องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 600 ลอบสังหารกลางดึก
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 598 ลอบสังหารกลางดึก
เมื่อมาถึงห้องบรรทมของพระพันปีฉีเฟยอวิ๋นก็มองดูพระวรกายของพระพันปีอย่างละเอียด พระพันปีทรงปดว่าบรรทมไม่หลับฉีเฟยอวิ๋นตรวจดูอาการให้พระนาง โดยที่พระนางยังคงทรงหดหู่พระทัย ช่างโง่เขลาเกินไปแล้วเช่นไรก็มาแล้วไม่สามารถเข้าใจแล้วแสร้งทำเป็นเลอะเลือนหรือ
พระพันปีทรงไม่เข้าพระทัยว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้างและรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอยู่ตลอด
ตรวจดูอาการแล้วว่าพระพันปีไม่เป็นไรฉีเฟยอวิ๋นจึงได้มองดูเจ้าห้าที่นอนอยู่ตรงฝั่งหนึ่ง เจ้าเสือน้อยนั้นได้ขึ้นไปอยู่บนเตียงแล้วและมันไม่ยอมห่างจากเจ้าห้าแม้แต่ก้าวเดียว
พระพันปีก็ทรงตามใจเจ้าเสือน้อย ไห่กงกงกลัวเจ้าเสือน้อยมากจนไม่ไหวแล้ว เนื่องจากเจ้าเสือน้อยคำรามเขาก็ตัวสั่นซะแล้ว แต่พระพันปีกลับมองว่าเจ้าเสือน้อยนั้นน่าเอ็นดูและยังสัมผัสเป็นครั้งคราว
ตามหลักแล้วเสือนั้นทำร้ายคนเป็นแน่ ถึงจะยังเล็กแต่ก็เป็นสัตว์ดุร้าย แต่เจ้าเสือน้อยนั้นก็เชื่อฟังต่อพระพันปียิ่งนัก ขณะที่พระพันปีจับมันมันก็จะหมอบลงอย่างเชื่องโดยไม่เคารพสักนิดก็ไม่มี
“เจ้าห้าต้องเป็นเด็กดีนะ!” ฉีเฟยอวิ๋นจูบเจ้าห้า และกล่าวคำอำลาต่อพระพันปีแล้วจึงได้จากไป
พระพันปีไม่ได้เลี้ยงเด็กมาหลายปีแล้วส่วนเจ้าห้าเป็นที่รักของพระนาง เดิมทีคิดว่าจะดูแลเป็นอย่างดีแต่ว่าเจ้าห้าก็นอนหลับไว เช่นไรพระพันปีนั้นทรงพระชันษามากแล้วจึงไม่ได้ตรัสสิ่งใดมากและทรงพักผ่อนโดยไว
ไห่กงกงปิดม่านลง เขาเรียกขันทีน้อยสองคนและนางกำนัลสองคนมา จากนั้นเขาก็ไปพักผ่อนยังฝั่งหนึ่ง
เช่นไรก็อายุมากแล้วไห่กงกงจึงทนง่วงไม่ไหว
กลางดึก เจ้าห้าลืมตาขึ้นและไม่มีผู้ใดเห็นเงาของคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากฝั่งหนึ่ง นางกำนัลสองคนล้มลงก่อนแล้วตามด้วยขันทีน้อยสองคน
จากนั้นผู้ที่มาก็ถือมีดสั้นเล่มหนึ่งแล้วยกม่านขึ้นเดินไปทางด้านของพระพันปี กำลังเตรียมที่จะลงมือก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเขา ผู้ที่มายกมือโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาเจ็บปวดและรู้สึกว่าผิดปกติ มีบางอย่างที่ร้อนลุ่มหล่นออกมาจากดวงตา พอเอื้อมมือไปแตะก็พบในดวงตาเป็นรูโบ๋
“ดวงตาของข้า?”
ผู้ที่มาเป็นชายผู้หนึ่ง พออ้าปากก็ทำให้พระพันปีทรงตกพระทัยตื่น จากนั้นพระพันปีก็ลืมพระเนตรขึ้นในทันทีแล้วทอดพระเนตรไปยังฝั่งหนึ่ง
เห็นชายสวมชุดขันทีผู้หนึ่งจากประกายของเปลวเทียนกำลังส่งเสียงร้องโหยหวนถึงดวงตาของเขา เจ้าอีกาน้อยบินลงยังด้านบนด้านหนึ่งของที่จุดเทียนไขราวกับว่ากำลังดูความครื้นเครงอยู่ ดวงตาคู่สีดำจ้องมองผู้ที่ส่งเสียงคร่ำครวญอีกทั้งยังมีเลือดที่มุมปากด้วย
พระพันปีเสด็จเข้าไปอุ้มเจ้าห้าทันที ส่วนผู้ที่มารู้สึกถึงบางสิ่งแล้วพุ่งเข้าไปทางด้านพระพันปี พระพันปีทรงตกพระทัยและทรงตะโกนว่า: “คุ้มกัน!”
