องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 505 ท่านกั๋วจิ้วยกให้ทั้งหมด
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 505 ท่านกั๋วจิ้วยกให้ทั้งหมด
ในฐานะหัวหน้าใหญ่กองสอดแนม เขาจะต้องมีข้อมูลของประชากรทุกคนในเมืองหลวงแน่นอน นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นเรื่องของรายละเอียดย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด
มีคนเอาโต๊ะออกไปแล้วตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น นางไม่ได้ออกไปและนั่งอยู่กับหวังฮวายอันในห้อง
“ทำไมเจ้าไม่ออกไปหาเขาล่ะ” หวังฮวายอันเองก็นอนอยู่บนตั่งเตียงโดยไม่มีอะไรให้ทำ ปกติที่ไม่ค่อยพูดจึงพูดมากขึ้นกว่าเดิม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาก็เป็นเพียงแค่คนป่วย
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยและหวังฮวายอันก็พบว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนที่เรียบง่ายเป็นกันเอง ไม่มีมาดเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน หนานกงเย่ก็เดินเข้ามา “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง “ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน
หนานกงเย่เข้ามาและเหลือบมองหวังฮวายอัน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะกลับแล้ว วันนี้ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก”
“เช่นนั้นท่านอ๋องกลับไปก่อนก็ได้เพคะ ให้อาอวี่อยู่ที่นี่ ข้าจะคอยดูแลท่านกั๋วจิ้ว”
“อื้ม ข้าจะกลับมาหลังมื้อเที่ยง” หนานกงเย่บอกก่อนจะจากไป เมื่อเขาไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงคอยดูอาการหวังฮวายอันต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มหาตำรามาอ่านเพื่อฆ่าเวลา อย่างไรเสียภายในเรือนก็มีตำราอยู่มากมาย แม้ว่านางจะไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือนัก แต่นางก็ชอบตำราแพทย์มากๆ
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบตำรามาเล่มหนึ่งและอ่านได้ไม่รู้จบ
หวังฮวายอันเลิกคิ้วมองฉีเฟยอวิ๋นที่อ่านหนังสืออยู่เงียบๆ และภายในใจก็ดูสงบมาก
เขามองฉีเฟยอวิ๋นเงียบๆ และรู้สึกว่าจิตใจของตนเริ่มสงบลงได้
หลังจากอ่านหนังสืออยู่ครู่หนึ่งก็มีคนมาอยู่ที่หน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองนิดหนึ่งและเห็นใครคนหนึ่งสวมชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ข้ากระหม่อมคารวะท่านกั๋วจิ้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูคนผู้นี้ เขาอายุประมาณสี่สิบปีและดูเป็นคนที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์
“เข้ามาสิ” หวังฮวายอันลุกขึ้นจากตั่งเตียง ฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาช่วยประคองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เข็มหมุน
หวังฮวายอันเอนหลังพิงพนักและฉีเฟยอวิ๋นก็ขยับหมอนมารองหลังไว้ให้เพื่อที่เขาจะได้สบายตัวขึ้น
คนผู้นั้นเข้ามาข้างใน เมื่อหวังฮวายอันอยู่ในท่าที่สบายแล้วจึงเงยหน้ามองเขา “หมอประจำจวนกลับมาแล้วรึ”
“เรียนท่านกั๋วจิ้ว ลูกหลานของท่านแม่จัดการเรียบร้อยแล้ว”
หมอประจำจวน?
