องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 66 ถูกจับได้แล้วสิ
บทที่66 ถูกจับได้แล้วสิ
“ถวายบังคมเสด็จแม่”
“ถวายบังคมเสด็จแม่”
จักรพรรดิอวี้ตี้และหนานกงเย่พากันมาที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง เพื่อมาเข้าเฝ้าพระพันปีด้วยกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รีบลุกขึ้น และก้าวเข้าไปยอบกายถวายบังคมจักรพรรดิอวี้ตี้ทันทีตามลำดับ แต่ในขณะที่นางกำลังยอบกายลงนั้น จักรพรรดิอวี้ตี้กลับรีบเข้าไปประคองตัวนางขึ้นมา แล้วพูดว่า
“ลุกขึ้นเถิด ข้ากับเจ้ามิใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย อย่าลืมสิ ว่าข้ามีศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้าแล้วนะ”
“หม่อมฉันมิบังอาจหรอกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางอ่อนน้อม จนจักรพรรดิอวี้ตี้เองก็เคลิบเคลิ้มไปกับกิริยาท่าทางที่แช่มช้อยของนางด้วย
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ข้าว่าพระชายาเย่ดูเปลี่ยนไปนะ….ข้าหมายถึง..เปลี่ยนไปในทางที่ดีน่ะ” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวชมเชย
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งเงียบไร้เสียงตอบกลับ เนื่องจากนางไม่คิดว่าตัวนางเองจะเป็นเหมือนที่จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวมา
“ใยข้าถึงดูไม่ออกเลยล่ะ? แถมข้ายังรู้สึกว่านางดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเก่าด้วยอีกต่างหาก” หนานกงเย่กล่าว พลางชายตามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะละสายตาจากนางไปหาพระพันปี แล้วพูดต่อว่า “ลูกขอกราบบังคมลานะขอรับ เสด็จแม่”
“จะรีบไปไหนอีกเล่า นาน ๆ พวกเจ้าจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อยู่กินอะไรด้วยกันก่อนสิ”
“ลูกต้องไปหารือกับสกุลจวินเรื่องรับพระสนมเอกเข้าวังน่ะขอรับ”
“วันเวลามันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปเถอะ” เมื่อพระพันปีกล่าวมาเช่นนั้น หนานกงเย่จึงหันหลังเดินจากไปทันทีอย่างไม่ลังเล
ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับมายอบกายให้พระพันปี แล้วกล่าวว่า “กราบบังคมลาเพคะ เสด็จแม่”
ก่อนจะหันไปยอบกายให้จักรพรรดิอวี้ตี้ตามลำดับ “กราบบังคมลาเพคะ ฝ่าบาท”
“อื้ม”
จักรพรรดิอวี้ตี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไพล่หลัง และเดินเข้าไปหาพระพันปีเพื่อพูดคุยกันตามประสาแม่ลูก
ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินออกมาถึงหน้าตำหนัก ก่อนจะค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลง “ทีหน้าทีหลังอย่าแต่งหน้าทาปากให้มันมากไป เห็นแล้วมันขัดหูขัดตา” หนานกงเย่เดินเข้ามาเทียบเคียงกายนาง พร้อมกับพูดวิจารณ์ด้วยสีหน้าที่แลดูไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนัก
ซึ่่งหลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกขัดจังหวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิ้วเรียวของนางก็ขมวดเข้าหากันทันที นางยกมือขึ้นโอบแก้มทั้งสองข้างด้วยความหงุดหงิด แล้วตอกกลับไปว่า “วันนี้ข้าไม่ได้แต่งหน้าทาปากมาเสียหน่อย ตื่นเช้ามา ข้าก็แค่ล้างหน้า สีฟัน และเตรียมจะคัดลอกหนังสือตามปกติของข้า แต่จู่ ๆ ข้ากลับต้องรีบเข้าวังมาเลย ท่านคิดว่าข้าจะเอาเวลาจากไหนไปแต่งหน้าทาปากได้เล่า?”
“งั้นรึ?” น้ำเสียงของหนานกงเย่ฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าเขาจะดูผิดไปเอง?
