อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 11 ยอดดวงใจมาแล้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 11 ยอดดวงใจมาแล้ว
ได้ยินคำพูดของหรูยี่โม่เยว่ก็เผลอมองไปทางหยุนหว่านหนิงแวบหนึ่ง
สี่ปีก่อนสิ่งที่นางทำกับฉินซื่อเสวียเป็นความจงใจ และเป็นเรื่องไม่เล็กเลย……
เดิมคิดว่า จะสามารถเห็นอะไรบางอย่างจากสีหน้าเขา แต่โม่เยว่ก็ต้องผิดหวัง ตั้งแต่ต้นจนจบนางสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เอาแต่คีบกับข้าวให้หยวนเป่า กำชับให้เขากินข้าวดีๆ
ไม่มีแววอิจฉาริษยา ไม่มีแววแค้นเคือง กระทั่งสีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้สนใจเลยสักนิด
นี่มันเป็นไปไม่ได้
โม่เยว่ขมวดคิ้ว
สี่ปีก่อน เพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา นางได้ทำลายความบริสุทธิ์ของฉินซื่อเสวีย
หลังจากเกิดเรื่อง ก็ใส่ร้ายป้ายสีฉินซื่อเสวียอีกหลายครั้ง บอกว่านางเป็นคนสั่งให้ทำสิ่งเหล่านั้น โม่เยว่ย่อมไม่เชื่อคำโกหกของนาง ยิ่งรู้สึกโกรธเกลียดแค้นใจในเรื่องโกหกของนางมากขึ้นด้วย
“พี่สามกับพี่สะใภ้สามมาแล้ว เจ้าจะออกไปพบพวกเขากับข้าหรือไม่”
เขาจงใจหยั่งเชิง
หยุนหว่านหนิงยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน “อ๋องหยิงกับพระชายาหยิงมาเยี่ยมท่านอ๋อง ข้าจะไปทำไม”
“อีกอย่าง ในเมืองหลวงใครบ้างไม่รู้ ข้ากับความสัมพันธ์ของท่านอ๋องนั้นไม่ดีถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนชิงหยิ่ง หากออกไปพบหน้าผู้คนอย่างกะทันหันคงไม่ดีแน่”
“ข้านึกว่าเจ้า ก็อยากจะไปพบพี่สะใภ้สามเหมือนกัน ”
โม่เยว่ยังคงหยั่งเชิงต่อไป “เพราะว่าเมื่อก่อน พวกเจ้าเคยเป็นเพื่อนกัน”
เป็นเพื่อนกัน
อืม แทบอยากจะขีดฆ่าคำว่าเป็นเพื่อนกันของฉินซื่อเสวียไปเสียจริง
หยุนหว่านหนิงยิ้มเย็นในใจ “ท่านอ๋องอยากจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า ไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิงกันเช่นนี้”
ถูกนางจับได้แล้ว
โม่เยว่ยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก “ข้าคิดว่า เจ้าอยากจะพบนาง”
“ถ้าหากข้าอยากพบ ท่านอ๋องสามารถพาข้าไปพบได้อย่างนั้นหรือ”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว
นางอยากจะเจอฉินซื่อเสวียจริงๆ
อยากจะเห็น ยอดดวงใจของโม่เยว่ รวมไปถึงคนที่ทำให้นางต้องถูกขังอยู่ในเรือนชิงหยิ่งถึงสี่ปี ถูกผู้คนตราหน้าว่าเป็นตัวหายนะ
เมื่อเห็นว่านางอยากจะไปขึ้นมาจริงๆ สีหน้าของโม่เยว่ก็ไม่น่าดูขึ้นมา
เป็นดังคาด
ผู้หญิงคนนี้ ยังคงมีความอิจฉาต่อฉินซื่อเสวียที่ปล่อยวางไม่ได้
ผ่านไปตั้งสี่ปีแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้นิสัยของนางจะเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้ดูแล้ว ก็ยังคงน่ารังเกียจเหมือนเดิม
“ในเมื่อเจ้าอยากไป ข้าก็จะพาเจ้าไป ”
โม่เยว่มองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะไม่น่ากินแล้ว เขาสั่งให้หรูยี่อยู่ดูแลหยวนเป่าแล้ว ก็พาหยุนหว่านหนิงไปที่โถงด้านหน้า
แม้จะถูกโบยไป แต่หยุนหว่านหนิงที่อาบน้ำแต่งตัวแล้ว อดทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้ก็มองไม่ออกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง
เมื่อไปถึงโถงหน้า โม่เยว่เพิ่งจะรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
โม่หุยเฟิงกับฉินซื่อเสวียกำลังดื่มชา เมื่อเห็นโม่เยว่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ฉินซื่อเสวียก็รีบลุกขึ้นยืน “อ๋องหมิง ข้ากับท่านอ๋องมาดึกขนาดนี้ คงไม่เป็นการรบกวนการพักผ่อนของเจ้ากระมัง”
รู้ว่าดึกแล้ว ยังเลือกมาในเวลาเช่นนี้ แล้วยังพูดแบบนี้อีก
เป็นยอดฝีมือในบรรดาผู้หญิงตอแหลชัดๆ
คำพูดที่ฟังดูตอหลดตอแหลของฉินซื่อเสวียหยุนหว่านหนิงได้แต่ยิ้มเย็นในใจ
โม่เยว่เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย พูดคำว่า “ขอบคุณความห่วงใยของพี่สามและพี่สะใภ้สาม” จากนั้นก็นั่งลง
หยุนหว่านหนิงที่เดินตามมาข้างหลัง ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินซื่อเสวียกับโม่หุยเฟิง
สี่ปีที่ไม่ได้เจอ และต้องพบนางอีกครั้งอย่างกะทันหัน ฉินซื่อเสวียยังจำนางไม่ได้
ตอนที่นางมองหยุนหว่านหนิงอย่างวิเคราะห์นั้น หยุนหว่านหนิงก็วิเคราะห์นางเช่นเดียวกัน ……คุณหนูฉินคนนี้ เป็นหญิงงามสมคำร่ำลือในเมืองหลวงจริงๆ มีใบหน้าที่อวดงามอ่อนช้อย
ขาเล็กนั่น เกรงว่าจะใหญ่ไม่เท่าแขนของนางด้วยซ้ำ
ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก เกรงว่าชายคนใดก็ไม่อาจจะต้านทานได้
ไม่เสียดาย ที่เป็นถึงยอดดวงใจของโม่เยว่
นางมองฉินซื่อเสวียเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ทำไมหรือ ไม่เจอกันสี่ปี พระชายาหยิงจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
คำว่า “พระชายาหยิง” ดึงสติของฉินซื่อเสวียกลับมา
“เจ้าคือ หยุนหว่านหนิง”
นางสีหน้าตกตะลึง
หยุนหว่านหนิงถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนชิงหยิ่งสี่ปี ไหนบอกว่าไม่มีใครคอยรับใช้ไง ใช้ชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตายไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ดูแล้ว สภาพของหยุนหว่านหนิง ดูดีกว่านางเสียอีก
นางมองไปทางโม่เยว่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา สายตากำลังถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แม้ว่านางจะไม่ชอบโม่เยว่ แต่มีผู้หญิงคนไหน ไม่ชอบการถูกผู้ชายเทิดทูนบ้าง
ฉินซื่อเสวียคิดแค่ว่า ในใจของโม่เยว่มีแต่นางจริงๆ
เพราะฉะนั้น สายตาที่มองไปที่เขาจึงเต็มไปด้วยคำถาม
โม่หุยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ มีไอเย็นเยียบแผ่ออกมารอบตัว มองไปทางหยุนหว่านหนิงแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่ยินดีว่า “น้องเจ็ด ทำไมเจ้าจึงปล่อยนางออกมา”
ปล่อยออกมา
นางเป็นสุนัขที่ถูกโม่เยว่ล่ามเอาไว้หรืออย่างไร
คนคนนี้พูดจาเป็นหรือเปล่า
โม่เยว่ไม่ตอบ เพียงแต่ปรายตามองหยุนหว่านหนิงอยู่เป็นระยะ เหมือนกับว่าจะทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้นางจัดการคนเดียว
หยุนหว่านหนิงเดินไปนั่งลงข้างๆ “คำพูดของอ๋องหยิงช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าก็อยู่ตรงหน้าพวกท่านแล้ว ยังมีอะไรน่าสงสัยอีกหรือ”
