ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 281 มึนงง
อวี้ถังฟังแล้วหัวคิ้วพันกันยุ่ง
เผยเยี่ยนข้ามลำดับพี่น้องขึ้นเป็นผู้นำสกุลเผย ในตระกูลคนทั่วไปไม่มีทางเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้นง่ายๆ ภายในมีเรื่องน่าตื่นตกใจเช่นไรนางก็ไม่อาจล่วงรู้ แต่ตอนได้ยินน้ำเสียงของเผยเยี่ยน เห็นชัดว่าไม่พอใจหูซิ่งมานานแล้ว คิดจะฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนตัวเขา
เปลี่ยนตัวหูซิ่งไม่นับเป็นอะไร นี่อยู่ภายใต้อำนาจเผยเยี่ยนอยู่แล้ว แต่หากใช้นางเป็นข้ออ้าง นางไม่ชอบใจนัก
อวี้ถังคิดถึงครั้งก่อนที่ทั้งสองแยกย้ายกันด้วยความผิดใจ รู้สึกว่ามิแปลกที่ผู้อื่นจะเกรงกลัวเผยเยี่ยน เพราะคนผู้นี้มิใช่จะเอาใจได้ง่ายๆ นัก
อย่างไรนางก็ไม่คิดจะเอาใจเขาอยู่แล้ว จึงโพล่งไปตรงๆ ว่า “พ่อบ้านหูเป็นพ่อบ้านที่จวนสกุลเผยตั้งหลายปี แม้ไม่มีความชอบแต่ก็ทุ่มเทแรงใจ เรื่องที่ท่านสั่งเขาไปทำเขาจัดการได้ไม่ดี ถ้าท่านไม่พอใจเขา ข้าเองก็เข้าใจได้ เพียงแต่เรื่องสวนป่าสกุลข้ามิใช่เรื่องแค่วันสองวันนี้ ต้นซาจี๋ปีหน้านี้ก็คงออกผลแล้ว หากจู่ๆ เปลี่ยนไปปลูกต้นอื่น เกรงว่าคงต้องเสียเวลารออีกหลายปี ดีที่สกุลข้าไม่ได้รอผลผลิตจากต้นซาจี๋เพื่อเอาชีวิตรอดอย่างเดียว ต้นไม้ชนิดอื่นที่โตในสวนป่าก็ยังพอทำฟืนขายได้หลายมัด ข้าว่า สวนป่าแห่งนี้ก็ปล่อยให้ข้าไปทรมานเอาเองเถอะ พ่อบ้านหูทางนั้น ท่านมอบหมายงานอื่นให้เขาจะดีกว่า…เมื่อครู่ท่านก็เพิ่งพูดนี่ ว่าเขาสนิทสนมกับสกุลอื่นในเจียงหนาน นี่มิใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หากส่งเขามาช่วยข้าดูแลสวนป่า ก็ออกจะน่าเสียดายอยู่”
เผยเยี่ยนฟังแล้ว ก็ลอบปรบมือให้อวี้ถังในใจ
เด็กสาวคนนี้ ไม่เสียแรงที่เขาถูกใจ ไหวพริบใช้ได้ทีเดียว
กลัวว่าหากหูซิ่งถูกปลดจากตำแหน่งพ่อบ้าน แล้วคนจะเข้าใจผิดคิดว่านางมีส่วนเกี่ยวข้อง นางจึงปลีกตัวเองออกมาตั้งแต่ต้น
เขาไม่ได้มีเจตนาให้อวี้ถังเป็นแพะรับบาป จึงคิดต่อว่าตนควรเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นดีหรือไม่?
บางที เขาควรเปลี่ยนเรื่องพูดจริงๆ?
สกุลอวี้ยังมีประเด็นอะไรอีกนะ…
เผยเยี่ยนครุ่นคิดแล้วลองเชิงต่อว่า “ร้านเครื่องลงรักของสกุลเจ้าเป็นอย่างไร? แบบภาพที่ข้าวาดให้เจ้าครั้งก่อนขายดีหรือไม่?”