พอคิดได้ดังนั้น หนานกงเย่จึงรีบยกมือขึ้นลูบแก้มของฉีเฟยอวิ๋นทันที ก่อนจะพบว่าบนใบหน้าของนางนั้น ปราศจากสิ่งแปลกปลอมอื่นใดจริง ๆ
“เจออะไรไหมเพคะ?” น่าหงุดหงิดจริง ๆ เลย แต่ทำไมฝ่าบาทถึงยังไม่ออกมาอีกนะ?
ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับไปมองที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง ก่อนจะเจอเข้ากับสวีกงกงที่กำลังเดินหน้าเข้ามาหานางพอดี
“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่” สวีกงกงยอบกายถวายบังคม ทางด้านฉีเฟยอวิ๋นเองก็แอบถอนหายใจโล่งอกเบา ๆ ไปด้วย
“มีเหตุอันใดงั้นรึ? ท่านกงกง” หนานกงเย่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไพล่หลัง พร้อมกับเอ่ยถาม
สวีกงกงจึงรีบรายงานทันทีว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะกลับถึงพระที่นั่งบำรุงฤทัย และทรงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ยังมิได้พูดคุยกับท่านอ๋องเย่ ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้กระหม่อมมาทูลเชิญท่านอ๋องเย่กลับไปยังพระที่นั่งบำรุงฤทัยขอรับ”
“อื้ม นำทางข้าไปบัดเดี๋ยวนี้เลย”
ทันทีที่หนานกงเย่เดินตามสวีกงกงไป ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ติดตามหนานกงเย่ไปด้วยอย่างรู้งาน
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าพระที่นั่งบำรุงฤทัยแล้วนั้น ทั้งหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นต่างก็ต้องยืนรอตรงหน้าพระที่นั่งอยู่ครู่หนึ่ง
ซึ่งมันก็ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นหวนนึกถึงวันที่นางเกือบจะสิ้นใจอยู่ในพระที่นั่งแห่งนี้ นางเหลือบมองใบหน้าที่แสนจะเย็นชาของหนานกงเย่ด้วยความสับสน
ที่เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟในวันนั้น มันคงเป็นเพราะจวินฉูฉู่สินะ?
แต่ทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้ทำท่าทางรังเกียจข้าขึ้นมาแบบนี้ล่ะ
โดยเฉพาะสองสามวันที่ผ่านมานี้ เขาดูต่างกับที่ข้าเคยเห็นราวฟ้ากับเหว
แม้ว่าหนานกงเย่จะมีท่าทีที่ดูไม่พอใจฉีเฟยอวิ๋นไปบ้าง แต่แค่คำพูดไม่กี่คำนั้น มันทำให้นางหยั่งรู้ไปถึงความคิดข้างในของเขาได้มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ไม่นานนัก สวีกงกงก็เชิญหนานกงเย่เข้าไปด้านใน โดยที่ฉีเฟยอวิ๋นยังคงต้องรออยู่หน้าพระที่นั่งอย่างเดิม
“รอข้าอยู่ตรงนี้” หนานกงเย่กล่าว ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในพระที่นั่ง และทิ้งให้ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองตามหลังเขาไปอย่างจนปัญญา
ซึ่งก็แน่นอนว่า ทันทีที่หนานกงเย่เข้าไปด้านในพระที่นั่งแล้วนั้น สวีกงกงก็เดินกลับออกมา เพื่อเชิญฉีเฟยอวิ๋นให้ตามเข้าไปด้านในพระที่นั่งทันทีตามลำดับ
และตลอดทางนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็มิได้รู้สึกกังวลกับสายตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้องมาหานางแต่อย่างใด เนื่องจากนางรู้อยู่แล้วว่าจักรพรรดิอวีี้ตี้จะต้องเตรียมการเอาไว้เยี่ยงนี้
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นยอบกายถวายบังคมจักรพรรดิอวี้ตี้ ซึ่งจักรพรรดิอวี้ตี้เองก็รีบบอกให้นางลุกขึ้นเหมือนอย่างเคย
“ข้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายของข้ามันกระชุ่มกระชวยขึ้นมากกว่าเก่าจริง ๆ ข้าว่ายาตำรับนั้นของเจ้ามันได้ผลกับร่างกายของข้านะ”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเสริมขึ้นมาทันทีว่า “ขอหม่อมฉันตรวจดูชีพจรอีกสักหน่อยเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
“เอาสิ”
พูดจบ จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยื่นแขนออกมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่รอช้า รีบก้าวเข้าไปประคองข้อมือของจักรพรรดิอวี้ตี้ และจับชีพจรทันทีอย่างเบามือ นางใช้ปลายนิ้วทาบลงบนจุดชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลายมือออกจากข้อมือของจักรพรรดิอวี้ตี้ แล้วรายงานว่า “ดีขึ้นมากจริง ๆ เพคะฝ่าบาท และถ้าหากว่าฝ่าบาททรงเสวยพระโอสถตำรับนี้ต่อไปอีกสักระยะ ฝ่าบาทก็จะสามารถหายเป็นปกติได้ภายในครึ่งเดือนเลยนะเพคะ”
“ครึ่งเดือนงั้นรึ?” จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มันรวดเร็วปานนั้นเชียว?”
