องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 572 กลวิธีเชิงรุก
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 570 กลวิธีเชิงรุก
“ฝ่าบาทขออย่าได้ทรงกริ้ว เรื่องการตัดสินโทษพระชายาเย่นั้นกระหม่อมรู้สึกว่าไม่เหมาะพะย่ะค่ะ” ราชครูจวินกล่าวอย่างเฉยเมยซึ่งองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไว้หน้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ราชครู พระชายาเย่ลบหลู่ข้าเช่นนี้ข้าจะไม่โมโหได้เช่นไร?”
“กราบทูลฝ่าบาท พระชายาเย่มีความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดทางกายได้ ยิ่งกว่านั้นเมืองต้าเหลียงเราเดิมก็เป็นเมืองของสตรีผู้สูงศักดิ์ แม้ว่าเมืองต้าเหลียงจะไม่ใช่แคว้นอิสตรีแต่เมืองต้าเหลียงเป็นแคว้นที่สตรีและบุรุษอยู่ในชนชั้นเดียวกัน
ในวังมีไทเฮาผู้ทรงมีคุณธรรมเพียบพร้อมและปกครองทั่วหล้าด้วยคุณธรรม ในราชสำนักมีฮูหยินกั๋วกงผู้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ บุ๋นสามารถแบ่งเบาภาระของราชสำนัก บู๊สามารถปกป้องคุ้มครองราษฎร
ผู้ใดไม่รู้ว่าเมืองต้าเหลียงเราสตรีแต่งงานแล้วไม่ยอมให้แก่บุรุษ
ปกติพระชายาเย่รู้คิดรู้ทำและดำเนินอยู่ท่ามกลางราษฎร รักษาโรคภัยไข้เจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คอยเป็นห่วงเป็นใยความเจ็บป่วยของราษฎร
กระหม่อมไม่เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระชายาเย่
พระชายาเย่ใจกว้างและมีเมตตาต่อราษฎรทั่วหล้า ทุกสิ่งที่กระทำไหนเลยจะไม่ใช่การแบ่งเบาราชสำนักและดูแลอ๋องเย่รอบด้าน วันนี้ในราชสำนักจะถือเป็นการลบหลู่ฝ่าบาทได้เช่นไร
แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องที่พระชายาเย่หลงทางนั้นเหน็ดเหนื่อยหนักหนาเกินไปถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ขอฝ่าบาทเห็นแก่เมืองต้าเหลียงเราไม่รุนแรงต่อสตรียิ่งปฏิบัติต่อเป็นการพิเศษทรงอภัยโทษให้พระชายาเย่ด้วยพะย่ะค่ะ! ”
ด้วยคำกล่าวเช่นนี้ถังหลงเหงื่อแตกทั่วทั้งตัว ราชครูจวินไม่พูดพอพูดก็ทำให้ผู้คนตกใจ กล่าวคำพูดเช่นนี้ก็คือกล่าวว่าสตรีนั้นสูงส่งฝ่าบาททรงอาวรณ์ที่จะลงโทษและไม่ควรลงโทษด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ?
และเรื่องอภิเษกเข้ามาก็กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว!
แววตาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงอ่อนลงเล็กน้อย: “ก็ใช่ พระชายาเย่ลุกขึ้นเถอะ ข้าเอะอะโวยวายทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จนลืมไปว่าเจ้าหลงทาง คิดว่าอาจจะตกใจกลัวเกินเหตุและเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงเป็นเหตุ”
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นเรียนรู้สิ่งอื่นไม่ได้แต่ไหลตามน้ำนั้นเรียนรู้ได้นานแล้ว
ราชครูจวินเปิดฉากและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้สนับสนุน แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดน่าหวาดกลัวแล้ว!
วันนี้ทุกอย่างเป็นความผิดของจวินโม่ซ่างทั้งสิ้น ไม่ควรเปิดปากกล่าวคำพูดถึงพี่ชายจวินโม่หลิงอันใดของเขาว่าจะอภิเษกกับพระธิดาของฝ่าบาท
พระธิดาของฝ่าบาทยังอยู่ในพระครรภ์ จะถึงทีของชายชราผู้หนึ่งเช่นเจ้าอภิเษกด้วยหรือ?
