องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 7668 การตายของสวามีรอง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 766 การตายของสวามีรอง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รับฟังคำทักท้วง เรื่องนี้ทำให้เหล่าขุนนางแห่งแคว้นเฟิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหลือแสน องค์รัชทายาทไม่ควรมีบุรุษคนเดียว ต้องเหมือนจักรพรรดินีที่มีหลังวังนับไม่ถ้วน
เสนาบดีเหวยเป็นแกนนำถวายฎีกาเรื่องคัดเลือกพระสวามีรองที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและความสามารถให้แด่ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นถูกเรียกเข้าเฝ้า ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจยิ่งนัก ไม่เห็นเรียกพบเธอตั้งนาน วันนี้เหตุใดจึงเปลี่ยนไป ไม่รู้มาอารมณ์ไหนกันแน่?
หนานกงเย่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้จะถือโอกาสแจ้งกำหนดการจากไปของพวกเขาแก่แคว้นเฟิ่ง
ทั้งสองเข้าวังพลันเห็นหมอเฟยอวิ๋นที่หน้าประตูวังพอดิบพอดี
เมื่อเฟยอวิ๋นเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเข้าไปทำความเคารพ “ข้าน้อยถวายพระพรองค์รัชทายาทและราชบุตรเขยเพคะ”
“ใต้เท้าไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ชินกับพิธีรีตองของอีกฝ่าย อีกฝ่ายลุกขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉีเฟยอวิ๋นเห็นนางอารมณ์ดีพลันถามว่า “ใต้เท้าดีใจเรื่องกระไรหรือ?”
“ใช่เพคะ ดีใจมาก ทูลองค์รัชทายาท หม่อมฉันอยากเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระทัยที่องค์รัชทายาทช่วยให้หม่อมฉันสมหวังอยู่พอดีเลยเพคะ เมื่อวานท่านหมอบอกว่าหม่อมฉันมีข่าวดีแล้วเพคะ”
“ใช่หรือ? เร็วจัง?”
“เพคะ ต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทเพคะ เพราะยาของพระองค์ หม่อมฉันถึงหายดี หม่อมฉันไปตรวจกับหมอขึ้นชื่อหลายท่านแล้วเพคะ ล้วนบอกว่ามีแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
“องค์รัชทายาทดูให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
“ได้ ข้าจะดูให้”
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือไป เฟยอวิ๋นก็รีบยื่นข้อมือ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดระบบการตรวจสุขภาพ ก่อนจะกล่าวว่า “น่าจะเป็นลูกสาว เพราะชีพจรอ่อนมาก”
“จริงหรือเพคะ?”
เฟยอวิ๋นดีใจอย่างหากที่เปรียบไม่ได้ ปกติพึ่งจะตั้งครรภ์ จึงยังดูไม่ออก
ทว่าฉีเฟยอวิ๋นใช้ระบบการตรวจสุขภาพ ย่อมดูออกแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ช่วงนี้เจ้าต้องบำรุงครรภ์และระวังดีๆนะ โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง เจ้ามีสามีเยอะ ต้องระวังผู้ปองร้ายต่อทารกในครรภ์ ในเมื่อเด็กคนนี้เป็นลูกของสามีเอก เช่นนั้นก็ควรอยู่กับเขาจึงจะปลอดภัย และเป็นการสร้างความผูกพันของพ่อลูกได้อีกทางด้วย”