ตอนแรกที่เขาเสนอความคิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นอวี้ป๋อหรืออวี้เหวิน ต่างก็ทอดถอนหายใจกันยกใหญ่ บอกว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยดวงตาเฉียบแหลม เลือกเผยเยี่ยนให้เป็นผู้นำสกุล สกุลของนางทำตามที่เผยเยี่ยนบอก เร่งงานกันทั้งวันทั้งคืน ทำกล่องสลักลงรักสีแดงออกมาหลายใบ นอกจากมอบให้ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับวัดเจาหมิงแล้ว ส่วนที่เหลือยังไม่ได้นำออกมาวางขาย
อวี้ถังหัวเราะเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณท่าน หากมิใช่ท่านช่วยออกความเห็น ตอนนั้นพวกเราก็คงคิดไม่ออก เพียงแต่เวลาบีบคั้น ทั้งยังวุ่นกับพิธีบรรยายธรรมของวัดเจาหมิงอีก ตอนนี้ยังไม่ทันได้นำออกมาขายเลยเจ้าค่ะ”
นี่ไม่ต่างจากที่เผยเยี่ยนคาดเอาไว้เท่าไร เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าวาดแบบให้พวกเจ้าเพิ่มอีกสักหลายภาพดีกว่า ผู้อื่นมาเลือกซื้อที่ร้านเจ้าจะได้มีตัวเลือกมากขึ้น มิใช่นอกจากดอกบัวก็เป็นดอกเหมย อย่างไรก็ต้องเพิ่มบุปผาชนิดอื่นเข้าไป ไม่เช่นนั้นต่อให้สินค้าจะงดงามเพียงใด ผู้อื่นก็คงเห็นจนเอียนแล้ว”
อวี้ถังอยากได้ใจจะขาดเชียวล่ะ
เพียงแต่หากทำเช่นนี้ ก็ต้องติดหนี้น้ำใจเผยเยี่ยนอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อไปก็ต้องมีเรื่องให้แวะเวียนไปหาเผยเยี่ยนอีกบ่อยๆ
นางไม่รู้ว่าอย่างไหนทำให้คนปวดหัวมากกว่ากัน
อวี้ถังชะงักไปพักใหญ่ คิดว่าไม่อาจล่วงเกินเผยเยี่ยน และต้องไม่คาดหวังกับเผยเยี่ยนมากเกินไป มิเช่นนั้นต่อไปสกุลนางคงต้องอาศัยเผยเยี่ยนหายใจไปชั่วชีวิต
คนที่มีชีวิตอยู่มาสองชาติอย่างนางมักรู้สึกว่าพึ่งพาใครก็ไม่สู้พึ่งพาตัวเอง
หากชีวิตวันหน้าของนางเป็นเช่นนั้น ร้านค้าสกุลนางก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่อย่างไรท่านก็เป็นคนดังมีชื่อเสียง พวกเราจะหาดูอีกหน่อยว่าพอมีบัณฑิตคนใดยินดีจะวาดแบบให้หรือไม่ หากท่านมีคนรู้จักที่เต็มใจทำสิ่งนี้ รบกวนท่านบอกกับเขา ว่าพวกเรายินดีซื้อภาพในราคาสูงเจ้าค่ะ”
เผยเยี่ยนถึงกับลืมดื่มน้ำชาที่ยกจ่ออยู่ตรงปาก
นี่เขาถูกปฏิเสธรึ?!
