั้นนางจะแสวงหาสิ่งอยู่ไกลที่ด้อยค่ากว่าทำไม?
นายหญิงใหญ่ก็ไม่ใช่คนหน้าหนา สามารถยืนหยัดจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเพราะจิตใจของคนเป็นแม่ ยามนี้ถูกนายหญิงสามสกุลหยางปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ จึงไม่ทนอีกต่อไป
นางหยัดกายกล่าวลาด้วยใบหน้าเรียบเย็น
นายหญิงสามสกุลหยางส่งนางออกจากประตูด้วยตัวเอง
ออกประตูมากลับพบหญิงรับใช้ในห้องตัวเองถือจานเครื่องเคลือบลายครามคุยกับใครคนหนึ่งที่หน้าประตู
เมื่อเห็นนายหญิงสามสกุลหยางและนายหญิงใหญ่สกุลเผย ทั้งสองคนก็รีบสงวนกิริยาถอยออกไปอีกด้านทันที
พวกนางเดินเข้าไปก็นับว่าเป็นอันจบแล้ว ลำพังนายหญิงใหญ่ยังต้องการแสดงความใจกว้างของตัวเอง จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
หญิงรับใช้ในห้องของนายหญิงสามสกุลหยางรีบเอ่ยว่า “ทางคุณหนูอวี้ส่งเกี๊ยวเข้ามาจานหนึ่ง ข้ากำลังกล่าวขอบคุณอยู่เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เห็นในมือหญิงรับใช้ที่ไม่คุ้นหน้าถือกล่องของว่างอยู่ใบหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจ เอ่ยเป็นมารยาทกับนายหญิงสามสกุลหยางไม่กี่คำ ก่อนจะกลับไปห้องสงบใจของตัวเอง
ใครจะรู้ว่าเพิ่งเข้าประตูมานั่ง กลับได้ยินสาวใช้กล่าวว่าวันนี้ป้าหยางได้รับความไม่เป็นธรรม
นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้วแน่น เรียกป้าหยางเข้ามาถาม
ป้าหยางเผยท่าทีอดทนเต็มแก่ เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเจ้าค่ะ เมื่อวานท่านไม่ใช่กล่าวว่าจะให้รางวัลไป๋จื่อเป็นเกี๊ยวเจจานหนึ่งเอาไปให้ญาตินางชิมไม่ใช่หรือเจ้าคะ? วันนี้นางไปเอาเกี๊ยว ใครจะรู้ว่าทางคุณหนูอวี้คิดว่าอร่อย นำไปเพิ่มอีกจาน จึงไม่มีส่วนของนาง ข้าคิดอยากไปโรงครัวให้คนทำเพิ่มอีกส่วน ทางโรงครัวแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ข้าจึงคิดว่าไม่คุ้มที่จะจุดเตาใหม่ลำบากคนอื่นเพราะเรื่องแค่นี้ ภายหลังพวกเรายังต้องกินข้าวปลาจากคนอื่น จึงกำชับพวกเขาไปว่า ให้พรุ่งนี้ช่วยทำให้พวกเราหนึ่งส่วน นับว่าทดแทนส่วนในวันนี้เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่จึงนึกถึงฉากเมื่อครู่
นางอดแค่นหัวเราะไม่ได้ เอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเพราะต้องการประจบนายหญิงสามสกุลหยาง ก็ไม่รู้ว่าประจบเช่นนี้จะได้ดีถึงขนาดไหนกันเชียว”
แต่นางอยู่ในจวนสกุลเผยก็ไร้ทางจะมอบประโยชน์ให้ใครทั้งนั้น เรื่องนี้นางกลับรู้ดีในใจ นับวันจึงรู้สึกว่าใช้ชีวิตยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ แค่หนึ่งเค่อก็แทบจะทนไม่ไหว
อย่างไรหลินอันก็ยังมีสกุลมารดาของนายหญิงใหญ่ แต่ป้าหยางอยู่ที่นี่เรียกได้ว่าไม่คุ้นชินกับอะไรเลย ลูกชายของนางยังรั้งตัวรับใช้ที่สกุลหยาง อยู่มากขึ้นหนึ่งวันก็ระทมทุกข์อีกหนึ่งวัน อยากจะกลับไปที่เมืองหลวงโดยเร็ว
นางเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ไปหังโจวเมื่อใดเจ้าคะ?”
