ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 289 ขึ้นเขา
อวี้ถังได้ยินว่าอวี้หย่วนเมาค้างจนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น ไม่ว่าอย่างไรก็ยืนยันจะไปดูให้ได้
เผยเยี่ยนรู้สึกว่าหลุดจากแผนของตน จึงส่งสายตาเย็นเยียบไปทางหูซิ่งทีหนึ่ง
หูซิ่งผงกศีรษะให้เผยเยี่ยนเบาๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น ก่อนจะรีบชิงเข้าไปช่วยนำทางอวี้ถัง “เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปดูมาแล้วขอรับ คุณชายอวี้เมื่อคืนดื่มน้ำแกงสร่างเมาเข้าไป อาจจะเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ดังนั้นถึงหลับลึกไม่ยอมตื่น”
ที่ร้านเครื่องลงรัก ตอนฤดูร้อนเป็นช่วงกักตุนสินค้า และเป็นเวลาที่ร้านมีงานยุ่งที่สุด
บวกกับตั้งแต่อวี้ป๋อมีหลานชายคนโต ก็ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องที่ร้านค้ามากนัก กิจการหลายอย่างล้วนมอบให้อวี้หย่วนจัดการ
อวี้ถังพยักหน้า เอ่ยกับหูซิ่งด้วยรอยยิ้มว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังห้องเซียงฝางที่อวี้หย่วนพักอยู่
ซานมู่กำลังนั่งพัดหม้อต้มยาดินเผาบนตั่งไม้ พอเห็นพวกอวี้ถังเดินมาก็รีบลุกขึ้นทันที “คุณหนู พ่อบ้านหูให้คนส่งยามาให้ บอกรอให้คุณชายตื่นแล้วค่อยยกเข้าไป เป็นยาบำรุงกระเพาะขอรับ”
อวี้ถังรู้สึกเกินคาด
หูซิ่งไม่รอให้นางพูดขอบคุณก็หัวร่อแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูไม่จำเป็นต้องเกรงใจขอรับ ข้ากับคุณชายนับเป็นสหายที่ดีต่อกัน ดูแลเขานับเป็นเรื่องสมควร คุณหนูขึ้นเขาไปกับนายท่านสามอย่างสบายใจได้เลยขอรับ ทางนี้ข้าส่งคนมาคอยดูแลแล้ว!”
อวี้ถังยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา แต่ก็ยังอยากจะเข้าไปดูสักหน่อย
กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง อวี้หย่วนถูกห่อด้วยผ้าห่มผืนบางกรนคร่อกๆ หลับอย่างสบายใจ
อวี้ถังยกผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกแล้วเดินหนี ตอนนี้ค่อยวางใจขึ้นบ้าง นางยิ้มพลางเอ่ยกับหูซิ่งว่า “ทางนั้นคงต้องรบกวนท่านด้วย หากว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่สบาย ก็บอกให้เขาพักสักวัน รอตอนเย็นข้ากลับมาแล้วจะมากินข้าวด้วย”
หูซิ่งพยักหน้าหงึกหงัก สั่งอาฉาที่คอยดูแลอวี้หย่วนว่า “อย่าลืมให้ห้องครัวทำอาหารที่ย่อยง่ายๆ หากว่าคุณชายรู้สึกเบื่อ ก็พาเขาไปเดินเล่นรอบๆ หรือไปตกปลาก็ได้ อย่าปล่อยให้คุณชายรอจนร้อนใจล่ะ”
อาฉาตอบว่า “ขอรับ” อย่างแข็งขัน แต่กลับทำให้อวี้ถังหัวเราะพรืดออกมา “นี่เป็นเรือนเก่าสกุลอวี้ พี่ชายข้าแต่เล็กก็กลับมาพักกับท่านปู่บ่อยๆ เขาจำเป็นต้องให้อาฉานำทางด้วยรึ?”