“เพคะ”
ท่าทีหมดสนุกของจักรพรรดิอวี้ตี้
ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่า ผู้ชายสมัยนี้นี่ยังไงกันนะ ไม่รู้จักดีใจที่ตัวเองจะได้หายป่วยรึยังไง?
“ครึ่งเดือนก็ครึ่งเดือน” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าว ก่อนจะหันกลับมาถามฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาสุกใส “แล้วหมู่นี้เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะ? อ๋องเย่ยังชอบรังแกเจ้าเหมือนแต่ก่อนไหม?”
“หม่อมฉันก็สุขใจดีเพคะ ส่วนท่านอ๋องเย่…ก็เริ่มจะคุ้นชินกับหม่อมฉันแล้วเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าโศกเล็กน้อย
“จริงรึ?” จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะชอบใจ ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นต้องฝืนยิ้มอย่างจนปัญญา มันมีอะไรน่าขันนักรึ?
“ฝ่าบาท นี่เป็นพระโอสถที่ฝ่าบาทจะต้องเสวยต่อไปอีกสักระยะ และภายในครึ่งเดือนหลังจากนี้ ฝ่าบาทจะต้องเสวยพระโอสถหลังพระกระยาหารทุกมื้อมิให้ขาดเลยนะเพคะ” พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบถวายพระโอสถให้กับจักรพรรดิอวี้ตี้ทันที
“อื้ม พวกเจ้ากลับไปพักได้แล้วล่ะ”
“กราบบังคมลาเพคะ ฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นแอบถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับออกมายังหน้าพระที่นั่ง และยืนรอต่อไปอย่างเดิม จนกระทั่งหนานกงเย่เดินกลับออกมาจากด้านในพระที่นั่ง
แต่พอนางได้เห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของเขา นางจึงพยายามสงบปากสงบคำ และเดินตามหลังหนานกงเย่มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งพ้นเขตพระราชวังไปในที่สุด
หลังจากที่ทั้งคู่ก้าวขึ้นรถม้าไปแล้วนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็แอบชำเลืองมองหนานกงเย่อย่างลับ ๆ ไปตลอดทาง และถึงแม้ว่าไฟตะเกียงภายในรถม้านั้นค่อนข้างที่จะมืดสลัว แต่ใบหน้าอันงดงามของหนานกงเย่ก็ยังสามารถเปล่งประกายออกมาได้อย่างเจิดจรัส ยิ่งร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีดำลายมังกรเข้าไปด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขาแลดูเลอค่าจนยากที่จะบรรยาย
แถมท่าทางเอนหลังพิงรถม้าด้วยความเกียจคร้านนั่น ยังไม่อาจทำให้กลิ่นอายความหล่อเหลาในตัวของเขาลดน้อยลงไปได้เลยแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงอดคิดไม่ได้ว่า “จุ๊จุ๊จุ๊ การที่เราต้องมาอยู่ในเงื้อมมือของหนานกงเย่ มันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่างนี่”
แต่แล้ว น้ำเสียงที่เย็นเฉียบของชายหนุ่มก็ดึงสติของฉีเฟยอวิ๋นกลับมาจนได้ “เสด็จแม่พูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แล้วตอบกลับไปว่า “ก่อนหน้านี้ เสด็จแม่มีอาการนอนไม่ค่อยหลับ แต่พอนางได้เสวยพระโอสถตามที่จัดไปให้ นางก็เริ่มหลับสบายยิ่งขึ้น แถมวันนี้เสด็จแม่ยังถามหายาอายุวัฒนะด้วยเพคะ”
“แล้วเจ้าได้กินเองด้วยไหม ยาอายุวัฒนะน่ะ?” หนานกงเย่หันมองด้วยแววตาที่เบิกโพลง พร้อมกับคิดในใจไปด้วยว่า “มิน่าล่ะ หมู่นี้นางถึงได้ดูเปล่งปลั่งพิกล”
แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ข้าเลือกกินแต่พวกพืชผักผลไม้ต่างหากล่ะเพคะ ข้าจะเอาเวลาจากไหนไปนั่งกินยาได้เล่า”
“ไม่ได้กินแน่รึ?”
