องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 799 เจ้าของร่างเดิมที่เหมือนเด็กเล็ก
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 799 เจ้าของร่างเดิมที่เหมือนเด็กเล็ก
เจ้าของร่างเดิมไม่เป็นอะไร ผละตัวออกจากอ้อมกอดของหนานกงเย่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองหนานกงเย่ด้วยรอยยิ้ม “สมกับที่เป็นท่าน เฮอะ อวิ๋นอวิ๋น ข้าอยากขอโทษเจ้า”
กล่าวจบ ไม่รอให้หนานกงเย่ตอบสนอง นางก็ถือวิสาสะหอมแก้มเขา จากนั้นก็รีบลุกขึ้นวิ่งด้วยความกระวนกระวาย หนานกงเย่ชะงัก ลุกขึ้นมองคนที่วิ่งลงเขาด้วยสภาพอเนจอนาถ ประหนึ่งก้อนดินโคลนที่กลิ้งและคลานผสมปนเปกัน
ไม่นานหนานกงเย่ก็ตามลงไปด้วยใบหน้าขมึงทึง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเอาเปรียบอีก เขาจึงรักษาระยะห่างอยู่เสมอ
เจ้าของร่างเดิมไม่มีทั้งความอดทนและกำลังวังชา กอปรกับไม่มีประสบการณ์ ผ่านไปไม่นานก็เดินเหินไม่ไหว จึงทิ้งตัวนั่งยืดแข้งยืดขา แล้วนอนพิงต้นไม้ใหญ่เสียเลย
หนานกงเย่ตามนางดุจเดิม ยืนรออยู่ด้านข้าง
“……” ยืนได้สักพัก เจ้าของร่างเดิมก็หลับใหลเป็นที่เรียบร้อย
หนานกงเย่เดินเข้าไปแล้วย่อเข่ามองเจ้าของร่างเดิม ด้วยเกรงว่าจะปลุกให้นางตื่น จึงไม่ได้เข้าใกล้มากนัก
“เจ้าหลับแล้วหรือ?” หนานกงเย่ถามเสียงเย็นเยียบ
เจ้าของร่างเดิมเอียงตัวไปอีกด้าน หนานกงเย่รีบจับตัวไว้ จึงไม่ได้ล้มลงพื้น
หนานกงเย่เอานางแบกหลังแล้วลงจากภูเขา
พวกเฟิ่งอู๋ชิงรออยู่ที่ตีนเขาแล้ว เห็นว่านางถูกแบกลงมา ซูมู่หรงกับจวินโม่ซ่างพลันรีบเข้าไปหา
“หลับแล้วหรือ?” ซูมู่หรงอยากดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นลงมา ทว่ากลับเห็นสายตาเย็นยะเยือกของหนานกงเย่
“องค์ชายสามมีราชกิจมากมาย ไม่สู้กลับไปก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ร่างกายข้ายังไม่แข็งแรง ต้องให้อวิ๋นอวิ๋นรักษาก่อน” ซูมู่หรงกระหยิ่มยิ้มยอง
หนานกงเย่แบกนางไปยังรถม้า จวินโม่ซ่างแหวกม่านรถม้า หมายจะขึ้นไป “ข้าเตรียมเรือนไว้แล้ว ไปเถอะ……”
ปัง
หนานกงเย่ถีบอีกฝ่ายออกไป จวินโม่ซ่างกระเด็นลงพื้นพลันรู้สึกกระดูกเกือบจะหัก
หนานกงเย่ปล่อยม่านรถม้าลง ก่อนจะกล่าวว่า “เฟยอิง”
“ท่านอ๋อง”
“พวกเราไปปีกใต้ก่อนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟยอิงขึ้นไปควบม้าทำหน้าที่เป็นสารถีแล้วจากไป
จวินโม่ซ่างลุกขึ้นแล้วรีบขึ้นรถม้า “ถังหลง ข้าจะออกไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ช่วงนี้ก็ลำบากเจ้าแล้ว”
ถังหลงวิ่งไล่ตามอยู่เบื้องหลัง “ฝ่าบาท พระองค์……”
การวิ่งไล่ไม่สัมฤทธิ์ผล คนไปกันหมดแล้ว
เฟิ่งอู๋ชิงกับซูมู่หรงต่างขึ้นรถม้าของตน เพื่อติดตามอยู่ด้านหลัง