เผยเยี่ยนหันมองหน้าอวี้ถัง
นอกจากเห็นว่านางขาวขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน่อย กับแพขนตาที่หลุบลงเล็กน้อยหนากว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้แล้ว อวี้ถังไม่ได้มีอะไรแปลกไปจากที่เคย
เผยเยี่ยนโมโหจนแทบกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะ
หากมิใช่กลัวว่าจะทำให้อวี้ถังที่เดิมก็พูดจากับเขาแปลกๆ อยู่แล้วต้องเอาใจออกหากและวางตัวเย็นชากับเขา เขามีหรือจะต้องเอาแต่สูดหายใจลึก กล้ำกลืนความเดือดดาลพวกนี้ลงท้องไป
เขาสูดหายใจอีกหลายครั้ง จนรู้สึกว่าตนเองควบคุมความคุกรุ่นไว้อยู่แล้ว ถึงค่อยเอ่ยเสียงเรียบออกมาว่า “เกรงว่าข้างกายข้าจะไม่มีบัณฑิตคนใดที่ยอมวาดแบบให้หรอก หากเจ้าคิดว่าแบบที่ข้าวาดยังดีไม่พอ ต้องการหาจิตรกรอื่น ข้าก็สามารถใช้เส้นสายช่วยเจ้าตามหามาให้ได้”
แม้ปากจะบอกแบบนั้น แต่ความโมโหที่พุ่งพรวดขึ้นมา อาศัยคนความรู้สึกไวอย่างอวี้ถัง มีหรือที่นางจะจับไม่ได้
นางคิดว่าตนอับจนหนทางแล้ว
นางนึกว่าอาศัยตำแหน่งฐานะและความรู้ที่กว้างขวางของเผยเยี่ยน เขาไม่มีทางใส่ใจเรื่องพวกนี้ ไม่เคยคิดว่าเขาก็เหมือนบัณฑิตคนอื่นๆ ที่ชอบเอาชนะและจิตใจคับแคบ ไม่ยินดีให้ผู้ใดมองภาพของคนอื่นมากกว่าของตน
หรือว่าต่อไปสกุลนางต้องใช้แบบภาพของเผยเยี่ยนเท่านั้นหรือ?
หากว่าวันใดเขาไม่ยอมวาดภาพให้เล่า?
เขางานล้นมือขนาดนั้น หากไม่มีเวลาวาดเล่า?
แล้วจะให้พวกนางสกุลอวี้ปล่อยร้านค้าทิ้งขว้างไม่สนใจ เฝ้ารอแต่เขาอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังใคร่ครวญแล้วจึงเอ่ยว่า “เดิมคำพูดนี้ข้าไม่สมควรพูด เพียงแต่ท่านมิใช่คนนอก จะบอกท่านไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยตกลงกับคุณชายจางฮุ่ยให้ช่วยวาดแบบ…”
ความหมายก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้แบบภาพของเขาเพียงคนเดียว
เผยเยี่ยนพบว่าเด็กสาวมีลูกไม้เยอะไม่เลว เหมือนปลาไหลที่ลื่นมือ คำพูดคำจาทั้งไม่ล่วงเกินคน ทั้งไม่อาจทำให้คนจับจุดอ่อนได้
บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะเหมาะกับการทำมาค้าขายจริงๆ
หากนางมีพรสวรรค์ด้านนี้ เขาก็มิใช่คนที่ยอมคนไม่เป็น สกุลเผยมีร้านค้าอยู่มากมาย ถึงเวลานั้นให้นางมาดูแลก็จบเรื่อง ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนกับร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้เสมอไป จะได้ไม่ต้องไปแย่งถ้วยข้าวกับอวี้หย่วน เช่นนั้นอวี้หย่วนจะต้องชื่นชอบนางมากกว่าเดิมแน่
เผยเยี่ยนอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ “ที่แท้ในสายตาคุณหนูอวี้ ข้าเป็นคนเห็นผู้อื่นดีกว่าไม่ได้เลยรึ!”