ในหลินอันสกุลเผยเป็นใหญ่ค้ำฟ้า แม้ว่านางจะเรียกลูกชายเข้ามาช่วยเผยถงและเผยเฟย ลูกชายของนางก็จำเป็นต้องมีที่ทางให้แสดงศักยภาพของตัวเอง แต่หังโจวก็ไม่เหมือนกันแล้ว สกุลใหญ่ทั้งสี่ของเจียงหนานล้วนมีครอบครัวตั้งรกรากอยู่ที่นั่น สกุลเผยไม่อาจมีปากมีเสียงเพียงคนเดียว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยุ่งไปหมดมิได้หรอกกระมัง?
นายหญิงใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รีบ พี่ชายภรรยาของเขาเข้ามา ตั้งใจเรียกอาถงเข้าไปโดยเฉพาะ ทดสอบวิชาความรู้ของอาถง สกุลพวกเขาย่อมพอใจอย่างยิ่ง แม้พวกเราไม่รีบในการสอบขุนนางของอาถง สกุลพวกเขาก็คงรีบเป็นแน่”
ไม่อย่างนั้น นางจะเลือกกู้ซีมาเป็นลูกสะใภ้ทำไม?
ทั้งยังเป็นลูกสะใภ้ของลูกชายคนโต!
นึกถึงครั้งแรก สกุลกู้ของพวกเขากระทั่งคนอย่างหลี่ตวนยังอยากได้ นับประสาอะไรกับลูกชายของนาง
“แต่ว่าอย่างไรอาถงก็อายุยังน้อย เรื่องไปมาหาสู่ย่อมไม่ได้ใส่ใจเท่าใด” นายหญิงใหญ่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าไปเตรียมของฝากหน่อยเถิด ให้อาถงหมั่นเอาไปให้ทางพี่ภรรยาในยามที่ไม่มีเรื่องราวอันใด พี่ชายภรรยาสกุลสะใภ้ของเราผู้นี้ ไม่ใช่บัณฑิตธรรมดาทั่วไป ยามที่นายท่านใหญ่มีชีวิตอยู่ก็เคยชมเขาอย่างไม่ขาดปาก ยังกล่าวว่าสกุลพวกเราไม่มีคุณหนู ไม่อย่างนั้นก็คงจะหาวิธีแต่งให้กับเขา”
พูดมาถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงฉากที่สามีคุยกับนาง อดเผยรอยยิ้มเบิกบานขึ้นมาไม่ได้
ป้าหยางทำหน้าอย่างพบเจอได้ยาก
หากนายท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ นายหญิงใหญ่ไหนเลยจะเป็นกังวลเช่นนี้?