ในเมื่อหนานกงเย่ไม่เชื่อคำพูดของนาง นางเองก็จนปัญญาที่จะอธิบายให้เขาฟังแล้วเช่นกัน
หนานกงเย่เห็นท่าไม่ดี จึงแสร้งเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นวดขาให้ข้าทีสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันมองไปยังขาทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วไล่กดไล่บีบไปตามหน้าขาของหนานกงเย่ จนมันทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น
แต่ยิ่งนึกถึงมันมากเท่าไร จิตใจของนางก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดตามไปด้วยทุกที หนานกงเย่ผล็อยหลับไปในขณะที่รถม้ากำลังแล่นไปตามทาง ส่วนฉีเฟยอวิ๋นเองก็บีบนวดตามหน้าขาของเขาอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งรถม้าแล่นมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนของอ๋องเย่
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านรถม้าและชำเลืองมองออกไป โดยที่หนานกงเย่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่อย่างเดิม
ทันใดนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็หวนนึกถึงสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของเขา ก่อนจะคิดในใจไปด้วยว่า นางเองก็มิได้มีค่าอันใดสำหรับเขา เขาเองก็มิได้รักนางเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น เขาก็คงไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับนางแล้วล่ะ
แต่ถ้าหากว่านางตายไป เขาก็คงได้อยู่ครองรักกับจวินฉูฉู่สมใจอยากน่ะสิ
ต่างฝ่ายต่างก็มีคู่ครองเป็นของตนแล้ว ยังจะอาลัยอาวรณ์กันอยู่อีกรึ
ชายหนุ่มเยี่ยงท่าน…..น่าขยะแขยงเป็นที่สุด!
พอคิดได้ดังนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็นึกเสียดายขึ้นมาทันที ที่นางไม่ได้ฉวยโอกาสตบหน้าหนานกงเย่ไปสักทีสองทีในตอนที่เขากำลังหลับ
นางจึงเปิดม่านขึ้น และกระโจนลงจากรถม้าทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ
แต่แล้วจู่ ๆ น้ำเสียงอันเรียบนิ่งของหนานกงเย่ก็ดังสวนออกมาจากข้างในรถม้าว่า “ข้ามีเรื่องที่ต้องไปสะสางต่อ เจ้ากลับเข้าไปข้างในก่อนเถิด”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินกลับเข้าไปในจวนทันที โดยมิได้รีรอให้รถม้าเคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนก่อนนางแต่อย่างใด
และทันทีที่หนานกงเย่เปิดม่านออกดู เขาก็ไม่พบวี่แววของฉีเฟยอวิ๋นอยู่แล้วจริง ๆ
แต่ในเมื่อเขาได้รับการปรนนิบัติจากนางมาแล้วตลอดทาง มันก็ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจจนหาที่สุดมิได้แล้วล่ะ เมื่อม่านรถม้าถูกปิดลง รถม้าของหนานกงเย่ก็เคลื่อนตัวไปยังจวนของราชครูจวินทันที
ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในจวนตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าไป หนานกงเย่ก็ยังไม่กลับมาถึงจวนเสียที และถึงแม้ว่าหนานกงเย่จะตั้งใจไปหารือเรื่องสนมเอกเป็นหลัก แต่ทุกย่างก้าวของเขาก็ยังต้องถูกบันทึกและถูกรายงานต่อใครบางคนอยู่ดี
แถมสกุลจวิน ก็คือสกุลมารดาของจวินฉูฉู่ มีหรือที่นางจะไม่อยู่ที่นั่นด้วย?
