องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 588 สิบล้านเพื่อเอาชีวิตนาง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 586 สิบล้านเพื่อเอาชีวิตนาง
ปีนั้นอู๋กั่วถึงวัยแต่งงาน มีหลายคนมาสู่ขอนางนางนั้นดีใจนักแต่ลงเอยที่ทั้งคนและเงินนั้นว่างเปล่า
คนที่มาดูตัวเหล่านั้นพอเห็นทางก็รู้สึกชื่นชอบ พอสอบถามแล้วก็จากไปอย่างสลดใจและยังบอกว่าช่างน่าเสียดาย
อู๋กั่วสอบถามถึงได้รู้ว่าเนื่องจากอู๋ซังพูดจาให้ร้ายอยู่ลับหลัง บอกว่านางนิสัยไม่ดีมีเท้าที่ใหญ่ไม่พอยังมีกลิ่นเหม็นอีกด้วย
อู๋กั่วไม่มีกลิ่นเหม็นเป็นคำลวงที่อู๋ซังปั้นขึ้นทั้งสิ้น
นับตั้งแต่นั้นมาอู๋กั่วก็เริ่มให้ร้ายอู๋ซังลับหลัง เพียงแค่มีคนมาดูตัวอู๋ซัง อู๋กั่วก็แอบกระจายข่าวลือโดยบอกว่านางกับอู๋ซังป็นชู้กัน นางอายุน้อยไม่ประสีประสาเพียงแค่ต้องการให้อู๋ซังแต่งภรรยาหลังนางเท่านั้น เช่นไรอู๋ซังก็อายุมากกว่านางหนึ่งปี พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลังกำลังเหมาะ
ผู้ใดจะรู้ว่าข่าวลือนี้ทำให้นางโดนไปด้วยเช่นกัน พอมาคิดๆในตอนนี้อู๋กั่วเองก็เสียใจภายหลังซะแล้ว!
ส่ายศีรษะไปมา อู๋กั่วถอนหายใจนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนาง ใครให้อู๋ซังบอกผู้คนไปทั่วว่านางมีกลิ่นเหม็นซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ มีคำกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเองยังสามารถหลีกพ้นได้การกระทำผิดเองหนีไม่พ้น อู๋ซังทำตนเองทั้งนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นถูกอู๋ซังเชิญไป เมื่อเห็นท่าทีของเฟิงอู๋ชิงก็เป็นกังวลเล็กน้อยคิ้วนั้นปนไปด้วยความจนปัญญา
เมื่อเห็นแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อดที่จะจู้จี้จุกจิกไม่ได้ ซึ่งนี่ก็คือโรคแปลกประหลาดของผู้ที่เป็นหมอ ทุกครั้งที่ดูอาการป่วยให้ผู้ป่วยก็จะชอบบ่นสองสามประโยค หนึ่งคือเป็นการบรรเทาความตึงเครียดของผู้ป่วย อีกอย่างคือการสอนสั่งผู้ป่วย
“เจ้าหอเฟิงผู้มีพรสวรรค์ผู้นี้ก็ถูกรบกวนด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามตนเอง อันดับแรกตรวจดูก่อนแล้วจึงฉีดยาให้กับเฟิงอู๋ชิง
เฟิงอู๋ชิงนอนลงโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด ฉีเฟยอวิ๋นนั้นยังคงจู้จี้จุกจิกต่อ
“วิธีหนึ่งในการฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยที่ดีที่สุดก็คือการลดละความปรารถนาและรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เจ้าหอเฟิงดูไปแล้วมีความคิดอันหนักอึ้งจึงได้เป็นดังเช่นในตอนนี้”
เฟิงอู๋ชิงหลับตาลงอย่างเคร่งเครียด ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาอันน่าเกลียดแต่ยังเป็นคนพูดมากอีกด้วยโดยพูดพล่ามไม่หยุดตลอดทั้งวัน
ในเวลานี้เฟิงอู๋ชิงเริ่มเห็นอกเห็นใจหนานกงเย่ที่แต่งงานกับสตรีเช่นนี้ อาจเป็นเพราะอ๋องเย่นั้นสูงส่งจึงได้ขจัดมันออกไปได้แล้ว ดังนั้นถึงได้ประจบสอพลอทุกวันก็เพื่อให้หูของเขาได้สงบ
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่พักหนึ่งแล้วมองไปทางอู๋ซัง เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเขาฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: “จอมยุทธอู๋ซังมีเรื่องใดหรือ? หน้าตาดูเคร่งเครียดนัก?”
“คือว่า…..” อู๋ซังไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดดี เห็นว่าเฟิงอู๋ชิงไม่ได้หยุดรั้งเอาไว้จึงได้มองฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า: “อู๋กั่วจะไปหาครอบครัวมารดาสามี นายท่านให้ข้าออกเงินค่าสินสอดของเจ้าสาวให้อู๋กั่ว แต่ข้าติดตามนายท่านมานานหลายปีไม่เคยเอาเงินไปเลย แต่ว่าตอนนี้ให้ข้าออกเงินข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปเอามาจากที่ใดมาออก”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขำในใจ บางครั้งจอมยุทธเหล่านี้ในปฐพีก็จิตใจบริสุทธิ์ซึ่งไม่เหมือนกับที่แสดงอยู่ในโทรทัศน์
มีสิ่งใดก็กล่าวสิ่งนั้น ความคิดความอ่านนั้นไร้เดียงสา!