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะสังเกตเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากคนผู้นี้เข้ามา ภายในห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพร
ฉีเฟยอวิ๋นรินน้ำแก้วหนึ่งและยกมาให้หวังฮวายอันดื่ม หวังฮวายอันมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้บอกว่าอยากจะดื่มน้ำ
แต่หวังฮวายอันก็ไม่ได้พูดอะไรและรับน้ำไปดื่ม ทันทีที่ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึกก็รู้สึกได้ถึงรสขม
หวังฮวายอันผละออกเล็กน้อยและเงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มและกล่าวว่า “ท่านกั๋วจิ้วกระหายน้ำมิใช่หรือ”
“อืม”
นั่นเองหวังฮวายอันจึงดื่มน้ำถ้วยนั้น
หลังจากดื่มน้ำแล้วหวังฮวายอันจึงหันไปมองหมอประจำจวน “เจ้าเพิ่งกลับมา ตอนนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาในจวน นี่คือพระชายาเย่ที่มาดูแลข้าเป็นพิเศษ”
“ข้ากระหม่อมหลี่ฮ่วนจงคารวะพระชายาเย่” หลี่ฮ่วนจงรีบทำความเคารพ
“หมอหลี่ลุกขึ้นเถิด” ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและอ่านหนังสือต่อ
หวังฮวายอันจึงบอกว่า “หมอออกไปก่อนเถิด”
เมื่อหลี่ฮ่วนจงขอตัวลาออกไปฉีเฟยอวิ๋นจึงถือหนังสือเดินไปที่ประตู นางถือหนังสือไว้ที่ด้านหลังพลางเคาะหนังสือนั้นขณะที่มองหลี่ฮ่วนจงเดินจากไป “อาอวี่”
อาอวี่เดินมาหาฉีเฟยอวิ๋นทันทีและเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“ไปบอกท่านอ๋องให้ระวังคนผู้นี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่หันหลังและเดินจากไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับไปมองหวังฮวายอันที่กำลังมองนางอยู่ นางเดินกลับไปหาหวังฮวายอันและเพิ่มไฟในเตาถ่าน หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “เรือนของท่านไม่ดีต่อการฟื้นตัว ข้าว่าไปที่จวนอ๋องเย่น่าจะดีกว่า เวลานี้ที่นั่นก่อสร้างเรียบร้อยแล้วและเป็นที่ที่ได้รับความร้อนจากพื้นดิน ช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่านได้พอดี”
“เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเองได้หรือ” หวังฮวายอันเอ่ยเรียบๆ
“หากท่านกั๋วจิ้วไม่อยากไป เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อาจทนหวังฮวายอันที่จะทำอะไรก็ต้องป้องกันไว้ตลอด เป็นการหยั่งเชิงที่มากเกินความจำเป็น
คนของกองสอดแนมมีความคล้ายคลึงกับพวกสายลับ จะทำอะไรต้องระแวงสงสัยไว้ก่อนเสมอ
“ไปสิ เหตุใดจึงจะไม่ไป ยาลูกกลอนจากจวนกั๋วจิ้วก็กินไปแล้ว เป็นไปได้หรือที่จะปล่อยไปอย่างนั้น” หวังฮวายอันเองก็อยากจะไปดูให้เห็นเหมือนกันว่าอะไรคือความร้อนจากใต้ดิน
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปสั่งการ ในไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ นอกจากหีบตำราไม่กี่หีบของหวังฮวายอัน ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ยอมให้นำอะไรอื่นไปเลย
หวังฮวายอันมองหนังสืออันเป็นที่รักของเขา ถ้าเป็นผู้อื่นเขาคงไม่เต็มใจแน่ อย่าว่าแต่ให้เลย แค่ให้ยืมก็ไม่มีทาง
แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับจัดเก็บไปถึงหกหีบใหญ่ๆ จนชั้นหนังสือส่วนใหญ่แทบจะว่างเปล่า และเขาก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เมื่อเห็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ชุดที่เขาชอบมากที่สุดถูกเก็บไป เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ตำราของข้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ พระชายาเย่จึงได้ชอบมากเช่นนี้ ข้าไม่ได้เอาอาภรณ์ไปเปลี่ยนเลยสักตัว ที่เอาไปมีแต่ตำรา”
“การไปพักฟื้นร่างกายที่จวนอ๋องเย่อาจต้องใช้เวลาหลายเดือน ตำราเพียงแค่นี้อาจจะไม่พอด้วยซ้ำ แต่เรื่องเสื้อผ้านั้นยังมีร้านตัดชุดมากมาย ท่านกั๋วจิ้วไปที่จวนในฐานะแขก ของเหล่านี้อวิ๋นจิ่นจะเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนตำรานั่นท่านกั๋วจิ้วต้องเป็นคนนำไปเอง”