นางเป็นคนสมัยใหม่คนหนึ่งแค่คิดก็ขยะแขยงแล้ว นับประสากับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้
ฉีเฟยอวิ๋นขอบพระทัยแล้วลุกขึ้นและเริ่มกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีสองสามประโยคที่จะทูลต่อองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวเพคะ”
“ว่ามาได้!”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างเฉยเมยโดยที่ขณะนี้พระเนตรนั้นเย็นชาแต่ในพระทัยกลับเกลียดชังยิ่งนัก ทันใดนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของอ๋องตวนและผู้คนอื่นๆ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังจวินโม่ซ่างและถามว่า: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะถาม องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวได้โปรดตอบตามความจริงด้วยเพคะ”
จวินโม่ซ่างหันกลับมา: “พระชายาเย่เชิญกล่าว”
“องค์รัชทายาทนั้นจะทรงอภิเษกสมรสหรือไม่?”
“แต่งแน่นอน” จวินโม่ซ่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าไม่มีเจ้าแล้วการแต่งงานจะมีความหมายใด แต่เขาทำเพื่อส่วนรวมจึงได้กล่าวเช่นนี้
เช่นนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “นั่นเป็นเรื่องอันน่ายินดีเรื่องหนึ่ง เช่นนี้แล้วอย่างนี้ดีหรือไม่วันนี้หม่อมฉันจะขอร้องแทนท่านอ๋องของหม่อมฉันขอร้องเรื่องอันน่ายินดีเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงเรื่องการแต่งงานเพื่อหาอนุผู้หนึ่งให้แก่ท่านอ๋อง”
ใบหน้าของหนานกงเย่เริ่มหม่นหมองและไม่ได้กล่าวเป็นเวลานาน แม้ว่าจะโมโหนักแต่เพื่อส่วนรวมแล้วก็ต้องทนเอาไว้!
เหงื่ออันเย็นของถังหลงได้ไหลย้อยลงมา
ใบหน้าของจวินโม่ซ่างหมองลง: “ไร้สาระ เหตุใดพระชายาเย่กล่าวล้อเล่นเช่นนี้ ลูกสาวของข้ายังไม่ถือกำเนิดและอ๋องเย่อายุขนาดนี้ เกรงว่าเขาจะอายุแก่กว่าข้าสักหนึ่งหรือสองปี ต้องการแต่งงานกับลูกสาวของข้าแล้วยังเป็นอนุ……เจ้าถือว่า?”
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวทรงล้อเล่นแล้ว องค์หญิงของฝ่าบาทแห่งเมืองต้าเหลียงเรายังอยู่ในพระครรภ์และไม่รู้ว่าเป็นองค์ชายหรือองค์หญิง เมืองอู๋โยวยังสามารถมาสู่ขอได้ ขอถามหน่อยว่าผู้ที่สู่ขอนั้นอายุเท่าใดแล้ว?
สามสิบหกแล้ว?
ภรรยาเอกและอนุก็มากมายแล้ว เหตุใดถึงไม่ได้หล่ะ? ”
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวเข้ามาใกล้แล้วยิ้มอย่างเย็นชา: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวทรงมีฐานะเป็นองค์รัชทายาท พระธิดามีเกียรติมากกว่าฝ่าบาทของเมืองต้าเหลียงเราหรือ?”