หูซิ่งเห็นนางยิ้มแย้ม หัวใจที่ลอยเคว้งเริ่มสงบขึ้น เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าแค่กลัวว่าคุณชายจะเบื่อน่ะขอรับ”
อวี้ถังยิ่งเผยยิ้มงามแฉล้ม
เผยเยี่ยนฉวยโอกาสถามขึ้นว่า “ตอนเด็กเจ้าก็กลับมาที่เรือนเก่าบ่อยๆ รึ? แล้วกลับมาทำอะไรบ้าง? ข้าเห็นลำธารน้อยหน้าท้องนามีพวกเด็กๆ กำลังตกปลากันอยู่ ตอนเจ้ายังเล็กก็ไปตกปลาที่ลำธารนั่นรึ?”
อวี้ถังกับเผยเยี่ยนยืนเคียงไหล่กัน ระหว่างที่เดินไปข้างหน้า ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ตอนเด็กๆ ข้าซนจะตาย ท่านปู่บอกว่าข้าเป็นลิงกลับชาติมาเกิด ทั้งตอนนั้นท่านก็อายุมากแล้ว เรี่ยวแรงก็ถดถอย ไม่ค่อยพาข้ากลับมาเรือนเก่าสักเท่าไร ท่านพ่อข้าก็เป็นพวกใจพะวงถ้าไม่ได้เห็นหน้าลูกสาว เท่าที่ข้าจำได้ ไม่กี่ครั้งที่กลับมาเรือนเก่าล้วนเป็นท่านพ่อที่อุ้มข้ากลับมา ไม่ต้องพูดถึงไปตกปลาที่ลำธารหรอก เท้ายังไม่เคยได้แตะพื้นด้วยซ้ำ กลับเป็นช่วงสองปีมานี้ ท่านพ่อให้ข้าติดตามพี่ชายเพื่อเรียนรู้งานในสกุล ข้าจึงได้กลับมาที่นี่บ่อยกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
เรือนเก่าของสกุลอวี้เป็นเรือนสามชั้นเท่านั้น สองคนเดินคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงประตูใหญ่แล้ว
เสียงสุนัขเห่า ไก่ขัน และนกร้องในชนบท ทำให้อวี้ถังรู้สึกว่าสดชื่นไม่เลว
นางสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า มองรถลากที่หยุดรออยู่หน้าประตู แล้วถามอย่างฉงนว่า “พวกเราจะนั่งรถลากไปหรือเจ้าคะ?”
จากเรือนเก่าสกุลอวี้ไปถึงสวนป่าของตนที่อยู่ตีนเขา ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น
เผยเยี่ยนร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง “นั่งรถลากไปสะดวกสบายกว่า”
ถนนจากเรือนสกุลอวี้ไปยังสวนป่าเป็นทางดิน แม้จะถูกปัดกวาดจนสะอาดเกลี้ยง แต่เผยเยี่ยนก็ยังนึกรังเกียจว่าฝุ่นเยอะ
อวี้ถังมองชุดสีขาวตัดจากผ้าเนื้อดีบนตัวเผยเยี่ยน อยากบอกให้เขากลับไปเปลี่ยนเป็นชุดอื่น แต่พอคิดถึงเสื้อผ้าที่เผยเยี่ยนสวมใส่ทุกๆ ครั้ง นางก็กลืนคำพูดลงคอไปแทน
ชิงหยวนช่วยประคองนางปีนขึ้นรถลาก
เผยเยี่ยนหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะตามขึ้นไป
นี่เป็นครั้งแรกของอวี้ถังที่ได้นั่งรถลากคันเดียวกันกับเผยเยี่ยน
นางขยับเข้าไปติดด้านในอย่างรู้สึกอึดอัด วินาทีนั้นพลันนึกถึงบรรยากาศเมื่อคืนตอนที่ทั้งสองคนบอกลากัน ดวงหน้าร้อนฉ่าเป็นสีเลือด แล้วซุกตัวชิดด้านในยิ่งกว่าเดิม
เผยเยี่ยนก็รู้สึกอึดอัดไม่ต่างกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องนั่งเบียดในรถคันเดียวกับหญิงสาว
ไม่รู้ว่าอวี้ถังจะคิดว่าเขาเรื่องมากเกินไปหรือเปล่า
หญิงสาวแดนใต้มักมองว่าชายหนุ่มทางเหนือองอาจกล้าหาญ นั่นก็เพราะชายหนุ่มทางเหนือรักการขี่ม้า ไม่ชอบการนั่งเกี้ยว
หรือเขาควรจะลากม้ามาด้วยสักตัว?