ในเวลานี้เจ้าเสือน้อยคำรามและตะครุบเข้าไปดดยใช้อุ้งเท้าข่วนใบหน้าของผู้ที่มา ขย้ำจนผู้ที่มานั้นตัวสั่นสะท้านและหวาดผวา
เจ้าเสือน้อยวิ่งเข้าไปพร้อมกับเริ่มฉีกกัดจนคนดีๆผู้หนึ่งก็เลือดท่วมตัวอย่างรวดเร็ว
ไห่กงกงรีบลุกขึ้นและเห็นว่ามีคนตายอยู่บนพื้นก็ร้องตะโกนว่า: “พวกเจ้า พวกเจ้ามาเร็ว คุ้มกัน คุ้มกัน!”
พระพันปีถูกไห่กงกงลากลงมาคุ้มกัน ไห่กงกงจะไปคุ้มกันเจ้าห้า พระพันปีเองก็ไม่ทรงสามารถสนพระทัยคนอื่นๆได้จึงผลักไห่กงกงออกแล้วรีบอุ้มเจ้าห้าเอาไว้ อีกฝ่ายหนึ่งได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจึงได้พุ่งเข้าไป ต่อให้ต้องตายก็ต้องหาผู้ที่ตายด้วยกัน
ในเวลานี้เจ้าห้าหลุดออกมาจากผ้าห่ม เขาลุกขึ้นนั่งและมองดูคนที่เลือดนองหน้าผู้นั้นและยังกุมปิ่นทองอันหนึ่งเอาไว้ด้วย
พระพันปีทรงลูบพระเศียรแล้วนึกขึ้นได้ว่าได้วางปิ่นทองไว้ข้างหมอน: “เจ้าห้า!”
“ห๊า!”
ในเวลาที่พระพันปีทรงหวาดกลัวคนผู้นั้นไม่รู้ว่าคลานอยู่บนกายของเจ้าห้าได้เช่นไร มีดสั้นในมือหล่นลงและคนทั้งคนก็ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
พระพันปียกกระโปรงขึ้นแล้วดึงฝ่ายตรงข้ามออกไปโดยที่เจ้าห้าได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว และในมือก็ยังเต็มไปด้วยเลือด
พระพันปีรีบอุ้มเจ้าห้าขึ้นแล้วตรัสอย่างโกรธเคือง: “ดึงมันออกแล้วโยนออกไปด้านนอกให้ผู้คนดู!”
ไห่กงกงรีบขอร้องว่า: “พระพันปี ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ หากแพร่ออกไปว่ามีคนเข้าตำหนักมาก็จะไม่เป็นการดีนะพะย่ะค่ะ”
พระพันปีทรงกริ้วยิ่งนัก: “ไป!”
ไห่กงกงทำสิ่งใดไม่ถูกเตรียมตัวไป เจ้าห้าสัมผัสพระพักตร์ของพระพันปี พระพันปีทรงทอดพระเนตรแล้วทรงหายกริ้วแล้ว
สายตาของเจ้าห้านั้นเสมือนปลอบโยนพระพันปีอยู่
“เจ้าห้าคิดว่าเสด็จย่าไม่สามารถจัดการเช่นนี้กับคนผู้นี้ได้หรือ?”
พระพันปีทรงถามแล้วเจ้าห้าก็เอามือออก มือทั้งคู่เปรอะเปื้อนเลือดจากนั้นร่างอันเล็กก็พิงอยู่ในอ้อมแขนของพระพันปีทำให้พระพันปีรู้สึกทุกข์ใจแย่แล้ว
เด็กคนนี้ช่วยชีวิตของพระนางเอาไว้
เมื่อก่อนจะให้เด็กคนนี้อยู่ต่อเขานั้นไม่ยอม แต่เรื่องราวในวันนี้แปลกประหลาดและเกิดขึ้นได้อย่างปกติ
พระพันปีอุ้มเจ้าห้าลงไปและหาคนสองสามคนมาและฝังทุกคนบนพื้นทั้งเป็น ไห่กงกงจัดการเรื่องนี้อย่างเรียบร้อยซึ่งก็ถือได้ว่าเรียบร้อยรวดเร็ว
ทุกอย่างเรียบร้อยก็สว่างแล้ว พระพันปีทอดพระเนตรร่างที่เปื้อนเลือดของเจ้าห้าก็ปวดใจจึงอุ้มไปอาบน้ำ
เมื่อกลับมาเจ้าห้าก็นอนหลับไปแล้ว ไห่กงกงสั่งให้คนเปลี่ยนเตียงที่สะอาด
เจ้าอีกาน้อยและเจ้าเสือน้อยดื่มกินอิ่มแล้วก็นั่งงอเข่าอยู่ใต้เตียง ขณะที่พระพันปีและเจ้าห้าพักผ่อนอยู่ด้วยกัน
ฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับเลยทั้งคืน โดยปกติก็ไม่ได้พักผ่อนกับเจ้าห้าอยู่เสมอ แต่ราวกับว่ามารดาและบุตรออกจากเรือนพร้อมกันเช่นนี้แล้วเรื่องที่เจ้าห้าพักผ่อนกับผู้อื่นนั้นมีไม่มาก
ตื่นเช้าฉีเฟยอวิ๋นก็มาตำหนักเฉาเฟิ่งพร้อมลูก ไห่กงกงตกใจตื่นจากการงีบแล้วรีบออกไปรั้งเอาไว้ จากนั้นเล่าเรื่องราวของเมื่อคืนให้ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็แปลกใจเช่นกันเจ้าห้ากล่าวกับเจ้าอีกาน้อยว่าจะมาตำหนักเฉาเฟิ่ง ซึ่งหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้านี่เอง?