“นี่……”
จวินโม่ซ่างถูกพูดให้ถอยออกมาทีละก้าวๆ ฉีเฟยอวิ๋นยังคงเดินหน้าต่อไป: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว หากว่าทรงโชคดีให้กำเนิดบุตรสาวก็ทรงวางใจได้เลย อ๋องเย่ของหม่อมฉันเคยบอกว่าชั่วชีวิตนี้จะชอบหม่อมฉันผู้เดียวเท่านั้น หากมิใช่ว่าเห็นฐานะอันมีเกียรติขององค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว อนุของอ๋องเย่นี้หม่อมฉันพระชายาเย่ไม่เห็นอยู่ในสายตาเป็นแน่ หากข้ามผ่านประตูเข้ามาก็เป็นทงฝังเป็นพอ”
“ฉีเฟยอวิ๋น……” จวินโม่ซ่างกัดฟัน ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างดูแคลนและมิได้หยุดก้าว
ผู้คนในราชสำนักก็จ้องมองยังพวกเขาด้วย ในเวลานี้ถึงได้ตระหนักทันใดว่าอ๋องเย่เกรงกลัวภรรยาใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
หญิงผู้นี้ดังสิงโตคำรามอยู่ในเรือนแล้วผู้ใดยังจะไม่ยอมใจได้
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว หากคนภายนอกกล่าวนามของหม่อมฉันโดยตรงเช่นนี้ หม่อมฉันจะต้องโบยเขาหนึ่งร้อยกระดาน แต่ว่าในวันนี้นั้นฐานันดรศักดิ์ขององค์รัชทายาทแตกต่างเป็นธรรมดา หากทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกันองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวก็เป็นแขกสำคัญของจวนอ๋องเย่เราไปแล้ว”
ยิ่งไปกว่านั้นเช่นไรก็เป็นบิดาของทงฝังของท่านอ๋องด้วย! ”
“เจ้ากล้าให้องค์หญิงขององค์รัชทายาทเป็นทงฝังหรือ?” จวินโม่ซ่างโมโหจนตัวสั่นเทา
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างเย็นชา: “ไม่ปดต่อองค์รัชทายาท ช่วงรอบเดือนของสตรีนั้นมักจะไม่สะดวกอยู่บ้างและก็ไม่เป็นธรรมสักเล็กน้อยต่อท่านอ๋องของตระกูลข้าเป็นธรรมดา
หม่อมฉันก็เคยคิดที่จะหาสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีฐานะอันสูงส่งให้กับท่านอ๋องโดยรับเอาไว้เป็นทงฝัง เพื่อสะดวกต่อเวลาที่หม่อมฉันไม่สะดวกก็สามารถรับใช้ปรนนิบัติท่านอ๋องอยู่ในเรือน
อย่างไรก็ตามหากไม่ใช่คุณหนูของตระกูลสูงส่งของแต่ละตระกูลแต่เป็นเพียงบุตรสาวของผู้คนทั่วไปหม่อมฉันก็ไม่กล้า
ท้ายที่สุดแล้วสตรีของเมืองต้าเหลียงนั้นล้วนมีเกียรติอันสูงส่งทั้งสิ้น วันนี้หม่อมฉันพระชายาเกิดข้อผิดพลาด ไม่เพียงแต่ขุนนางทั้งหลายให้เกียรติแม้แต่ฝ่าบาทก็ทนทรงยอมให้รับโทษไม่ได้ ย่อมเป็นความเมตตาของบ้านเมืองต้าเหลียงเรา! ”
“นี่เกี่ยวอันใดกับข้า เจ้าอย่าได้คิดมาโป้ปดมดเท็จ!” จวินโม่ซ่างโกรธจนจ้องหน้าเผชิญกัน
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวไม่รู้อันใด เมืองต้าเหลียงเราเป็นเมืองที่มีความกตัญญู นิทานเรื่องความดีเป็นร้อยความกตัญญูมาเป็นอันดับแรกจึงไม่มีผู้ใดไม่กตัญญู
ฝ่าบาทก็ทรงเป็นเช่นนี้และไทเฮาก็ทรงเป็นสตรี
ฐานะของสตรีเมืองต้าเหลียงเรานั้นสูงส่งก็มาเนื่องด้วยเหตุนี้
ขอถามหน่อยว่าในครอบครัวมีมารดาอยู่หรือไม่ เหตุใดถึงดูถูกดูแคลนสตรี เหตุใดอิสตรีถึงจะไม่มีเกียรติสูงส่ง? ”
“เจ้าพูดจาสับสน จะเอามากล่าวรวมกันได้เช่นไร? สตรี……”
“พระชายาเย่กล่าวถูกต้องยิ่งนัก!”
