อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 115 ฮองเฮาจ้าวร้ายกาจอย่างที่คิดจริง ๆ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 115 ฮองเฮาจ้าวร้ายกาจอย่างที่คิดจริง ๆ
เพียงไม่นาน ฉินซื่อเสวียก็ถูกนำตัวเข้ามายังห้องทรงพระอักษร
นางยังไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งยังคิดไม่ถึงว่า หยุนหว่านหนิงจะถือป้ายคำสั่งมาหาโม่จงหราน แล้วฟ้องร้องนางอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ก่อนจะมาถึงวันนี้ นางยังไม่เคยเข้ามาในห้องทรงพระอักษรเลย
ก่อนหน้านี้โม่จงหรานได้ออกคำสั่งไว้ว่า ไม่อนุญาตให้บรรดาพระสนมนางในใด ๆ ที่อยู่ในวังหลังก้าวเท้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
แน่นอนว่าคำสั่งนี้ สำหรับฮองเฮาจ้าวกับเต๋อเฟยแล้ว ไม่ได้เป็นข้อบังคับที่สามารถจำกัดสิทธิ์อะไรได้มากมายนัก…..
แต่ฉินซื่อเสวียที่อยู่ในฐานะลูกสะใภ้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
ก่อนจะถูกเชิญเข้ามา นางยังนึกคาดเดาอยู่ในใจ
เป็นไปได้หรือไม่ที่เสด็จพ่อจะทรงเห็นความเจิดจรัสของข้า? จึงคิดจะให้ความสำคัญกับข้าเหมือนที่ให้ความสำคัญกับหยุนหว่านหนิง?!
ในใจของฉินซื่อเสวียยังถึงกับรู้สึกลิงโลดน้อย ๆ ด้วยซ้ำ
ใครจะรู้ว่า ทันทีที่เข้าประตูไป สายตาที่คมกริบเย็นเยียบดั่งใบมีดของโม่จงหราน ก็เหวี่ยงมาที่นางตรง ๆ ก่อนจะบริภาษนางด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “เมียเจ้าสาม คุกเข่าลง!”
นี่…..ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไรเลย
ไม่เหมือนท่าทีที่คิดจะให้ความสำคัญกับนางเลยสักนิด
ฉินซื่อเสวียคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน “เสด็จพ่อ….”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
โม่จงหรานโยนป้ายคำสั่งไปเบื้องหน้าของนางตรง ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อวานนี้ เป็นเจ้าที่วางป้ายคำสั่งนี้เอาไว้ในจวนอ๋องหมิงใช่หรือไม่?”
ป้ายคำสั่งของค่ายห้ากองพล ไปอยู่ในมือของเขาได้อย่างไรกัน? !
ฉินซื่อเสวียแอบตกใจ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นเยียบทมึงถึงของโม่จงหราน นางจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม
“ทูลเสด็จพ่อ ใช่เพคะ เป็นหม่อมฉันเอง”
ป้ายคำสั่งนี้ เป็นนางที่มอบให้กับโม่เยว่ด้วยมือตัวเอง
ดังนั้นจึงเป็นความจริงที่ว่า นางเป็นคนวางมันไว้ในจวนอ๋องหมิงด้วยตัวเอง
ไม่ทันรอให้นางอธิบายว่า เป็นเพราะหยุนหว่านหนิงอยากได้ป้ายคำสั่งนี้ แล้วผลักความผิดทั้งหมดไปสุมไว้บนหัวของหยุนหว่านหนิง โม่จงหรานก็ตบโต๊ะผางแล้วยืนขึ้นด้วยความโกรธก่อนแล้ว “บังอาจ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่ากระทำความผิดอะไรลงไป?!”
นางทำความผิดรึ?
แน่นอนว่าฉินซื่อเสวียย่อมไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด
นางกระพริบตาปริบ ๆ ทำสีหน้าไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน….”
แต่เพราะหน้าตาท่าทางเช่นนี้ของโม่จงหราน ดูน่าหวาดกลัวมากจริง ๆ
ฉินซื่อเสวียถูกท่าทางเช่นนั้นทำให้ตกใจกลัวมาก จนเกือบจะหลุดเสียงร้องไห้ออกมา
หยุนหว่านหนิงไม่ได้อยู่ข้างหน้านาง ยังคงซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลมเหมือนเดิม มองดูใบหน้าของฉินซื่อเสวียที่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด นางยังถึงกับยกสองแขนขึ้นมากอดอกอย่างขบขัน ขณะที่เริ่มชมดูละครตรงหน้าไปด้วย
“เจ้ายังไม่รู้อีกรึว่าผิดตรงไหน?! ตัวโง่งมเอ๊ย!”