แต่อาการป่วยของนายท่านใหญ่ก็มาอย่างกะทันหันเกินไป จะว่าไปแล้ว กระทั่งคำพูดกำชับก็ยังไม่ทันได้กล่าว…
นางก้มศีรษะ ลอบเช็ดคราบน้ำที่หางตา
ยามนี้นายหญิงใหญ่จึงให้ความสนใจอวี้ถังขึ้นมา นางถามป้าหยางว่า “คุณหนูอวี้ผู้นั้นมีความเป็นมาอย่างไร? หากข้าจำไม่ผิด คุณหนูกู้ยังเคยตั้งใจเอ่ยถึงนางต่อหน้าข้า”
เพราะเรื่องเกี๊ยว ป้าหยางจึงไปสืบข่าวของอวี้ถังมานานแล้ว รู้ว่าชาติกำเนิดนางต้อยต่ำอยู่บ้าง ดังนั้นจึงกล้าฟ้องต่อหน้านายหญิงใหญ่ ฟังจบก็รีบเล่าเรื่องที่นางทราบให้นายหญิงใหญ่ฟัง “…เพราะพ่อของนางเป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง จึงมีความสนิทกับเถ้าแก่ใหญ่ถง นายท่านสามเคยพบหลายครั้ง จึงให้นางเข้าจวนมาคอยอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่า…ไปไหนมาไหนกับพวกคุณหนู ทั้งยังทำตำรับเครื่องหอมอะไรออกมา ทำธูปหอมให้แก่อารามดับทุกข์…งานบรรยายธรรมครั้งนี้ สกุลพวกเขาก็ตามมาออกหน้าออกตาด้วยเจ้าค่ะ…”
ในความคิดของนายหญิงใหญ่ อวี้ถังก็เป็นเพียงคนที่มาอาศัยบารมีเท่านั้น
นางเอ่ยอย่างดูแคลน “ไม่ต้องสนใจนาง คนประเภทนี้ข้าพบเห็นมามาก เล่นลูกไม้เล็กๆ ก็คิดว่าตัวเองสามารถควบคุมคนอื่นไว้ในมือแล้ว ถึงเวลานั้นกระทั่งตัวเองตายอย่างไรแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ เรื่องสำคัญในยามนี้คือหาวิธีให้อาถงได้รับความโปรดปรานจากกู้เจาหยาง เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันภายหลังเถิด”
พวกนางก็นับว่าต้องพักอยู่ในสกุลเผยอีกนาน เวลาว่างมีมาก ยามที่ไม่มีเรื่องราวอันใด ค่อยไปจัดการพวกคนที่ขัดหูขัดตาก็ไม่สาย
ป้าหยางหลุบสายตาขานรับว่า “เจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่เริ่มปรึกษากับนางว่าจะเอาของขวัญอะไรให้กู้เจาหยางดี
ตอนกลางวันกู้ซีและคุณหนูอู่กินข้าวด้วยกัน ก่อนจะอ้อมผ่านทางหน้าประตูเรือนอวี้ถัง
ประตูหรูอี้สีแดงนั้นปิดสนิท ดอกจื่อเถิงสีชมพูย้อยลงมาจากกำแพง ยามที่ลมโชยแผ่วเบา ก็เกิดเสียงครืดคราด ในความเงียบสงบกลับเผยอ่อนหวาน งดงามราวกับภาพวาด
กู้ซียืนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปหาคุณหนูสวีที่เรือน
ใครจะรู้ว่าคุณหนูสวีไม่อยู่ กลับอยู่ทางเรือนอวี้ถัง
นางไม่อาจรั้งอยู่นาน ทั้งไม่อยากพบอวี้ถัง จึงกลับห้องตัวเองอย่างรู้แล้วรู้รอดไป
ช่วงบ่าย ยามที่นางไปศาลาเทศนาธรรม นายหญิงรองก็กำลังพูดคุยกับท่านแม่เฒ่าเผย
นางเข้าไปน้อมทักทายด้วยรอยยิ้ม
ท่านแม่เฒ่าเผยดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ให้สาวใช้ส่งเม็ดแตงโมให้นางหนึ่งกำมือด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะฟังนายหญิงรองพูดต่อ “ฝีมือดีไม่น้อยทีเดียว คุณหนูอวี้พูดว่า ตอนเย็นยามที่ไปน้อมทักทายท่าน อยากจะพาหมอสื่อเข้าไปด้วย ข้าคิดว่าดีเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็พาเข้ามาเถิด” ท่านแม่เฒ่าเผยยิ้มอย่างเริงร่า เอ่ยกับพวกท่านแม่เฒ่าไม่กี่คนที่อยู่ด้านข้าง “หากใช้ได้จริงๆ รับนางเข้าจวนมาบ่อยๆ ก็ดีไม่น้อยเช่นกัน”
พวกท่านแม่เฒ่าต่างก็พยักหน้าทั้งรอยยิ้ม
———————–
[1]หลิ่วกงเฉวียน คือนักเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถัง