ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - บทที่ 292 เปล่งประกาย
“นี่เจ้าเกิดเรื่องอะไรรึ?” หม่าซิ่วเหนียงรินชาให้อวี้ถังด้วยตัวเอง ก่อนจะนั่งลงข้างนาง ถามด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรที่ข้าช่วยได้บ้าง เจ้าพูดมาก็พอ อย่าได้เกรงใจข้าเลย อย่างไรพวกเราก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน”
อวี้ถังปิดถ้วยชาในมือ น้ำชาที่ร้อนกำลังดีเปรียบเหมือนหม่าซิ่วเหนียง จริงใจใสซื่อทั้งแฝงไปด้วยความอบอุ่น
มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย อยากจะบอกคำพูดที่ครุ่นคิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างทางแก่หม่าซิ่วเหนียง แต่เรื่องมาถึงตัวแล้ว มองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของหม่าซิ่วเหนียง ชั่วขณะนั้นนางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
อวี้ถังอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้
หม่าซิ่วเหนียงใจเต้นดัง ‘ตึกตัก’ คิดว่าอวี้ถังคงกำลังพบเจอเรื่องใหญ่
เช่นนั้นนางก็ควรควบคุมอารมณ์ ไม่อาจทำให้อวี้ถังตกใจไปใหญ่
นางจึงเผยยิ้มสบายๆ เอ่ยเรื่องเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกับอวี้ถัง “สองวันก่อนสามีได้ยินจากสถานศึกษาว่า ปีนี้ผู้ว่าการที่เพิ่งมารับตำแหน่งจะจัดการแข่งเรือมังกร มีสกุลเผยเป็นเจ้าภาพ ถึงเวลานั้นเจ้าไปดูการแข่งเรือมังกรกับข้าดีหรือไม่?”
สกุลเผยออกเงินอย่างนั้นรึ?
เมื่อก่อนหากอวี้ถังได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสกุลเผยก็จะฟังอย่างสนใจ แต่ยามนี้คล้ายว่าจู่ๆ สกุลเผยก็มีความเกี่ยวข้องที่ไม่ธรรมดากับนางขึ้นมา พาให้นางใบหน้าขึ้นสี อดกดน้ำเสียงเบาลงไม่ได้ “ข้า ข้ายังไม่รู้ ต้องดูว่าท่านแม่อนุญาตให้ข้าไปหรือไม่”
หม่าซิ่วเหนียงลอบตกใจ
โอกาสเช่นนี้มีน้อย ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางยังไม่ใช่บุตรีจากสกุลสูงส่งร่ำรวยพวกนั้น เห็นกฎเกณฑ์สำคัญยิ่งกว่าอะไรดี แน่นอนว่าไม่ใช่กล่าวว่าพวกนางไม่มีกฎเกณฑ์ เพียงแต่เทียบกับเรื่องกฎเกณฑ์แล้ว พวกนางให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องมากกว่า
เมื่อความคิดพวกนี้วาบผ่านขึ้นมาในสมองนาง จู่ๆ นางก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง อดยินดีแทนอวี้ถังไม่ได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงไม่ใช่ว่าอาสะใภ้อวี้ทาบทามหาคู่ให้เจ้า ช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างเจ้าจึงต้องตัดชุดแต่งงานอยู่ในเรือนหรอกกระมัง?”
“หา!” ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ตกใจ แต่ภายใต้ความตกใจ นางอดนับถือความเก่งกาจของหม่าซิ่วเหนียงไม่ได้
แม้จะไม่ได้ทายถูก แต่…เมื่อครู่นางยังคงคิดจริงๆ ว่า หากเผยเยี่ยนวิ่งไปสู่ขอที่เรือนก่อนเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ไม่ว่างานแต่งจะสำเร็จหรือไม่ มารดานางย่อมไม่ให้นางเข้าร่วมงานที่สกุลเผยมีส่วนช่วยเหลือพวกนี้
“ข้าทายถูกจริงๆ อย่างนั้นรึ!” หม่าซิ่วเหนียงตกใจ รอยยิ้มพรั่งพรูออกมาจากแววตา “เร็วเข้า รีบบอกข้าว่าตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ใครเป็นแม่สื่อให้เจ้า? เป็นลูกหลานของสกุลใด? เจ้าเคยพบกันหรือยัง? รูปงามหรือไม่? เจ้าจะออกเรือนหรืออีกฝ่ายแต่งเข้าสกุล?”
นางถามออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
อวี้ถังเขินจนเงยหน้าแทบไม่ขึ้น
หม่าซิ่วเหนียงเห็นเช่นนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ “คาดไม่ถึงเวลาชั่วพริบตาเจ้าก็จะแต่งงานเสียแล้ว!”
ใบหน้าของอวี้ถังร้อนฉ่าราวกับถูกไฟรน
งานแต่งของคนอื่นตัวอักษรปายังไม่ได้เริ่มเขียนขีดแรกแต่ของนางยังไม่รู้ว่าจะได้เขียนหรือไม่
หากทำให้หม่าซิ่วเหนียงเข้าใจผิดก็ยุ่งแล้ว
นางร้อนใจขึ้นมา คำพูดที่เดิมทีก็น่ากระอักกระอ่วนพวกนั้น ร่วงออกมาทั้งหมด ราวกับเทถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ “ไม่ใช่ งานแต่งธรรมดา เป็นสกุลเผย นายท่านสามสกุลเผย สองวันก่อนกลับเรือนเก่าสกุลอวี้เป็นเพื่อนข้า…”
อวี้ถังเล่าเรื่องราวให้หม่าซิ่วเหนียงฟังอย่างกระอึกกระอัก
หม่าซิ่วเหนียงยากที่จะปกปิดความตกใจ ผุดลุกยืนขึ้นทันที เบิกตากว้าง เอ่ยกับอวี้ถังอย่างสะเปะสะปะ “ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง? นายท่านสามเผย นายท่านสามเผยที่พวกเรารู้จักผู้นั้นรึ? คาดไม่ถึงว่าเขาจะถามต่อหน้าเจ้าว่ายินดีจะเขียนชื่อตัวเองลงในผังวงศ์สกุลของพวกเขาหรือไม่? เจ้า เจ้าไม่ได้โม้กระมัง? นั่นคือนายท่านผู้นำของสกุลเผยเชียว!”
ปกติอวี้ถังก็ไม่ใช่คนที่ขี้โม้โอ้อวด!
แต่จะให้นางเชื่อว่าเผยเยี่ยนจะแต่งงานกับอวี้ถัง กระทั่งฝันนาง…ไม่สิ แม้จะไม่ใช่ฝัน นางก็นึกไม่ถึงอยู่ดี
หม่าซิ่วเหนียงครุ่นคิด ก่อนจะถลากลับไปนั่งข้างอวี้ถัง เอ่ยยืนยันอย่างระมัดระวัง “อาถัง นายท่านสามเผยกล่าวว่าต้องการแต่งงานกับเจ้า? เชิญคนมาเป็นแม่สื่อ นำกระดาษวันเดือนปีเกิดของเขาไปสู่ขอที่สกุลพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?”
หรือยังมีวิธีอื่นอีก?
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ฟังไม่เข้าใจ งุนงงอยู่บ้าง
หม่าซิ่วเหนียงหยิกนางอย่างแรงไปที “ปกติเห็นเจ้าฉลาดนัก ไฉนวันนี้พบเรื่องใหญ่กลับเลอะเลือนเสียได้ ตกลงเขาพูดว่าสู่ขอหรือยกตำแหน่งให้? ยามนั้นไฉนเจ้าไม่ถามออกไป”
ยามนั้นนางลนลานทำอะไรไม่ถูก ไหนเลยยังจะถามอย่างละเอียดได้
แต่ว่า พี่หม่าหมายความว่าอย่างไร?