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่ฉินซื่อเสวียแต่งเข้ามาในราชวงศ์ แล้วถูกโม่จงหรานตวาดด่าว่านางเป็นตัวโง่งมอย่างไม่ไว้หน้าไร้ความปราณีโดยสิ้นเชิง!
ใบหน้าดวงเล็ก ๆ ของฉินซื่อเสวีย ถึงกับซีดขาวราวกับหิมะไปทันที!
“เสด็จพ่อ!”
นางร้องไห้จนน้ำตาไหลพราก ๆ “ไม่ทราบว่าหม่อมฉันทำความผิดอะไร จนทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้วเช่นนี้ แต่ขอเสด็จพ่อโปรดให้ความกระจ่าง หม่อมฉันยินดีถูกลงโทษเพคะ”
“เจ้ายังถึงกับน้อยอกน้อยใจเสียด้วย?”
โม่จงหรานมองนางด้วยสายตาเย็นชา
ในเวลานี้เอง ฮองเฮาจ้าวก็เข้ามา….ในสภาพที่ถูกหามเข้ามาตามคำสั่งจริง ๆ
นางสวมผ้าคาดหน้าผาก ใบหน้าซีดเซียวอมโรค อ่อนแอจนแทบดูไม่ได้
เมื่อเห็นฉินซื่อเสวียคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางร้องห่มร้องไห้ ส่วนโม่จงหรานก็โกรธจนเนื้อตัวแทบจะลุกเป็นไฟ ฮองเฮาจ้าวก็ตกใจจนผงะไปเช่นกัน “ฝ่าบาท นี่มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ? ซื่อเสวียอยู่ดี ๆ จะไปทำความผิดอะไรได้?”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฉินซื่อเสวียก็เป็นลูกสะใภ้ของนาง
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เต๋อเฟยจะต้องหัวเราะเยาะนางแน่ ๆ
ฮองเฮาจ้าวรีบปกป้องฉินซื่อเสวียทันที “ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ก็พูดกันดี ๆ เถอะเพคะ อย่าได้ทรงกริ้วไปเลย”
“วรกายมังกรของฝ่าบาทเป็นสิ่งสำคัญ!”
“นี่น่ะรึ? คือลูกสะใภ้แสนดีที่เจ้าอบรมสั่งสอนมา!”
ใครจะรู้ว่า โม่จงหรานกลับหันหน้าขวับมาตวาดระบายโทสะใส่ฮองเฮาจ้าวทันที “พวกเจ้าสองคนแม่ผัวลูกสะใภ้ คงอยู่มานานเกินไปจนเบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่?!”
“นี่.……”
ฮองเฮาจ้าวผุดสีหน้าสงสัย
จู่ ๆ ก็ต้องมาโดนตำหนิโดยไม่มีเหตุมีผล นางเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์เหมือนกันนะ!
“ฝ่าบาท นี่สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพคะ?”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะรึ? ก็นังลูกสะใภ้ตัวดีคนนี้ของเจ้า ถึงกับขโมยป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพล แล้วยังเอาไปวางไว้ในจวนอ๋องหมิงอีกน่ะสิ!”
สีหน้าของโม่จงหรานเขียวจนคล้ำ “เมื่อครู่นี้รองแม่ทัพอู๋เข้าวังมายอมรับความผิด บอกว่าโดนฉินตงหลินมอมเหล้าจนเมาแล้วเอาป้ายคำสั่งไป ใครจะรู้ว่าป้ายคำสั่งนั้นจะไปอยู่ที่จวนอ๋องหมิงอีก”
“ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ว่านี่สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?!”
เมื่อได้ยินดังนี้ ทั้งฉินซื่อเสวียและฮองเฮาจ้าวต่างก็ตกใจจนผงะ
ฉินซื่อเสวียรีบก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก
ทำไมรองแม่ทัพอู๋ถึงได้สร่างเมาเร็วขนาดนี้?
ทำไมถึงเข้าวังมาร้องทุกข์ได้รวดเร็วขนาดนี้?
เดิมทีนางคิดวางแผนไว้ว่า จะให้ฉินตงหลินมอมเหล้ารองแม่ทัพอู๋ให้เมา…..ให้ดีที่สุดคือให้เมาจนตื่นไม่ไหวไปสักสามวันสามคืน ในช่วงสามวันนี้นางก็จะมีโอกาสใส่ร้ายโม่เยว่แล้ว
แอบใส่ร้ายในที่ลับตา ไม่ให้เห็นทั้งหน้าไม่ได้ยินทั้งเสียง
แต่ใครจะรู้ล่ะว่ารองแม่ทัพอู๋จะสร่างเมาเร็วขนาดนี้? !