“เพคะองค์รัชทายาท หม่อมฉันจะจดจำให้ขึ้นใจเพคะ” กล่าวจบเฟยอวิ๋นเชิญฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่เดินนำทางไปก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นคำนวณเวลา เธออยู่ในแคว้นเฟิ่งเกือบสองเดือน คิดว่าอีกฝ่ายจะมีอายุครรภ์เพียงแค่หนึ่งเดือน ทว่าเมื่อครู่ตอนตรวจให้เฟยอวิ๋นกลับพบว่ามีอายุครรภ์ใกล้สองเดือนแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าเดินเข้าตำหนักเฟิ่งเซียวอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจต่อเรื่องนี้มากนัก
ทั้งสองคารวะจักรพรรดินีกับตี้จวิน และเตรียมจะบอกเรื่องกลับบ้านเกิดเมืองนอน
ทันใดนั้นเสนาบดีเหวยรีบถวายฎีการายชื่อผู้ซึ่งมากล้นด้วยความสามารถและคุณธรรมสูงส่งเพื่อแต่งตั้งเป็นพระสวาทมีรองของฉีเฟยอวิ๋น
บรรยากาศในพระตำหนักตอนนี้ จึงเกิดภาพเสนาบดีเหวยประชันกับหนานกงเย่ หากไม่ข่มบารมีของหนานกงเย่หน่อยคงเสียดายแย่
“รัชทายาทคิดเห็นเช่นไร?” เฟิ่งไป่ซูย่อมต้องถามความเห็นชอบของบุตรีก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่ไม่มีท่าทีอันใด กล่าวว่า “เรื่องสวามีรอง ลูกมีใจ หากแต่ไร้แรงเพคะ หม่อมฉันปรนนิบัติราชบุตรเขยยามค่ำคืนผู้เดียวก็เหนื่อยมากพอแล้วเพคะ หากสู่ขอสวามีรองอีก ลูกคงต้องเหนื่อยตายแน่เพคะ”
“……” เหล่าขุนนางพูดคุยกันเสียงเซ็งแซ่ ให้รัชทายาทปรนนิบัติราชบุตรเขยได้อย่างไร
หนานกงเย่ทำหน้าจองหอง เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าบุรุษใดจะแต่งให้อวิ๋นอวิ๋น เชิญออกมาประลองฝีมือกันก่อนเถอะ”
เมื่อลั่นประโยคนี้ออกมา เหล่าขุนนางก็อดรนทนไม่ไหว ตั้งหน้าตั้งตาคอยชมฉากระทึกขวัญกันทั่วหน้า เฟิ่งไป่ซูกับซูอู๋ซินยังไม่ทันรับสั่ง เสนาบดีเหวยก็กราบทูลว่า “ฝ่าบาทโปรดเรียกตัวผู้ถูกคัดเลือกให้เป็นพระสวามีรองด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งไป่ซูมองหนานกงเย่ปราดหนึ่ง นิสัยเขยผู้นี้กระด้างกระเดื่องเกินไป ถ้าเป็นเช่นนี้ คงถูกผู้อื่นในแคว้นเฟิ่งคร่าชีวิตในไม่ช้าก็เร็วแน่
“เบิกตัวเลย”
ไม่นานพลันมีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้าพระตำหนักเฟิ่งเซียว
อายุบุรุษผู้นี้ประมาณสิบแปดเห็นจะได้ เขาสวมใส่อาภรณ์ตัวหลวมสีดำแดง ผมดำเงางามระอยู่บนบ่า ผิวพรรณขาวผุดผ่องสวยงาม ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ส่วนมากความงามของบุรุษคือเป็นคนอ่อนโยน หากแข็งกร้าวนั่นเรียกว่าดันทุรัง
ความงามของบุรุษผู้นี้ทำให้ชายอื่นไม่กล้าเงยหน้า และทำให้สตรีอิจฉาสุดแสน
ทว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่สตรีหลงใหลบุรุษงาม อีกอย่างเธอไม่ชอบประเภทนี้ โฉมงามเหมือนสตรีเกินไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองได้สองปราดก็หันไปมองเบื้องหน้า
ส่วนหนานกงเย่กลับมองสำรวจอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน
“อันจือถวายบังคมฝ่าบาท ตี้จวิน พ่ะย่ะค่ะ” อันจือคุกเข่าคารวะ
เฟิ่งไป่ซูเรียกเขาให้ลุกขึ้น จากนั้นก็มองเขาชั่วครู่ ก่อนจะมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น “รัชทายาทชอบพอใจหรือไม่?”
“ให้ราชบุตรเขยดูเถอะเพคะ เวลาอยู่ด้านนอก เขาจะเป็นใหญ่ด้านการตัดสินใจเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นผลักเรื่องนี้ให้แก่หนานกงเย่
ไม่ใช่จะดูหรอกเหรอ?
เฟิ่งไป่ซูมองมา “ราชบุตรเขย เจ้าคิดว่าคนนี้เป็นเช่นไร?”