สู่ขอหรือยกตำแหน่งให้?
อวี้ถังกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน
นี่พี่หม่าถามนางว่าเผยเยี่ยนจะแต่งนางเป็นภรรยาหรือจะรับนางเป็นอนุอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังตอบแทบไม่ต้องคิด “ข้าไม่ใช่คนที่ไร้สกุลเสียหน่อย เขาจะยกข้าเข้าเรือนได้อย่างไร”
หม่าซิ่วเหนียงใช้แววตา ‘เจ้าช่างเลอะเลือนจริงๆ’ มองนางไปที
อวี้ถังไม่ยอมขึ้นมาทันที นางเอ่ยว่า “แม้สกุลพวกเราจะสู้สกุลเผยไม่ได้ แต่สกุลพวกเราก็ไม่ใช่ว่าเห็นคนร่ำรวยแล้วก็จะขาแข็งไม่ยอมเดินไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่คนอย่างนั้น ในเมื่อเอ่ยออกมา ย่อมต้องผูกเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
หม่าซิ่วเหนียงยากที่จะออกความเห็น แต่ฟังคำพูดของอวี้ถัง นางก็หน้าร้อนขึ้นมา ส่งยิ้มเก้อเขินให้อวี้ถัง เอ่ยว่า “ใจเจ้าเข้าใจดีก็เพียงพอแล้ว”
แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดอวี้ถังจึงมั่นใจขนาดนี้ แต่นางเชื่อว่าอวี้ถังไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักความเหมาะสม ในเมื่ออวี้ถังพูดเช่นนี้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนเผยเยี่ยนย่อมคิดจะแต่งอวี้ถังเป็นภรรยา
หม่าซิ่วเหนียงคิดอย่างว่องไว ตัวคนนั้นมาเบียดที่ด้านข้างอวี้ถังแล้ว กระซิบว่า “เช่นนั้นเจ้ามาหาข้า ก็เพราะเรื่องนี้อย่างนั้นรึ?”
น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความสัพยอกอยู่หลายส่วน พาให้อวี้ถังหน้าแดงจนแทบไหลเป็นหยดเลือด ตอบว่า ‘อื้ม’ ด้วยน้ำเสียงราวกับแมลงหวี่
หม่าซิ่วเหนียงได้รับคำตอบที่แน่ชัด ชั่วขณะนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมา
นางผลักอวี้ถังไปที กล่าวทั้งอมยิ้ม “เรื่องดีเช่นนี้ เจ้ายังลังเลอะไรอีก? กลัวว่าท่านแม่เฒ่าเผยไม่เห็นด้วย? สกุลเผยเป็นสกุลที่มีหน้ามีตาของที่นี่ หากท่านแม่เฒ่าไม่เห็นด้วย นายท่านสามเผยย่อมไม่มาสู่ขอหรอก ไม่อย่างนั้นพวกเขาสกุลเผยก็จะเกิดเรื่องทะเลาะกันเองในเรือน ยังจะกลายเป็น ‘เรื่องสนุก’ ที่คุยกันหลังมื้ออาหารเสียด้วยซ้ำ? ไม่ว่าจะนายท่านสามหรือท่านแม่เฒ่า ล้วนไม่อาจปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าวางใจก็พอแล้ว นายท่านสามกล้าไปสู่ขอสกุลพวกเจ้า สกุลเผยย่อมไม่มีข่าวซุบซิบอะไรเผยแพร่ออกมาหรอก”
พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยทั้งหยอกเย้าและแฝงความชื่นชม “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่น้องรอบกายของข้าจะมีโอกาสแต่งไปสกุลเผย กลายเป็นนายหญิงที่ดูแลสกุลเผย นี่ช่างเรียกว่า ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกเรื่องล้วนมีความเป็นไปได้!”
อวี้ถังอดเอ่ยไม่ได้ “ข้า ข้ายังไม่ได้รับปากเสียหน่อย!”