เผยเยี่ยนครุ่นคิด แต่จู่ๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ
มันเบาบางมาก ถ้าไม่หายใจก็จะไม่ได้กลิ่น คล้ายกลิ่นดอกมะลิ แต่ก็เหมือนดอกกุหลาบ น่าจะใช้หลายกลิ่นผสมกัน แต่เพราะกลิ่นมันอ่อนมาก เขาจึงรู้สึกว่าอยู่ในจุดที่ยอมรับได้
เขาหันไปมองตามกลิ่นหอม ก็เห็นผมสีดำขลับของอวี้ถัง
เงางามดั่งเส้นไหม ดูสุขภาพดีและหนานุ่ม
คุณหนูอวี้ช่างมีเส้นผมที่งดงามเหลือเกิน
เผยเยี่ยนลอบคิดเงียบๆ ก่อนจะตกใจว่าเพราะบนรถไม่มีเสียงพูดคุย เวลานี้กระทั่งเสียงหายใจก็ยังได้ยินชัด บรรยากาศออกจะกระอักกระอ่วน
หากเป็นแบบนี้ทุกคนจะต้องอึดอัดมากกว่าเดิมแน่
ไม่ได้เด็ดขาด!
เผยเยี่ยนรีบหาทางออก ก่อนจะเล่าเรื่องตอนเด็กของตนให้ฟังว่า “พี่ชายคนโตของข้าแยกดอกกุยช่ายกับดอกสุ่ยเซียงไม่ออก ท่านพ่อคิดว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้การ ตอนเด็กๆ จึงอุ้มข้าไปเล่นที่สวนบ่อยๆ ข้าเคยเล่นจับปลาไหลในนากับพวกเขา แต่ก็เกือบถูกปลิงดูดเอา ท่านพ่อข้าถึงกับตกใจเสียขวัญไปเลย”
บทสนทนาที่ส่วนตัวแบบนี้…ทำให้อวี้ถังหน้าแดงกว่าเก่า อดนึกถึงความรู้สึกเมื่อคืนวานขึ้นมาไม่ได้
นางคงไม่ได้เดาผิดหรอกใช่ไหม?
นางเงยหน้ามองเผยเยี่ยนเพราะอดใจไม่อยู่
เผยเยี่ยนก็กำลังมองนางอยู่พอดี
สายตาที่เขามองนางทั้งมุ่งมั่นและจริงใจ มีประกายรอยยิ้มบางๆ…และความรู้สึกดีที่ล้นเปี่ยม
นี่มิใช่สายตาที่ชายหนุ่มทั่วไปจะใช้มองหญิงสาว
สมองของอวี้ถังพลันขาวโพลน หูสองข้างอื้ออึง มุมปากกระตุกสั่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
เผยเยี่ยนกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เขาได้ยินอวี้ถังพูดว่า “มิน่าท่านถึงรู้เรื่องชีวิตชนบทดีถึงเพียงนี้”
เผยเยี่ยนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คิดจะคัดค้านสักสองคำ แต่ถูกสีหน้าสะเทิ้นอายของอวี้ถังดึงดูดเอาไว้ก่อน หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที เขาอ้าปากพยายามจะพูด แต่กลับไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
บรรยากาศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งทื่ออย่างช้าๆ
เผยเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีแมวน้อยตัวหนึ่งกำลังข่วนเล็บลงหัวใจเขา
นางจะต้องรู้แล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะหน้าแดงทำไม เขินอายอะไร…แต่นางไม่ได้โมโห ไม่ได้พูดจาขับไส หรือเพราะนางก็ชอบเขาอยู่นิดๆ?!