ดังนั้น หลังมื้อค่ำคืนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงเตรียมตัวกลับไปยังบ้านสกุลฉีของตนทันที เพราะถ้าหากว่านางยังคงนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในจวนของอ๋องเย่ต่อไป มันก็มิอาจทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ แถมการที่นางได้เข้าไปถวายพระโอสถให้กับจักรพรรดิอวี้ตี้ พร้อมทั้งเข้าเฝ้าพระพันปีไปด้วยแล้วนั้น มันก็พอที่จะทำให้นางได้มีเวลาหายใจหายคอไปได้อีกสองสามวัน
และถ้าหากว่านางจะต้องเตรียมเครื่องประทินผิวชะลอวัยให้กับพระพันปี นางก็ยังต้องกลับไปหาของบางอย่างที่บ้านสกุลฉีด้วยอยู่ดี
แต่ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นก้าวพ้นทางเข้าออกของจวนอ๋องเย่มาได้ไม่นาน นางกลับนึกถึงสาวใช้นางหนึ่ง ที่มีนามว่า หลิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาอีก ดังนั้น นางจึงตัดสินใจหันหลังกลับเข้ามาในจวน
ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาอาอวี่ที่กำลังนอนพักฟื้นอยู่ในสวนหลังบ้าน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาถึงข้างในห้อง นางก็นั่งลงข้าง ๆ อาอวี่ทันที ซึ่งพออาอวี่สัมผัสได้ถึงการมาของใครคนหนึ่ง เขาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และต้องตกใจสุดขีด เมื่อได้เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นเข้ามานั่งอยู่ข้างกายเขา
“พระชายา ท่านไม่ควรเข้ามาในเขตนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่พยายามพูดตักเตือนแต่พอควร เนื่องจากก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดที่จะฆ่านางมาก่อน
“เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม
“รู้สึกดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายา…ดึกดื่นป่านนี้ ท่านกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม ข้าแค่มีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย แต่ดู ๆ ไป ร่างกายของเจ้าก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมากนัก” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้จักเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะทันทีที่นางเห็นอาการที่ยังไม่สู้ดีของอาอวี่ นางก็ไม่อยากจะสร้างความลำบากอันใดให้กับเขาอีก
ฉีเฟยอวิ๋นจึงตัดสินใจหยิบมีดขึ้นมา และนั่นก็ทำให้อาอวี่ตกใจจนร้องตะโกนไม่ออกไปเลยทีเดียว เพราะเขาคิดไปว่า ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะปลิดชีพของเขาแล้ว
แต่ทันใดนั้น ฉีเฟยอวิ๋นกลับกดปลายมีดลงบนข้อมือของนาง ก่อนจะทำการกำหมัดจนแน่น พร้อมกับใช้มืออีกข้างบีบมุมปากของอาอวี่เข้าหากันเล็กน้อย เพื่อรอรับเลือดที่กำลังไหลออกจากข้อมือของนาง
ดวงตาทั้งสองข้างของอาอวี่จ้องมองการกระทำของฉีเฟยอวิ๋นด้วยความตกตะลึงปนหวาดกลัว
และพอเลือดจากกายของนางไหลรินเข้าสู่อีกกายหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบหยิบผ้าขาวที่นางพกติดตัวไว้ ขึ้นมาพันรอบข้อมือทันทีอย่างช่ำชอง
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเก็บมีดเข้ากับตัว อาอวี่ก็ลุกขึ้นนั่งได้ในทันทีอย่างน่าประหลาด “พระชายา นี่ท่าน?”