ความจริงในใจนางรู้ดี นอกเสียจากสองวันนี้นางจะไปปฏิเสธกับเผยเยี่ยนด้วยตัวเอง จากนิสัยของเผยเยี่ยน ย่อมเริ่มจัดการเรื่องที่ไปสู่ขอนางที่สกุลแล้วเป็นแน่
หม่าซิ่วเหนียงอ้าปากค้าง คล้อยหลังก็เผยท่าทีเหลือเชื่อ เอ่ยดังลั่น “นั่นเป็นสกุลเผย นายท่านสามสกุลเผยเชียว! เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจ? เจ้ายังกล้าหยิ่งผยอง กล้าไม่แต่งออกไป เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะทำงานแต่งงานที่ดีเช่นนี้หลุดลอยไปเสียเปล่าหรอกรึ?”
อวี้ถังค้อมศีรษะ ไม่ปริปากอันใด
นางกลัวว่างานแต่งครั้งนี้จะหลุดลอยไปจริงๆ
แต่ไม่ใช่เพราะสกุลเผย
เป็นเพราะเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยน…รูปงามจริงๆ
ครั้งแรกที่นางเห็นเผยเยี่ยนก็ละสายตาไปไม่ได้อยู่บ้าง
แต่ก็นิสัยที่ไม่ดีเล็กน้อย
กระนั้นก็อยู่ในขอบเขตที่นางสามารถรับได้
นางไม่อยากยกเผยเยี่ยนให้คนอื่น
หม่าซิ่วเหนียงอดคาดเดาไม่ได้ “หรือเจ้ากลัวว่าหลังจากแต่งไปสกุลเผยจะปรับตัวไม่ได้?” นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าเผยเยี่ยนอยากจะแต่งงานกับอวี้ถังก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง รู้สึกว่างานแต่งครั้งนี้ดีจริงๆ กลัวว่าช่วงเวลาสั้นๆ อวี้ถังจะคิดไม่ตก เอ่ยปฏิเสธไป นางเริ่มหว่านล้อมอวี้ถัง “เจ้าลองคิดดู แม้เจ้าจะไม่แต่งไปสกุลเผย แต่งให้คนอื่น ก็ล้วนเป็นการแต่งไปเรือนคนแปลกหน้าอยู่ดี ทั้งยังต้องประจบประแจงแม่สามีและน้องสามี อย่างน้อยสกุลเผยก็ไม่มีน้องสามี การใช้ชีวิตของเจ้าย่อมดีกว่าสกุลที่มีน้องสามีอยู่มาก แน่นอนว่าข้านั้นพูดไปเรื่อยเปื่อย อย่ากล่าวว่านายท่านสามไม่มีพี่น้องเลย แม้ว่าจะมีพี่น้อง คุณหนูของสกุลเผยก็ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีมาโดยตลอด ย่อมไม่อาจเป็นเหมือนสกุลเล็กๆ ธรรมดาพวกนั้น ไม่เต็มใจให้พี่สะใภ้เป็นคนพูดชี้ขาดเรื่องในเรือน อย่างไรก็ต้องสร้างปัญหาออกมาให้เสียหน่อย ไม่แน่ว่าคนของสกุลเผยจะดีกว่าสกุลธรรมดาเสียอีก สมาชิกในจวนสกุลเผยล้วนเคยเห็นโลกภายนอก หูตาย่อมกว้างไกลกว่าคนทั่วไป”
“ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะพูดก็คือแต่งให้สกุลใดล้วนเหมือนกัน เรื่องที่พบในสกุลเผย อยู่ในสกุลอื่นก็อาจจะพบได้เช่นกัน”
“หากเจ้าแต่งไปสกุลอื่น สามีจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้ายังไม่รู้ จุดนี้สกุลเผยย่อมแข็งแกร่งกว่าสกุลอื่นแล้ว งานแต่งครั้งนี้เป็นนายท่านสามที่เห็นชอบเอง หากเขาไม่ปกป้องเจ้า ไม่ใช่ว่าจะเป็นการตบหน้าตัวเองหรอกรึ?”