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าไม่เอากับท่านเจ้าหอหน่อยหล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นจงใจเสนอ
อู๋ซังมองไปยังเฟิงอู๋ชิง: “นายท่าน ท่านช่วยข้าออกหน่อย”
เฟิงอู๋ชิงอ่อนใจ หญิงผู้นี้ช่างน่ารำคาญซะจริง!
“นายท่านก็ไม่มีเงินชั่วคราว เงินของนายท่านถูกยืมไปแล้ว” เฟิงอู๋ชิงมีเงินมากมายก็จริงและร้านค้าก็มีมากมาย แต่ว่าช่วงไม่กี่วันก่อนเขายืมเงินออกไปหมดแล้วจริงๆ
อู๋ซังจ้องไปยังเฟิงอู๋ชิง: “นายท่าน……”
เฟิงอู๋ชิงคร้านที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขาและกล่าวว่า: “อู๋กั่วจะออกเรือน นายท่านก็เป็นกังวลกับเรื่องเงินอยู่ด้วยไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงต้องรับงานสังหารพระชายาเย่?”
“……”
อู๋ซังตระหนักทันทีว่าช่วงนี้เจ้าหอเฟิงรับงานสังหารคนมาไม่น้อยและพวกเขาทุกคนก็มีส่วนได้ด้วยหรือว่าขาดแคลนเงินจริงๆหรือ?
“นายท่าน พวกเรามีร้านค้าทั้งสิ้นมากกว่าสองร้อยร้านในทั่วทุกสารทิศ เงินทองนั้นราวกับสายน้ำไหลหลั่ง เหตุใดถึงได้……”
“อย่าพูดจาเหลวไหล นายท่านบอกว่าไม่มีก็ไม่มี!” เฟิงอู๋ชิงนึกถึงเงินเหล่านั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดนัก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก
ฉีเฟยอวิ๋นฟังเข้าใจแล้วว่าปฐพีจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็เพียงแค่กินดื่มทิ้งขว้างกัน เงินอีแปะหนึ่งก็ล้มวีรบุรุษลงได้
นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: “เจ้าหอเฟิงขาดเงินทองที่จะเป็นสินสอดฝ่ายเจ้าสาวให้อู๋กั่วหรือ?
“……” เฟิงอู๋ชิงกลับไม่ได้กล่าว
แต่เขาก็เป็นผู้พิทักษ์สตรีผู้หนึ่งนี้และหอทิงเฟิงของเขาก็ไม่มีคนที่สอง ปีนั้นได้สัญญากับอาจารย์ที่ไร้เมตตาของอู๋กั่วเอาไว้ว่าเมื่ออู๋กั่วออกเรือนจะเตรียมสินสอดอย่างมากมายจำนวนหนึ่งให้นางเป็นแน่ และไม่รู้ว่าผู้ใดเล็ดลอดเรื่องนี้ออกไปทำให้อู๋กั่วรู้เข้า จากนั้นอู๋กั่วทำภารกิจกลับมาทุกครั้งก็จะเพิ่มเงินให้กับตนเอง เช่นนี้ได้กำไรบวกกับเงินที่หามาได้รวมทั้งที่อู๋กั๋วเอาไป เงินนั้นก็ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเฟิงอู๋ชิงคิดคำนวณแล้วนั้นมีมากกว่าห้าล้านตำลึง
ตามหลักแล้วเจ้าหอเฟิงไม่ได้ขาดแคลนเงินไม่ต้องกล่าวถึงจำนวนห้าล้านกว่าตำลึง ห้าสิบล้านตำลึงก็เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่ไม่นานมานี้เองเฟิงอู๋ชิงได้ทำเรื่องที่โง่เขลาทำให้การใช้จ่ายของหอทิงเฟิงหยุดชะงักโดยได้ยืมเงินทั้งหมดออกไปทำให้ตอนนี้เขาไม่มีเงิน เมื่อเจอเรื่องที่อู๋กั่วจะออกเรือนก็ไม่เป็การดีที่จะคงค้างเอาไว้
“หากว่าเจ้าหอเฟิงขาดแคลนเงินทองแล้วหล่ะก็ จวนอ๋องเย่สามารถให้เจ้าหอเฟิงยืมอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากมายนักเพียงสามหมื่นตำลึง ไม่รู้ว่าเจ้าหอเฟิงรู้สึกว่าเพียงพอหรือไม่?”
“……”สามหมื่นตำลึง?