คิ้วงามดุจกระบี่ของหนานกงเย่ยกขึ้น มองอันจือที่อยู่บนพื้น ก่อนจะก้าวเข้าไป ผู้คนรู้สึกฉงนสนเท่ห์ ทว่าไม่ทันไรก็เห็นเขาง้างฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่าย อันจือสะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นหนีไปอยู่ด้านหลังของเอ๋าชิง “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
อันจือพูดด้วยความกระวนกระวายใจ หนานกงเย่หันไปมอง “ออกมา”
“ไม่ ข้าไม่ออก”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะอาเจียน คนประเภทนี้ อย่าว่าแต่เธอไม่อยากให้แทรกเป็นมือที่สามระหว่างเธอกับหนานกงเย่เลย ถึงแม้เธอจะไม่มีใคร เธอก็ไม่กล้าเอา เมื่อจินตนาการตอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนผู้นี้ เธอก็ขนลุกชันเลย
“ถ้าเจ้าออกมาข้าจะให้เจ้ามีร่างศพสมบูรณ์ครบสามสิบสองประการ”
ท่าทีหนานกงเย่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ชวนให้คนหายใจไม่ออก
“บังอาจ ที่นี่คือพระตำหนักเฟิ่งเซียว เจ้าอย่าได้ทำตัวอันธพาลแถวนี้ เจ้ากล้าหมิ่นพระเกียรติของจักรพรรดินีกับตี้จวินหรือ?” เสนาบดีเหวยกราดเกรี้ยว
หนานกงเย่เดินเข้าไปหาเสนาบดีเหวย “ข้าคือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ในแคว้นต้าเหลียง อยู่ใต้อำนาจหนึ่งคนเดียว แต่เหนือคนนับหมื่น กระทั่งฝ่าบาทยังไว้หน้าข้า แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่เพียงไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้เฉกเช่นแขกสูงศักดิ์ ยังต้องถูกกลั่นแกล้งอีก
ระบบการปกครองของแคว้นต้าเหลียง ไม่มีสตรีแต่งสามีหลายคน ถึงแม้ข้าเป็นบุรุษ ซึ่งตรงนั้นสามารถมีภรรยาหลายคนได้ แต่ข้าก็รับปากอวิ๋นอวิ๋นว่าจะครองคู่กันเพียงสองคนตลอดชีวิต
พวกเจ้าเห็นข้าขวางหูขวางตา อยากทำลายชีวิตคู่ของข้า แล้วข้าจะยอมได้อย่างไร”
เฟิ่งไป่ซูใจลอยเล็กน้อย มองไปยังซูอู๋ซิน พลางรับสั่งเชิงหยอกเย้า “ตี้จวิน คำนี้คุ้นหูจัง?”
“อืม”
ซูอู๋ซินมองหนานกงเย่อย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “ทหาร นำตัวอันจือไปกักขัง คนผู้นี้ดูดีเพียงภายนอก ไม่มีฝีมืออันใด ตี้จวินข้าไม่ชอบ
สำหรับเรื่องแต่งตั้งสาวมีรองของรัชทายาทให้ปล่อยทิ้งไว้ก่อน
เพราะฐานะราชบุตรเขยไม่ธรรมดา ไม่สะดวกตัดสินใจฝ่ายเดียว รอให้เขาคิดดีก่อนแล้วค่อยพูดก็ไม่สาย”
ซูอู๋ซินมีราชโองการออกมาแล้ว เสนาบดีเหวยอกสั่นขวัญแขวนยังไม่หาย ทว่ากลับเห็นหนานกงเย่จ้องอันจือที่ถูกนำตัวไป เขารู้สึกว่าหนานกงเย่จะเอาชีวิตอีกฝ่ายให้ได้ ส่วนตัวอันจือเองก็ตกใจกลัวรีบหนีด้วยความลุกลน กล่าวว่า “ข้าไปเอง ข้าไปเอง”
เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่เบาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปด้านหน้าหนานกงเย่ มองเขาด้วยสายตาตำหนิติเตียน “ท่านเหลวไหลมาก ถึงจะฆ่าเขาก็ต้องลงมือด้านนอก ฆ่าแล้วก็ไม่มีใครรู้ ท่านฆ่าคนที่นี่ ไม่ใช่จะบอกทุกคนว่า ท่านไม่ยอมรับคนอื่นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยเป็นสองนัยยะ เหล่าขุนนางได้ยินก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ รัชทายาทกับราชบุตรเขยเหมือนกันมาก ล้วนเห็นการฆ่าคนเหมือนการรับประทานอาหารก็ไม่ปาน
“เช่นนั้นประเดี๋ยวค่อยไปฆ่าไ
หนานกงเย่ลั่นวาจาออกมาแล้ว ย่อมทำได้แน่นอน เขาบอกว่าประเดี๋ยวก็ย่อมเป็นประเดี๋ยวหนึ่ง ทางท้องพระโรงยังไม่หายหวาดหวั่นก็ได้รับฟังข่าวเสียแล้ว
ซึ่งข่าวที่ว่าคือ อันจือสิ้นชีพนอกท้องพระโรง โดยถูกอีกาตัวหนึ่งจิบกัดขาจนกลิ้งลงจากบันไดแล้วเสียชีวิตในที่สุด