น้ำเสียงนั้นฟังค่อนไปทางเย้ยหยัน เมื่อเอ่ยในวงสนทนาที่มีพวกเขาเพียงสองคน จึงฟังคล้ายจะแดกดันไปหน่อย
อวี้ถังชะงักไป
เผยเยี่ยนรู้สึกได้ในทันที
เขากระแอมเบาๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “คุณชายจางทางนั้น เจ้าก็ทำสัญญาวาดแบบกับเขาต่อไป หากข้าทางนี้เจอคนที่เหมาะสม ก็จะคอยดูไว้ให้เช่นกัน”
เขาแค่อยากหาเรื่องสักเรื่องมาคุยดีๆ กับอวี้ถัง เรื่องวาดแบบนี้คงไม่เหมาะ ไม่เช่นนั้นวันๆ เขาคงต้องค้อมตัววาดแบบอยู่เหนือโต๊ะ นางเองก็อยู่เรือนสกุลอวี้ไป ต่อให้ได้พบหน้าพูดจากัน แต่ก็ทำได้แค่นัดมาเจรจาสองสามประโยค แล้วจะเทียบกับการปลูกต้นไม้ได้อย่างไร นอกจากต้องหารือกันเรื่องพันธุ์ไม้ ยังต้องขึ้นเขาไปตรวจสอบพื้นที่จริงๆ อีกด้วย
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องสวนป่าเหมาะสมกว่าตั้งเยอะ
เขาเปลี่ยนบทสนทนากลับไปเรื่องสวนป่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เรื่องของหูซิ่ง จะไม่ดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวหรอก แต่สวนป่าของพวกสกุลเจ้า จะปล่อยไว้ไม่แก้ไขไม่ได้ เจ้ามีความเห็นดีๆ บ้างหรือไม่?”
อวี้ถังไม่กลัวจะต้องปะทะกับผู้อื่น กลัวแต่ผู้อื่นจะแสร้งทำดีอ่อนโยนกับนาง
เผยเยี่ยนในเวลานี้ออกจะเป็นมิตรกับนางมากเกินไป
อวี้ถังลำบากใจ น้ำเสียงจึงเบาลงหลายส่วน ทั้งฟังว่าจริงจังกว่าเก่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่คิดว่ารอให้ต้นซาจี๋ออกผลก่อน พอทำผลไม้เชื่อมได้แล้วค่อยว่ากัน”
นางกำลังเล่นละครตบตาเผยเยี่ยนอยู่
ต่อให้ทุ่มเทกำลังย้ายต้นอ่อนซาจี๋มาอีกก็เป็นไปไม่ได้ นางนึกย้อนไปตอนที่สำรวจดูรอบๆ สวนป่า สังเกตว่าสวนป่าของผู้อื่นที่เหมือนกับนางนี้ปลูกอะไรขึ้นบ้าง? สามารถนำมาใช้บ้างได้หรือไม่
หรือควรจะยอมแพ้เพียงเท่านี้
แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า บางครา การทำบางสิ่งให้สำเร็จก็ต้องอาศัยโชคด้วย
ไม่แน่ นางอาจจะไม่มีโชคเหมือนอย่างที่เผยเยี่ยนมีเมื่อชาติก่อน
เผยเยี่ยนได้ฟังก็ตื่นเต้นใหญ่
นี่นับเป็นเรื่องประเสริฐอย่างหนึ่ง
คงจะดีมากหากสองสามปีต่อจากนี้สวนป่าของสกุลนางจะปลูกอะไรไม่ขึ้นเลยสักอย่าง
แต่สีหน้าเขากลับไม่แสดงออกสักนิด ยังแสร้งวางท่าใช้สมองพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน รอพวกเรากลับไปถึงหลินอันแล้ว ข้าจะพาหูซิ่งไปสำรวจสวนป่าของเจ้าให้ละเอียดด้วยตนเองอีกรอบ ลองดูว่าทุกคนจะหารือวิธีที่ดีออกมาได้หรือไม่”
นางกับเผยเยี่ยนต้องไปเดินเล่นที่สวนป่ารึ?