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งเชื่อมั่นกว่าเก่า
ลำคอของเขาคล้ายมีขนนกปัดผ่าน หากไม่เปิดปากส่งเสียงจะรู้สึกไม่สบาย แต่พอจะเปล่งเสียงออกมา ก็กลายเป็นเสียงกระแอมไอสองที
เผยเยี่ยนชะงักกึก
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินคนพูดว่าประหม่าจนพูดไม่ออก ตนยังดูแคลนอยู่ในใจ คิดว่านั่นมิได้เรียกว่าพูดไม่ออก แต่เป็นพวกไร้ประโยชน์ต่างหาก
ตอนนี้…หมุนมาถึงทีเขาบ้าง…
เผยเยี่ยนลอบสูดหายใจลึก ตอนที่กำลังคิดว่าจะคุยเรื่องวิถีชีวิตในชนบทต่อหรือไม่ รถลากก็หยุดลงกะทันหัน น้ำเสียงเจือหัวเราะของหูซิ่งลอยผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องโดยสาร “นายท่านสาม คุณหนู มาถึงตีนเขาแล้วขอรับ”
ตอนที่ควรมาก็ไม่มา ตอนที่ไม่สมควรมาก็ช่างเสนอหน้าเหลือเกิน!
เผยเยี่ยนเดินหน้าตึงลงมาจากรถ
หูซิ่งเห็นแล้วก็ใจหายวาบ
แค่ไม่เห็นกันเพียงพริบตา พวกเขาสองคนคงไม่ได้มีประเด็นให้ทะเลาะกันหรอกกระมัง?
เขาลอบสังเกตอวี้ถังอย่างระมัดระวัง พบว่านางเอาแต่หลุบตาต่ำ ให้ชิงหยวนพยุงตัวลงจากรถลากด้วยท่าทีสง่าน่ามอง ทั้งสุภาพเรียบร้อยไม่ต่างจากที่เคย
ไม่น่าใช่นะ!
หูซิ่งพิจารณาอวี้ถังด้วยความใจกล้าอีกหลายที เห็นว่าใบหูของนางแดงก่ำ เหมือนว่าถูกไอเย็นมาอย่างนั้น
ประเด็นคือหน้านี้มีแต่ร้อนตับแตก จะเอาลมเย็นมาจากไหนเล่า!
หูซิ่งคล้ายว่าจะรู้ความจริงแล้ว เขาหัวเราะคิกคักอยู่ในใจ แล้วเดินเป็นเพื่อนเผยเยี่ยนไปพบหวังซื่อกับคนดูแลสวนที่มารออยู่ตีนเขาตั้งแต่ฟ้าสว่าง
คนดูแลสวนเป็นชาวนาที่อยู่ละแวกนี้ แต่เพราะซื่อสัตย์รู้หน้าที่ คนในหมู่บ้านจึงแนะนำมาให้สกุลอวี้ แต่ไม่อาจเทียบกับหวังซื่อที่ตะลอนไปทั่วทิศเหนือแดนใต้ได้ หวังซื่อเป็นคนคารมดีและขยันขันแข็ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ประโยค หวังซื่อก็สลัดคนดูแลสวนทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วเริ่มตอบคำถามของเผยเยี่ยนเพียงลำพังคนเดียว
สวนป่ามีพื้นที่เท่าไร ปริมาณฝนปีก่อนมากน้อยเพียงใด ปีนี้อากาศเป็นอย่างไร เขาคิดวิธีการใดบ้างเพื่อเพิ่มพูนผลผลิต รวมทั้งอุปสรรคปัญหาที่พบเจอ แจกแจงให้ฟังทีละข้ออย่างเป็นระเบียบแบบแผน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ติดขัด
เผยเยี่ยนลอบพยักหน้าพอใจ ตอนที่เดินถึงเส้นทางเล็กๆ บนเขาก็แอบหันไปกระซิบกับอวี้ถังที่เดินตามอยู่ข้างหลังว่า “ได้ยินว่าหวังซื่อคนนี้หมั้นหมายกับสาวใช้ข้างกายของเจ้าแล้วรึ?”