เห็นท่าทางการเดินของนางดูแปลกอยู่บ้าง ฉินซื่อเสวียก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
คนงามก็คือคนงาม แม้แต่ตอนขมวดคิ้วก็ยังดูดี
“ขาเจ้าเป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไร”
หยุนหว่านหนิงยื่นมือออกไป ตบที่ขาเบาๆ สายตาเหลือบไปมองโม่เยว่ที่ยกแก้วน้ำชาขึ้น และกำลังส่งน้ำชาเข้าปากตนเอง “พระชายาหยิงก็เป็นคนมีประสบการณ์มาก่อน น่าจะเข้าใจดี”
“เมื่อคืนท่านอ๋องดุดันเกินไป คงทำให้พวกท่านรู้สึกเหมือนเห็นเรื่องตลกแล้ว”
“ฟู่”
น้ำชาที่เพิ่งจะถูกดื่มเข้าไปในป่า ก็ถูกพ่นออกมาจนหมด
เขารีบวางแก้วชาลง ห้ามเสียงไอไว้ไม่อยู่ “ค่อกแค่ก”
นี่มันคำพูดทะลึ่งอะไรกัน
ฉินซื่อเสวียก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เบือนหน้าแดงก่ำไปอีกทาง แม้แต่สีหน้าของโม่หุยเฟิงก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ
โม่เยว่ตำหนิหยุนหว่านหนิงเสียงต่ำ “อย่าพูดจาเหลวไหล”
“ท่านอ๋อง ไม่เห็นจะต้องอายเลย พวกท่านแต่งงานกันตั้งนานแล้ว อ๋องหยิงกับพระชายาหยิงเป็นคนมีประสบการณ์ หรือว่า ท่านอ๋องหน้าบาง”
นางเหลือบมองเขาเล็กน้อย เอ่ยอย่างตำหนิ
เขาอายหรือ
โม่เยว่กัดฟัน ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในแววตาของฉินซื่อเสวียมีความริษยาวาบผ่าน เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบาๆว่า “เห็นพวกเจ้าสองสามีภรรยารักใคร่กันดีขนาดนี้ ข้ากับท่านอ๋องก็วางใจ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เสด็จพ่อยังบ่นถึงอยู่เลย บอกว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน”
“ถ้าหากเสด็จพ่อรู้ว่าพวกเจ้ารักกันปานนี้ ก็คงจะวางใจแล้ว”
นางจงใจใช้ฮ่องเต้มาข่มหยุนหว่านหนิง
หยุนหว่านหนิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “พวกเราไม่ดีเองที่ทำให้เสด็จพ่อเป็นกังวล วันหลังข้ากับท่านอ๋องจะเข้าวังไปคำนับเสด็จพ่อ ให้พระองค์สบายใจ”
เห็นนางตอบคำถามอย่างระมัดระวังมาก ฉินซื่อเสวียแอบกัดฟันตนเอง
เห็นสีหน้าของนางมีแววขมขื่นอยู่ คิดว่าความรักระหว่างสามีภรรยากับอ๋องหยิง คงจะจางหายไปนานแล้ว
หยุนหว่านหนิงมีแผนการในใจแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ อ๋องหยิงมีความคิดอยากจะแต่งพระชายารอง ข้ากับท่านอ๋องต้องขอแสดงความยินดีด้วย”
เพราะเรื่องนี้ ช่วงสองสามวันนี้ฉินซื่อเสวียเอาแต่ทะเลาะกับเขา
หยุนหว่านหนิงผู้หญิงคนนี้ ก็จริงเชียว เรื่องไหนไม่ควรพูดก็จะพูด
รอยยิ้มของฉินซื่อเสวียดูฝืนใจ “ใช่แล้ว ได้ยินว่าอ๋องหมิงได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้นข้ากับท่านอ๋องจึงมาเยี่ยมเป็นการเฉพาะ ไม่ทราบว่าอ๋องหมิงดีขึ้นบ้างหรือยัง จวนอ๋องที่ดูแลอย่างดีทำไมจึงมีนักฆ่าลอบเข้ามาได้ จับคนร้ายได้หรือไม่”
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แววตาที่มองไปทางโม่เยว่แฝงด้วยความห่วงใย
คนที่ไม่รู้ คงคิดว่านางต่างหากที่เป็นพระชายาของโม่เยว่
เห็นได้ชัดว่าฉินซื่อเสวียกำลังท้าทาย เกียรติของการเป็นพระชายาหมิงของนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจแล้วกัน
โม่หุยเฟิง“……”