อวี้ถังตื่นตะลึง ไม่อาจควบคุมหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะได้
เผยเยี่ยนเหลือบมองนาฬิกาน้ำในห้องเงียบๆ อาศัยประสบการณ์ที่คบหากับขุนนางใหญ่โตมานาน การพูดคุยถึงตรงนี้นับว่าควรหยุดได้แล้ว หากว่ายังคุยกันต่อไป มีแต่จะทำให้คนเหนื่อยล้า และไม่สนใจกับบทสนทนาเท่าที่ควร
อย่างไรเป้าหมายของเขาก็บรรลุผลแล้ว
เผยเยี่ยนยืนขึ้นเป็นการตัดบท “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้ายังต้องไปช่วยนายหญิงสามสกุลหยางกับคุณหนูสวีอีก เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ ข้าต้องขอตัวก่อน เรื่องสวนป่านั้น สองวันนี้พวกเราก็ไตร่ตรองไปพลางๆ ดูว่ามีความเห็นที่เข้าท่าบ้างหรือไม่ ระหว่างเดินทางกลับหลินอันก็ค่อยมาหารือกันอีกที”
เช่นนี้ กระทั่งครั้งหน้าจะสนทนาเรื่องอะไรก็กำหนดเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว
เผยเยี่ยนพอใจอย่างมาก ไม่รอให้อวี้ถังลุกขึ้น ก็เสริมขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ต้องส่งข้าหรอก ข้าไปก่อนละ” จากนั้นก็สาวเท้าออกไปจากเรือนของอวี้ถัง
อวี้ถังยืนอยู่ที่เก่า สมองมึนงงไปหมด
ที่แท้เผยเยี่ยนมาทำอะไรกันแน่? พูดจากลับไปกลับมา ล้วนแต่เป็นเรื่องของสกุลอวี้ทั้งสิ้น อีกอย่าง นึกเรื่องไหนออกก็พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาดื้อๆ…
ดึกมากแล้วอวี้ถังยังนอนไม่หลับ ตอนตื่นนอนเช้าวันถัดมาใต้ตาจึงมีรอยเขียวช้ำบางๆ นางรีบบอกชิงหยวนใช้แป้งผัดกลบให้มิดชิด หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ถึงได้ไปหานายหญิงสามสกุลหยาง
ขบวนคนยกโขยงไปที่คฤหาสน์หลังใหม่ของสกุลอิน
คฤหาสน์หลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ของเผยเยี่ยนเท่าไรนัก นั่งเกี้ยวไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว เท่าที่อวี้ถังเห็นคฤหาสน์น่าจะแบ่งเป็นสามชั้น กว้างใหญ่พอตัว แต่ในสายตาคุณหนูสวี กลับแค่พอถูไถไปได้ “ข้อดีเพียงอย่างเดียวคืออยู่ใกล้เผยสยากวง ต่อไปมีเรื่องอะไร สกุลเผยก็สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลได้”
อวี้ถังยิ้มแต่ไม่ได้ออกความเห็น นางพาหญิงรับใช้ที่ยืมตัวมาจากสกุลเผยเดินเข้าไปในห้องเล็กซึ่งติดกับโถงหลัก แล้วกำชับถึงเรื่องที่ต้องคอยระวังให้ฟัง
คุณหนูสวีเห็นอวี้ถังตัวยืดตรง สีหน้าอ่อนโยน เสียงที่ใช้ไม่สูงไม่ต่ำ น้ำเสียงไม่เร่งร้อนไม่เอื่อยเฉื่อย ดวงหน้าสวยใต้แสงสลัวภายในห้องขาวผ่องจนแทบเปล่งแสง เป็นความงามที่ไม่อาจบรรยายได้ นางจึงยืนแน่นิ่งจ้องมองอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยหมุนกายเดินกลับไปหานายหญิงสามสกุลหยาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูอวี้เก่งกาจกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้เสียอีก นางนั่งอบรมบ่าวไพร่อยู่ตรงนั้น กระทั่งนายหญิงผู้ดูแลสกุลบางคนยังสู้รัศมีไม่ได้ ที่สำคัญคือไม่ข่มเหงกดขี่คน หากสกุลเผยมอบบ่าวไพร่ให้นาง ย่อมไม่มีทางผิดพลาดแน่เจ้าค่ะ”
นายหญิงสามสกุลหยางได้ฟังก็สนอกสนใจ อยากจะเดินไปชมสักหน่อย น่าเสียดายที่เถ้าแก่รองถงของสกุลเผยมาช่วยงานพอดี นายหญิงสามสกุลหยางจึงรีบเชิญเขาเข้ามา ไม่มีเวลาไปสนใจอวี้ถังทางนั้น รอกระทั่งนายหญิงสามหาเวลาว่างได้ อวี้ถังก็จัดการเรื่องราวตามที่หารือกันไว้แต่เมื่อวานเรียบร้อยไปหมดแล้ว