อวี้ถังคล้ายว่าสงบใจอยู่ แต่ความจริงหลังลงจากรถลากมา ความรู้สึกก็ว้าวุ่นไปหมด
นางไม่ได้มองผิด และไม่ได้ตั้งใจจะอ่านผิด เผยเยี่ยนปฏิบัติกับนางไม่เหมือนเดิม
แต่ที่ว่าไม่เหมือนเดิมนี้ มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร?
ทำไมไม่เห็นมีสัญญาณบอกให้นางรู้ล่วงหน้าเลยสักนิด?
อีกอย่าง มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกในใจเขา? หรือเขายังวางแผนอื่นเอาไว้อีก?
หากเป็นเพียงความรู้สึกในใจ…จู่ๆ นางก็รู้สึกเปรี้ยวฝาดและไม่สบายไปทั่วตัว
นางคิดว่าคงจะดีกว่า หากต่อไปทั้งสองคนไม่ต้องมาเจอหน้าและไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก
แต่ถ้าเขาวางแผนอื่นเอาไว้…อย่างคุณหนูสกุลอู่ผู้นั้น เผยเยี่ยนยังคิดว่าไม่คู่ควร แล้วนางสูงส่งมาจากไหนกัน ถึงจะสามารถผ่านเข้าประตูใหญ่ของสกุลเผยได้?
อีกอย่าง สกุลนางก็ตั้งใจจะแต่งเขยชายเข้าสกุลอยู่แล้ว
นางยิ่งไม่มีทางทอดทิ้งกิจการของสกุลแล้วไปเป็นอนุให้ผู้อื่นหรอก
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็คงไม่มีโอกาสได้เจอคนที่อยู่ตรงหน้าอีก…มุมปากของนางกระตุกเป็นรอยยิ้มขื่น
หัวใจของอวี้ถังชาหนึบ ชิงหยวนกำลังพยุงนางอยู่ นางไม่เพียงไม่รู้ว่าเมื่อครู่เผยเยี่ยนกับหวังซื่อคุยเรื่องอะไรกันบ้าง ทั้งไม่รู้ด้วยว่าตนมาเดินตามหลังเผยเยี่ยนได้อย่างไร หรือเดินขึ้นเขามาตั้งแต่ตอนไหน
นางเห็นเพียงเผยเยี่ยนเดินเข้ามาหา ดวงหน้าหล่อเหลาขาวผ่อง นัยน์ตาดำสนิทสุกใสเหมือนดวงดาว เขาเข้ามาใกล้จนนางได้กลิ่นสบู่ที่หอมสะอาดจากตัวเขา และเขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับนาง
“อะไรนะเจ้าคะ?” อวี้ถังเพิ่งได้สติคืนมา นางข่มอารมณ์ปั่นป่วนข้างใน รอยยิ้มค่อนข้างแข็งทื่อ
เผยเยี่ยนมองนางอย่างฉงน เห็นว่าชายกระโปรงนางมีดินเปื้อนอยู่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
แสดงว่าตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมาคงยากลำบากสำหรับนางไม่น้อย
มิน่านางถึงไม่ได้ยินว่าเขาถามอะไร
อยู่ดีๆ เผยเยี่ยนก็รู้สึกว่าการปีนขึ้นเขามาแบบนี้มิใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร
เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ เจ้าอยากพักสักหน่อยไหม? ข้ากับพวกหวังซื่อไปสำรวจดูกันเองก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร!” อวี้ถังจะกล้าให้เขาช่วยงานของสกุลตนโดยไม่ไปเป็นเพื่อนได้อย่างไร นางรีบเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขามาก่อน ข้าอยากไปดูเจ้าค่ะ”
เผยเยี่ยนมองนางอย่างละเอียดทีหนึ่ง พบว่านอกจากดวงหน้าที่แดงเล็กน้อย กระทั่งเหงื่อสักหยดก็ยังไม่มี จึงค่อยวางใจขึ้นบ้าง “ภูเขามีสองด้านคือด้านที่หันไปทางทิศใต้กับอีกด้านที่หันไปทางเหนือ พวกเราดูแนวเขตที่ดินก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องปีนไปถึงยอดเขาหรอก”