หวังฮวายอันรู้สึกขบขัน “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากอ่านหนังสือ”
“ที่จวนอ๋องเย่ไม่มีเรื่องใดๆ ให้รื่นรมย์ นำไปด้วยจะดีกว่า”
ฉีเฟยอวิ๋นช่วยประคองหวังฮวายอันและออกไปด้วยกัน ส่วนหนังสือนั้นคนของจวนอ๋องเย่จะเป็นคนนำไป
วันนี้หวังฮวายอันรู้สึกดีขึ้นมาก เขารู้สึกมีเรี่ยวแรงและมีชีวิตชีวาตลอดทางที่เดินมา
คนจากจวนกั๋วจิ้วต่างตกตะลึงโดยเฉพาะหลี่ฮ่วนจงที่คอยติดตามหวังฮวายอันมาตลอด “ท่านกั๋วจิ้ว อยากให้ข้ากระหม่อมไปกับท่านด้วยหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร พระชายาเย่ไม่ชอบให้ใครไปเป็นแขกที่จวนอ๋องเย่ เจ้าอยู่ที่จวนนี่ไปก่อน”
“ขอรับ”
หลังจากออกมาข้างนอกแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงประคองหวังฮวายอันขึ้นรถม้า ทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกัน และหวังฮวายอันก็เอ่ยว่า “เจ้าลงไปดีกว่า ข้างหน้ามีรถม้าอีกคันจัดเตรียมไว้แล้ว นั่งด้วยกันเช่นนี้…”
“ไปได้แล้วอาอวี่” ไม่รอให้หวังฮวายอันพูดจบฉีเฟยอวิ๋นก็ออกคำสั่งกับอาอวี่ อาอวี่เคลื่อนรถม้าออกไปทันที หวังฮวายอันจึงทำได้เพียงต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงไป
และฉีเฟยอวิ๋นก็ฉีดยาให้หวังฮวายอันอีกสองสามเข็ม
“ไม่ใช่ว่าตอนเช้าฉีดไปแล้วหรือ เหตุใดจึงต้องฉีดอีกเล่า” หวังฮวายอันมองเข็มในมือและรู้สึกหดหู่มาก
“ดูเหมือนท่านกั๋วจิ้วจะกระฉับกระเฉงขึ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดจาฉะฉานและเริ่มไม่ให้ความร่วมมือในการฉีดยาเช่นนี้”
หนานกงเย่เปิดม่านของรถม้าและขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นมองเขายิ้มๆ “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่นั่งลงข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นและหันไปมองหวังฮวายอัน “ท่านดีขึ้นแล้วหรือ”
“วันเดียวจะดีขึ้นได้อย่างไร พระชายาเย่บอกว่าต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือน นี่ไม่ใช่ว่าหลอกข้าหรอกนะ” หวังฮวายอันที่ขยับมือไม่ได้เอนตัวลงอย่างไม่ค่อยพอใจ
หนานกงเย่เอ่ยเย้าฉีเฟยอวิ๋นที่นั่งรอเวลาอยู่ข้างๆ “ท่านยังขี้บ่นอยู่อีกหรือ”
“พวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่มีใครปกติดีเลยหรืออย่างไร เห็นๆ กันอยู่ว่ากำลังรักษาอาการป่วยให้ข้า แต่ในความเป็นจริงพวกเจ้ากำลังรีดไถข้า ตำราในห้องของข้านั้น พระชายาของเจ้าก็เก็บใส่หีบใหญ่ๆ มาตั้งหกหีบ คิดว่าข้าเป็นคนโง่งั้นหรือ พอข้าถามก็บอกว่าเอามาเพื่อให้ข้าอ่าน ข้าเคยอ่านผ่านตามาตั้งแต่เด็กยังไม่เคยลืม เนื้อหาในนั้นข้าหลับตายังท่องได้หมด ไม่รู้เลยว่าความสงบใจคืออะไร!”
ฉีเฟยอวิ๋นเคยชินแล้ว ตอนที่นำออกมาเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขากลับดูเหมือนผู้หญิงขี้บ่นคนหนึ่ง!
หนานกงเย่ยิ้มนิดหนึ่งอย่างมีความหมาย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องขอบคุณท่านกั๋วจิ้วสำหรับของที่ยกให้ทั้งหมด”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร” หวังฮวายอันอารมณ์เสียขึ้นมาทันที นี่มันปล้นกันชัดๆ
ฉีเฟยอวิ๋นกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ตอนนี้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องยืมแล้ว ก็แค่ส่งให้ตรงๆ เลย
หวังฮวายอันโกรธจนหน้าดำหน้าแดง หนานกงเย่คว้าไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด “ในเมื่อท่านกั๋วจิ้วมีใจจะให้ เช่นนั้นก็ยอมรับไว้เถิด”
“เพคะ!”
“พวกเจ้า… ช่างไร้ยางอายเสียจริง!” หวังฮวายอันเอ่ยอย่างเย็นชาและเบนหน้าหนีไปทางอื่น
เพื่อคลี่คลายบรรยากาศ ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดถึงเรื่องของหลี่ฮ่วนจง