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลักการพวกนี้นางล้วนเข้าใจ
สิ่งที่นางกังวลคือ…เผยเยี่ยนไม่ได้รู้จักนาง แต่งกับนางแล้วจะเสียใจในภายหลังหรือไม่
แต่เผยเยี่ยนก็กล่าวแล้ว เขาคิดว่าพวกเราเหมาะสมกัน ไม่ใช่เพราะว่านางหน้าตางดงาม
บางทีนางอาจจะกังวลเกินไป
อวี้ถังบอกความกังวลของตัวเองให้หม่าซิ่วเหนียงฟังแผ่วเบา
หม่าซิ่วเหนียงอยากจะถือไม้สักอันมาเคาะสมองอวี้ถังอย่างยิ่ง เอ่ยอย่างโมโหที่นางไม่คิดจะช่วงชิงชะตาชีวิตที่ดีอยู่บ้าง “ข้าว่าเจ้าคงจะว่างเกินไป! ความกล้าก่อนหน้านี้ของเจ้าหายไปไหนแล้ว? เขากล้าสู่ขอ เจ้ายังไม่กล้าแต่งอย่างนั้นรึ? กลัวเขาเสียใจภายหลัง เจ้าอย่าทำให้เขาเสียใจภายหลังก็ได้แล้วมิใช่รึ? ใครใช้ชีวิตอย่างมองเห็นอนาคตได้ทะลุปรุโปร่งกัน? หรือยามที่คนสกุลหลินแต่งไปสกุลหลี่ก็รู้แล้วว่าสกุลหลี่จะตกต่ำเพราะฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา? ยามที่ท่านแม่เฒ่าเผยแต่งให้ท่านผู้เฒ่าก็รู้ว่าท่านผู้เฒ่าจะจากไปก่อนนางอย่างนั้นรึ? พวกเราไม่อาจใช้ชีวิตได้ไม่ดีเพียงเพราะมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า! ข้าขอถามเจ้าเรื่องเดียว ยามนี้เจ้าอยากแต่งให้นายท่านสามเผยหรือไม่?”
อวี้ถังราวกับได้ยินเสียงหอระฆังยามเช้า
ใช่แล้ว!
ใครจะรู้ว่าภายหลังเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกัน?
ครั้งแรกยามที่นางแต่งไปสกุลหลี่ ก็รู้ว่าสกุลหลี่มีจุดประสงค์ร้ายต่อสกุลอวี้อย่างนั้นรึ? รู้ว่าหลี่ตวนที่เป็นพี่ชายสามีจะเกิดจิตอกุศลกับน้องสะใภ้ที่เป็นม่าย? รู้ว่านางสามารถอดทนได้ห้าถึงหกปีหนีออกมาจากสกุลหลี่เพื่อแก้แค้นให้ครอบครัว?
นางไม่รู้!
แต่นางยังคงพึ่งตัวเองปีนออกมาจากโคลนลึก
หากชาติก่อนนางสามารถทำได้ คงไม่มีเหตุผลที่ต้องเกิดใหม่ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังจะสู้เมื่อก่อนไม่ได้ กลายเป็นคนที่ไม่มีความคิด กลายเป็นคนไร้ความสามารถที่ขาดความเด็ดเดี่ยว!
“พี่หม่า เจ้าช่างเป็นพี่สาวที่แสนดีของข้าจริงๆ!” อวี้ถังดึงมือของหม่าซิ่วเหนียง เพราะว่าตัดสินใจแล้ว ดวงตาจึงเผยแสงระยิบระยับแฝงด้วยความกล้าหาญ คล้ายกับไข่มุกที่เปรอะเปื้อนฝุ่นถูกชะล้างทำความสะอาด เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวา เปล่งประกายดึงดูดสายตา งดงามอย่างยิ่ง