ถังหลงกล่าวขึ้นฝั่งหนึ่ง จวินโม่ซ่างโมโหจนจ้องเขม็งไปยังถังหลง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “หม่อมฉันสู่ขอแล้ว เช่นนั้นก็ขอองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวได้โปรดมอบสิ่งของแทนใจเอาไว้และเขียนจดหมายด้วยลายพระหัตถ์ฉบับหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นหลักฐานในการเกี่ยวดองในภายภาคหน้า!”
“เจ้ารังแกคนมากเกินไปแล้ว กล้าหยอกล้อข้าผู้เป็นองค์รัชทายาท ข้าองค์รัชทายาทจะตบเจ้าทีหนึ่งให้ตาย……”
ขณะกล่าวจวินโม่ซ่างก็ยกมือขึ้นจะตบฉีเฟยอวิ๋นและฉีเฟยอวิ๋นยืนไม่มั่นจึงล้มลง ขุนนางที่ไม่ได้มองดูให้ชัดเจนก็นึกว่าจวินโม่ซ่างตบฉีเฟยอวิ๋นจริงๆ
หลังจากล้มลงแล้วฉีเฟยอวิ๋นปิดหน้าและร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา: “ฝ่าบาท ให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ!”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแบะพระโอษฐ์ เช่นนี้ก็ไร้สาระเกินไป ผู้ใดเห็นว่าตบแล้วบ้าง?
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวเจ้าออกจะเกินไปสักหน่อย ต่อหน้าข้าเจ้าอาละวาดเช่นนี้จะตบพระชายาเย่แห่งเมืองต้าเหลียงเรา หากว่าในขณะที่ข้ามองไม่เห็นเจ้าจะทำเช่นไรบ้าง? อ๋องเย่เรื่องนี้เจ้าเป็นผู้จัดการ! พร้อมทั้งจัดการเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วย”
แม้ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะไม่เห็นสิ่งใดเลยก็ต้องให้ความร่วมมือแสดงละครฉากนี้ จากนั้นโบกมือและให้หนานกงเย่จัดการ
จวินโม่ซ่างเงยหน้าขึ้นมองมือของเขา เขาเองคิดว่าตนเองตบฉีเฟยอวิ๋นจริงๆ ตะลึงงันโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หนานกงเย่โมโหโทโสแล้วก้มลงโอบฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา: “จวินโม่ซ่าง พระชายาของข้าหวังดีและต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเมืองอู๋โยวเป็นเวลาร้อยปี เจ้ากลับไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตามองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้แล้วยังกล้าทำร้ายผู้อื่น เรื่องนี้ข้าจะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับเจ้า พวกเจ้า นำตัวจวินโม่ซ่างรวมทั้งถังหลงไปขังที่คุก ไม่มีป้ายอนุญาตของข้าห้ามมิให้เข้าเยี่ยม
แม่ทัพหวา หย่งจวิ้นอ๋องฟังบัญชา สายลับรายงานมาว่ากองกำลังห้าแสนนายของเมืองอู๋โยวกดดันชายแดนและยั่วยุเมืองต้าเหลียงเรา ข้าบัญชาให้ส่งทหารห้าแสนนายเดินหน้าไปยังชายแดน เดินทางตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อขับไล่ศัตรู หากไม่ล่าถอยไม่จำเป็นต้องมารายงานให้สังหารให้สิ้นซากแล้วกุมเอาเมืองหลวงของเมืองอู๋โยวเอาไว้! ”
หมายเหตุ
บุ๋นและบู๊ บุ๋นหมายถึงด้านการปกครองฝ่ายพลเรือน บู๊หมายถึงด้านการทหารฝ่ายการ
ทหาร
ทงฝัง หมายถึงสาวใช้ติดตามตัวของนายผู้หญิง คอยปรนนิบัติรับใช้หน้าห้องนอนเจ้า
นายอย่างใกล้ชิดและเจ้านายเรียกให้มาหลับนอนได้ด้วย