“ข้ารู้สึกเป็นทุกข์เรื่องน้องสาวของเจ้า ที่ผ่านมา ข้าทำอะไรไปโดยไม่คิด เป็นเหตุให้น้องสาวของเจ้าต้องเผชิญกับเรื่องร้าย ๆ แต่บัดนี้…ข้าสำนึกผิดแล้วนะ และข้าก็ไม่ได้หวังให้เจ้ามายกโทษให้ข้าด้วย เพราะชีวิตของคนคนหนึ่งนั้น มันมิอาจประเมินค่าได้เลยจริง ๆ โดยเฉพาะชีวิตของเด็กสาวอย่างน้องสาวของเจ้า
และที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ก็เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาตายไปแบบนี้ คิดเสียว่ามันเป็นการชดใช้จากข้าก็แล้วกันนะ
เจ้าไม่ต้องเก็บมันมาใส่ใจหรอก”
“พระชายา……”
“อาอวี่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า เจ้าพอจะตอบข้าได้หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นรีบเข้าเรื่อง ก่อนที่อาอวี่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่นางพยายามทำให้เขา
“ถามมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
ร่างกายของอาอวี่ฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ แถมอาการบาดเจ็บตรงหน้าอกยังหายเป็นปลิดทิ้งไปแล้วด้วย
“วันที่ข้าแต่งงานเข้ามา มีสาวใช้นางหนึ่งนามว่า หลิ่วเอ๋อร์ ติดตามมาด้วย แต่ทำไมตลอดระยะเวลาที่ข้าพักอาศัยอยู่ในจวน ข้าถึงไม่เคยพบเจอนางอีกเลยล่ะ?”
อาอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบกลับมาว่า “สาวใช้ที่มีนามว่า หลิ่วเอ๋อร์ ได้เข้ามาที่นี่พร้อมกับพระชายาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่า…ในคืนที่มีการส่งตัวพระชายาเข้าหอและเกิดเรื่องขึ้นนั้น ข้าราชบริพารทั้งหลายก็มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของพระชายาทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งมีเพียงหลิ่วเอ๋อร์ผู้เดียวที่หายตัวไปในคืนนั้นพ่ะย่ะค่ะ
ใคร ๆ ต่างก็พากันคิดว่า การที่สาวใช้ผู้นั้นหายตัวไป อาจเป็นเพราะนางรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพ แต่จู่ ๆ พระชายามาถามหาหลิ่วเอ๋อร์เช่นนี้ มีเหตุอันใดงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร ข้าไปก่อนนะ”
พูดจบ นางก็ลุกเดินออกจากห้องของอาอวี่ทันที ดูท่าหลิ่วเอ๋อร์จะเตรียมการไว้แล้วล่วงหน้า เพราะทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นกับนาง หลิ่วเอ๋อร์ก็หายตัวไปในทันที
ป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างนะ แล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น มันจะยอมปล่อยให้นางได้มีชีวิตรอดต่อไปได้อีกหรือเปล่า?
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังเดินออกมาจากสวนหลังบ้าน สายตาคู่หนึ่งที่คอยจับจ้องนางอยู่ในมุมมืดก็ค่อย ๆ โยกย้ายไปจับจ้องที่อาอวี่ด้วยความสงสัย
เมื่อสักครู่นี้ ฉีเฟยอวิ๋นให้อาอวี่ดื่มเลือดของนางงั้นรึ?
แอ๊ด~ ประตูห้องของอาอวี่ถูกใครบางคนผลักเข้ามาอย่างช้า ๆ
“อาซิว”
อาอวี่พยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะอธิบายให้อาซิวได้ฟัง แต่พออาอวี่เห็นสีหน้าของอาซิว เขาก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งเงียบไม่ไหวติงด้วยความจนปัญญา
แต่ทันใดนั้น อาซิวกลับเดินเข้ามาเปิดเสื้อของอาอวี่ขึ้น ก่อนจะพบว่ารอยฟกช้ำดำเขียวที่เขาเคยเห็น มันได้พากันจางหายไปจนเกือบหมดแล้ว
อาซิวปล่อยชายเสื้อของอาอวี่ลง ก่อนจะใช้สายตาที่เฉียบคมจับจ้องเข้าไปในตาของอาอวี่ “ทำไมแผลของเจ้ามันถึงได้…?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
อาอวี่รู้ดีว่าเป็นเพราะเลือดของพระชายา เพียงแต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเพราะเหตุใดเลือดของนางจึงสามารถเยียวยาบาดแผลต่าง ๆ ตามตัวของเขาได้ นอกจากนี้ อาอวี่ยังสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่อาซิวมีต่อฉีเฟยอวิ๋นได้อย่างแจ่มชัด จนมันทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้