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง……”
“ข้ารู้แล้ว เข้าไปกันเถอะ” หนานกงเย่ส่งเด็กในอ้อมแขนให้ไห่กงกงแล้วหันหลังก้าวเดินจากไป
เขาหันหลังแล้วใบหน้าที่อ่อนโยนก็เย็นชาลงทันที สถานที่ที่เดินผ่านนาวกำนัลก็รีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองคราวนี้สัมผัสเข้ากับขนคิ้วของเขาซะแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นกลับถึงตำหนักเฉาเฟิ่งก็รออยู่โดยตลอด ขณะที่พระพันปีลุกขึ้นหนานกงเย่ก็ได้เริ่มตรวจสอบวังหลวงทั้งวังแล้ว และเขากล่าวว่าเมื่อคืนมีคนเข้ามาลอบสังหารซื่อจื่อที่ตำหนักเฉาเฟิ่งดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
“เกิดเรื่องใดขึ้น?” จวินเซียวเซียวเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นานตำหนักจิ่นซิ่วก็มีคนออกมา นางกำนัลรายงานว่ามีคนลอบสังหารซื่อจื่อ
จวินเซียวเซียวไม่ได้ออกจากวังมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่เช่นนั้นนางก็คงจะไม่ใช่ว่าพอฉีเฟยอวิ๋นมานางก็ไม่ได้ไปดูเด็กและน้อมทักทายพระพันปี
ในเวลานี้นางแค่ต้องการดูแลทารกในครรภ์ให้ดี
ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวหรือว่าเป็นอะไรก็ตามจวินเซียวเซียวก็หวังว่ามารดาและบุตรจะปลอดภัย
แต่ว่าอยู่ดีๆเหตุใดซื่อจื่อถึงถูกลอบสังหารได้?
จวินเซียวเซียวออกมาจากตำหนักจิ่นซิ่วพร้อมกับให้คนไปยังตำหนักเฉาเฟิ่งด้วย พอถึงนอกตำหนักแล้วก็รออยู่ตรงด้านนอก
ไห่กงกงจึงได้เรียกให้พระพันปีทรงตื่นขึ้น พระพันปีเห็นว่าพระนางตั้งครรภ์จึงให้นางเข้าไป
“ลูกสะใภ้ถวายพระพรพระพันปี” จวินเซียวเซียวย่อกายถวายความเคารพ
พระพันปีตรัสอย่างเฉยเมยว่า: “เจ้าเป็นเช่นนี้ยังจะออกมาทำอันใด ไปนั่งลงเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนขึ้น: “ถวายพระพรพระสนมเซียว”
“พระชายาเย่ลุกขึ้นเถอะ”
พระสนมเอกเซียวออกจากผู้ที่ประคองพระวรกายแล้วเดินไปยังตรงหน้าพยุงฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นชื่นชมจวินเซียวเซียวตั้งแต่ต้นจนจบ พระนางฉลาดกว่าจวินฉูฉู่มากนัก
คนผู้หนึ่งสามารถแสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใด สามารถเสแสร้งตลอดชีวิตได้ถึงจะเป็นผู้ที่เก่งกาจ!
จวินเซียวเซียวไปนั่งลงและจ้องมองไปยังเด็กๆที่รักทั้งหลายของฉีเฟยอวิ๋น ดูแล้วชื่นชอบยิ่งนักแต่ด้วยฐานันดรจึงไม่ได้ไปแตะต้อง
แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับกล่าวว่า: “พวกเขายังเล็กอยู่ หากว่าพวกเขาเติบโตแล้วก็สามารถถวายความเคารพต่อพระสนมเอก”
“ไม่เป็นไร ข้าก็อิจฉาเช่นกันแต่ไม่กล้าที่จะคาดหวัง” จวินเซียวเซียวกล่าวอย่างสุภาพสองสามคำ จากนั้นมู่เหมียนก็มาด้วย