ภายในรถม้า หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังหลับตาพริ้ว เขามองใบหน้าเธออย่างละเอียด พลางเห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดีนัก จึงไปจับข้อมือของฉีเฟยอวิ๋น รอให้นางฟื้นก่อนแล้วเขาจะสั่งสอนสักตั้ง
ระหว่างทาง ตอนออกจากเมืองเล็กๆในตะเข็บชายแดนแห่งแคว้นอู๋โยว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ตื่นเลย
เมื่อถึงแนวชายแดนถิ่นปีกใต้ ซูมู่หรงก็จัดหาโรงเตี๊ยม ฉีเฟยอวิ๋นโดนหนานกงเย่อุ้มกลับไป
ห้องที่พวกเขาพำนักอาศัยมีเฟยอิงเฝ้าอยู่ด้านนอก ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้ได้
ซูมู่หรงเดินมารออยู่หน้าประตูสักพักก็จากไป
ส่วนจวินโม่ซ่างกลับร้องโหวกเหวกอย่างหน้าด้านอยู่นอกประตู ภาพลักษณ์จักรพรรดิสูญสิ้นไม่เหลือชิ้นดี
“หนานกงเย่ การโดนสวมเขาของท่านแปลกใหม่ดีนะ หากเป็นผู้อื่นก็แล้วไป แต่นี่คือญาติผู้พี่ของท่าน ท่านรู้สึกขายหน้าหรือไม่ เฮอะ ท่านน่าสงสารจริงแท้ ข้าว่า ใต้หล้ามีหญ้าทั่วสารทิศ เหตุไฉนต้องรักเพียงบุปผาเดียวด้วย สตรีแคว้นต้าเหลียงของท่านมีมากมาย ซึ่งล้วนสวยงามกันหมด ไม่ไหว ท่านก็หย่ากับนางเลย”
“เจ้าอยากตายก็เข้ามา” หนานกงเย่กล่าวเสียงเย็นเยียบ จวินโม่ซ่างหันไปมองเฟิ่งอู๋ชิงที่นั่งบนเก้าอี้ ถึงแม้ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา ทว่าก็ดีกว่าตอนบาดเจ็บเป็นไหนๆ
เขาพัดพัดในมือ เดินไปนั่งด้านข้างเฟิ่งอู๋ชิง
“ท่านตือเสด็จอาแห่งปีกใต้จริงหรือ?” เดิมทีจวินโม่ซ่างก็เป็นคนหยิ่งผยอง ทว่าหลังจากรู้จักพวกเฟิ่งอู๋ชิงก็ลดราวาศอกลง
เฟิ่งอู๋ชิงกวาดสายตามองอีกฝ่าย ไม่แยแสจวินโม่ซ่าง
ซึ่งจวินโม่ซ่างก็ไม่ได้หดหู่ใจ เมื่อนึกถึงจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งมีวังหลังถึงสามตำหนักหกเรือน เช่นนั้นองค์รัชทายาทมีสามีเป็นฝูงก็ไม่เป็นกระไร
เขาไม่ถือสาที่จะเป็นอนุ อย่างไรเสียแคว้นอู๋โยวก็สู้ปีกใต้ไม่ได้อยู่แล้ว
“ฉีเฟยอวิ๋นคือรัชทายาทของแคว้นเฟิ่ง พวกท่านรู้ได้อย่างไร?” จวินโม่ซ่างเป็นคนพูดมาก
“แล้วท่านล่ะ รู้ได้อย่างไร?” เฟิ่งอู๋ชิงคล้ายกับปีศาจ ถามในขณะที่แผ่กลิ่นอายปีศาจออกมาทั่วร่างกาย ทำให้จวินโม่ซ่างสั่นสะท้านทันที
แผ่กลิ่นอายปีศาจอันใด น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว
หนานกงเย่สั่งให้ข้ารับใช้เตรียมน้ำร้อนมา ขณะที่กำลังถอดเสื้อจะอาบน้ำอาบท่า เจ้าของร่างเดิมพลันลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหนานกงเย่ นางก็อึ้ง ลุกขึ้นถามว่า “ท่านทำอะไร?”
หนานกงเย่จับเสื้อที่ปลดออกแล้วเข้ามา
สีหน้าเขาเคร่งขรึมมาก “อวิ๋นอวิ๋นล่ะ?”