เฟิงอู๋ชิงมองดูฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาอันดูถูกดูแคลนซึ่งแสดงทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ฉีเฟยอวิ๋นทนไม่ได้ที่จะขบขัน
“หากยังไม่พอก็ยังสามารถกู้ยืมได้อยู่บ้าง แต่ว่า……”
“กู้ยืม?” เฟิงอู๋ชิงรู้สึกทึ่งแปลกใหม่ไม่จบสิ้นในตัวฉีเฟยอวิ๋นและกลับรู้สึกประหลาดใจ
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก: “เป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจากการยืมเงิน”
“สามารถยืมออกมาได้ห้าล้านตำลึง?” เฟิงอู๋ชิงลุกขึ้นนั่งส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย
“เป็นการยากที่จะกล่าวแต่ข้าสามารถลองไปถามอ๋องตวนได้ อ๋องตวนมีเงินทองมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าหอเฟิงมีสิ่งใดเป็นหลักประกัน?”
“ไม่มี” เฟิงอู๋ชิงไม่ต้องการจำนองสิ่งใดเลย เขามีความขัดแย้งในเรื่องการจำนองนี้นัก
“เช่นนั้นก็ไม่มีหนทาง ตัวอ๋องตวนเองขี้สงสัย ไม่มีการจำนองต่อให้เขามีเงินเขาก็จะไม่นำเงินออกมาให้ยืมง่ายๆ”
“เช่นนั้นก็ไปชิงมา?” เฟิงอู๋ชิงเลิกคิ้ว
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงนิ่งเฉย: “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้แต่เป็นการทำลายความสง่างามของเจ้าหอเฟิงที่แท้จริง ตามข่าวลือนั้นเจ้าหอเฟิงเป็นหอนักฆ่าที่ใหญ่ที่สุดในปฐพี สังหารคนผู้หนึ่งเรียกเงินสูงสุดสามล้านตำลึง หากว่าเป็นเช่นนี้เพื่อเงินค่าสินสอดทองหมั้นฝ่ายหญิงเล็กน้อยในที่สุดก็จะทำให้เสียหน้าได้”
เฟิงอู๋ชิงปวดใจแล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า: “ความหมายที่กล่าวก็คือหากข้าไม่มีของจำนองก็ไม่สามารถยืมเงินมาได้และก็ไม่มีวิธีแย่งชิงเงินได้?”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีทางชิงเงินได้ แต่เงินนี้เจ้าหอเฟิงนั้นจะแย่งหรือไม่ ด้วยกำลังของเจ้าหอเฟิงยังต้องใช้เวลามากในการคิดเรื่องเงินหรือ จะแย่งชิงแค่อาศัยกำลังของเจ้าหอเฟิงก็เป็นเพียงแค่การติดไม้ติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง
เพียงแค่ว่าเรื่องการแย่งชิงเงินนั้นสำหรับเจ้าหอเฟิงแล้วออกจะลดคุณค่าลงไปสักหน่อย”
เฟิงอู๋ชิงอยู่ในอารมณ์อันย่ำแย่นัก อย่างไรก็ตามก็คือไม่สามารถชิงเงินได้
อู๋ซังยังคงไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “พวกข้าได้ยินมาว่ารายรับทุกปีของเจ้าหอเฟิงอย่างน้อยก็หลายสิบล้านตำลึง นี่ยังถือว่าน้อยบางครั้งศีรษะหัวหนึ่งก็มีค่าหลายสิบล้าน ดังนั้นพวกข้าได้ยินว่าทุกๆปีหอทิงเฟิงสังหารได้ไม่กี่คนและค่าหัวนั้นราคาสูงนัก ต่ำสุดที่เราสังหารหัวหนึ่งยังต้องใช้สามแสนตำลึง”
“สามแสนตำลึง?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังเฟิงอู๋ชิง: “แล้วค่าหัวของข้าราคาเท่าไหร่?”
“ตามราคาที่เจ้าหอเฟิงของเราทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจน ศีรษะของชินอ๋องคือสิบล้านตำลึงต่อหัว ของพระชายาเย่น่าจะเป็นเจ็ดล้านตำลึง!” อู๋ซังคำนวณตามตารางราคามาตรฐานของพวกเขา แต่ว่า……
“หากว่าเจ้าหอออกหน้าเองหล่ะก็ก็น่าจะอยู่ที่สิบล้านตำลึง”
ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงกล่าวไม่ออก จากนั้นพร้อมกับใบหน้าอันค่อยๆไม่รีบร้อน: “ตามที่กล่าวนี้ศีรษะของข้ามีค่าเช่นนี้ แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่สามารถจ่ายได้นั้นมีไม่มาก”
“คนที่สามารถเชิญเจ้าหอของเราได้นั้นมีไม่มาก แต่เงินจำนวนสิบล้านนั้นผู้ที่สามารถนำออกมาได้ก็น่าจะมีไม่น้อย
คนธรรมดาทั่วไปดูแล้วก็น่าจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่พระญาติบางคนของจักรพรรดิก็ยังคงทำได้”
อู๋ซังกล่าวต่อ ฉีเฟยอวิ๋นต้องการสอบถามต่อไปจึงได้ขัดจังหวะเฟิงอู๋ชิง!