หนานกงเย่ทั้งหงุดหงิดระคนความสงสัยต่อเจ้าของร่างเดิม สงสัยว่าปกติตอนเขากับอวิ๋นอวิ๋นอยู่ด้วยกัน เจ้าของร่างเดิมจะอยู่ไหมว่าพวกเขาทำอะไรอยู่
เจ้าของร่างเดิมเห็นไอร้อนพุ่งขึ้นมาอยู่ในถังไม้ตัวใหญ่ ก้มหน้ามอง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียง
“ข้าอยากอาบน้ำ”
หนานกงเย่หน้าเย็นเยียบ หันไปอีกทาง “เจ้าอาบก่อนเลย”
เจ้าของร่างเดิมรู้สึกเกรงใจ ทว่าก็รีบถอดอาภรณ์แล้วลงถังน้ำอย่างไม่รอช้า หลังจากอาบไปได้สักพักก็ร้องเรียกหนานกงเย่ “เสื้อข้าอยู่บนเตียง ท่านช่วยเอามาให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
หนานกงเย่เอาอาภรณ์ส่งให้เจ้าของร่างเดิมโดยการหันหลังให้ หลังเจ้าของร่างเดิมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินบิดตัวอยู่ในห้องด้วยเรือนผมอันยาวสยายอย่างอารมณ์ดี
หนานกงเย่หันไปเห็นใบหน้าที่หมดจดของเจ้าของร่างเดิม ราวกับอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งนางจ้องมองตัวเองผ่านกระจกทองแดงโดยไม่ได้ประทินผิวอันใด
หนานกงเย่ใจลอยคิดถึงอดีต สมัยนั้น ทุกครั้งที่นางมาพบเขา นางมักจะแต่งองค์ทรงเครื่องราวกับบุปผาและผีเสื้อ ทว่าก็ไม่ได้ดูดีสวยหมดจดเฉกเช่นตอนนี้
เจ้าของร่างเดินหมุนกาย มองหนานกงเย่แล้วคิดใคร่ครวญ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องอาบน้ำก่อนเถอะเพคะ ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”
เจ้าของร่างเดิมหมุนกายเดินออกไป หนานกงเย่อยากขัดขวาง ทว่านางได้ออกไปแล้ว
หนานกงเย่อยากอาบน้ำ จึงไม่ได้ตามออกไปขวาง แค่สั่งให้เฟยอิงตามฉีเฟยอวิ๋นไป
เฟยอิงเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกประหลาดใจ รู้สึกไม่เหมือนกันตรงไหนสักที่
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาเห็นเฟิ่งอู๋ชิงกับจวินโม่ซ่าง เธอไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรกับสองคนนี้เลย จึงยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้เดินไปหาพวกเขา
ทว่าจวินโม่ซ่างเห็นนางก็รีบลุกขึ้น ก่อนจะปิดพัดแล้วเอามาแตะที่คางของฉีเฟยอวิ๋น เจ้าของร่างเดิมทำหน้าบึ้งตึง “หลีกไป”
จวินโม่ซ่างชะงักงัน “เหตุใดสตรีเช่นเจ้าจึงพูดจาเช่นนี้กับข้า?”
“เป็นถึงเจ้าแห่งแคว้น แต่กลับเที่ยวสร้างปัญหาไปทั่ว ท่านไม่อยู่ปกครองแคว้านอู๋โยว มาปีกใต้ทำไม? รีบหลีกไป” เจ้าของร่างเดิมกล่าวจบก็ทำตาขวางใส่จวินโม่ซ่างปราดหนึ่ง อีกฝ่ายโกรธจนใช้พัดชี้หน้าฉีเฟยอวิ๋น คิดอยากจะโต้แย้งนาง ทว่ากลับพูดไม่ออก
หนานกงเย่สั่งให้คนนำน้ำมาเปลี่ยน เจ้าของร่างเดิมหลีกทางเมื่อน้ำร้อนใหม่มาถึง จากนั้นนางก็เดินเล่นอยู่ในลานบ้าน
เฟิ่งอู๋ชิงเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นไปหา
เจ้าของร่างเดิมไปออกจากเขตลานบ้าน เดินวนไปเวียนมา พลางจ้องมองนกจำนวนหนึ่งบนกำแพง
“ทะเลาะกันหรือ?” เฟิ่งอู๋ชิงหันมามองปราดหนึ่ง
เจ้าของร่างเดิมไม่มีความสนใจต่อคุณลุงท่านนี้ ดังนั้นนางจึงทำเหมือนหูทวนลม รอให้หนานกงเย่อาบน้ำเสร็จแล้วนางจะกลับเข้าไป
รอจนซูมู่หรงปรากฏตัวอีกคน
เจ้าของร่างเดิมรู้สึกอยากรู้อยากเห็นกับอีกภพชาติหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้อคติต่อซูมู่หรง
“คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ซูมู่หรงยกโจ๊กมาหนึ่งถ้วย พูดตรงๆก็คือ ไม่ได้เตรียมมาให้หนานกงเย่
“กินโจ๊กสิ”
เจ้าของร่างเดิมมองถ้วยตรงหน้า จากนั้นก็รับมาแล้วหมุนกายไปที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะนั่งกินอยู่ตรงนั้น
ซูมู่หรงรู้สึกตลก “เมื่อก่อนคุณไม่เป็นแบบนี้”
เจ้าของร่างเดิมเงยหน้ามองซูมู่หรง ทว่าไม่ได้อิงนังขังขอบ เช็ดปากแล้วมองไปยังประตู
ยามนี้มีคนร่วมโต๊ะด้วยกันทั้งหมดสี่คน ซึ่งต่างมองนางกันทั้งสามคน แต่เจ้าของร่างเดิมไม่สนใจ เมื่อเห็นหนานกงเย่เปิดประตู นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไป
ทันทีที่อยู่ตรงหน้าหนานกงเย่นางก็กล่าวว่า “ข้าอยากออกไปเดินเล่น ท่านไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม?”
“……” เห็นได้ชัดว่าหนานกงเย่รู้สึกเหลืออด หลังจากมองสามคนบนโต๊ะก็พาเจ้าของร่างเดิมออกไป
เจ้าของร่างเดิมเด็ดดอกไม้ระหว่างทาง แล้วกอดดอกไม้เสมือนเป็นเด็กเล็ก