ใครจะรู้ล่ะว่าโม่เยว่กับหยุนหว่านหนิง จะเอาเรื่องนี้มารายงานถึงหูของโม่จงหรานอย่างรวดเร็วขนาดนี้? ถึงกับเป็นฝ่ายชิงลงมือโจมตีนางก่อนหนึ่งก้าว? !
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่วันนี้โม่จงหรานจะโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้!
ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี…..
ฉินซื่อเสวียรีบคิดวางแผนในใจอย่างรวดเร็ว
ฮองเฮาจ้าวก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า จะถึงกับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่สุดท้าย นางก็เป็นฮองเฮามานานหลายปีแล้ว ปฏิกิริยาของฮองเฮาจ้าวย่อมรวดเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
นางกลับมามีสติรู้ตัวอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับมาได้ก็เงื้อมือขึ้นตบหน้าฉินซื่อเสวียหนัก ๆ ไปฉาดหนึ่ง “เจ้ามันตัวโง่เง่าไร้สมอง! เมื่อวานนี้ข้าแค่สั่งให้เจ้าไปจวนอ๋องหมิง เพื่อถามความจากเมียเจ้าเจ็ดเองนะ”
“ทำไมถึงได้ทำของสำคัญขนาดนี้ ไปตกหล่นไว้ในจวนอ๋องหมิงได้?!”
ฉินซื่อเสวียถูกลูกตบฉาดนี้ทำเอามึนไปเลย
ฮองเฮาจ้าวไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ลูกตบฝ่ามือนั้น เสียงดังฟังชัดไปถึงไหนต่อไหน
ใบหน้าของฉินซื่อเสวียเจ็บจนร้อนผ่าว ๆ ยกมือขึ้นกุมแก้มด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จแม่….”
เมื่อได้เผชิญกับสายตาตักเตือนของฮองเฮาจ้าว นางก็มีปฏิกิริยาตอบกลับขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ ความผิดพลาดทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉัน! เป็นเพราะหม่อมฉันประมาทเลินเล่อเกินไป หม่อมฉันควรถูกลงโทษแล้วเพคะ!”
โม่จงหรานขมวดคิ้ว “ฮองเฮา เจ้าเป็นคนที่สั่งให้นางไปจวนอ๋องหมิงอย่างนั้นรึ?”
“ใช่เพคะฝ่าบาท”
ฮองเฮาจ้าวรีบหันกลับมา ตอบคำถามอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อวานนี้ หม่อมฉันรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง จึงสั่งให้ซื่อเสวียไปที่จวนอ๋องหมิงเพคะ”
“ข้าให้นางไปหาเมียเจ้าเจ็ด ลองถามว่าต้องกินยาอะไรถึงจะช่วยคลายอาการปวดหัวได้! ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี ว่าเมียเจ้าเจ็ดเชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์และยารักษามาก ดังนั้น…”
พูดจบ ฮองเฮาจ้าวก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เฮือกหนึ่ง
นางจ้องมองฉินซื่อเสวียด้วยแววตาคับแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ (*เป็นสำนวนที่อุปมาว่า รู้สึกไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนคาดหวัง หรือกับคนที่ตนเองเฝ้าอบรมสั่งสอนมา ด้วยมีความคาดหวังว่าคน ๆ นั้นจะได้ดิบได้ดีในอนาคต) “ใครจะคิดว่านางจะประมาทเลินเล่อได้ขนาดนี้!”
ฉินซื่อเสวียรีบยอมรับความผิดของตัวเองอย่างรู้ทัน “เสด็จแม่ หม่อมฉันรู้ความผิดแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น โม่จงหรานก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นเป็นปมขึ้นกว่าเดิม “อย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท! ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง กระทั่งหมอหลวงก็ไม่มีวิธีแก้ไขใด ๆ เลยเพคะ”
ฮองเฮาจ้าวรีบต่อบทสนทนาทันที “ฝ่าบาท เป็นเพราะหม่อมฉันหย่อนยานระเบียบวินัย ไม่สอนสั่งให้ดี จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ซื่อเสวียไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะเพคะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงลงโทษนางสถานเบาด้วยเถิด”
หยุนหว่านหนิงที่อยู่ด้านหลังฉากบังลม ถึงกับคิดเย้ยหยันในใจ
นี่แหล่ะที่เขาเรียกกันว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด
ฮองเฮาจ้าวร้ายกาจอย่างที่คิดจริง ๆ!
แค่พลิกลิ้นพูดออกมาสามสี่ประโยค ก็สามารถทำให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ความเข้าใจผิดได้ กลายเป็นแค่ความประมาทเลินเล่อของฉินซื่อเสวียได้…..
ภาพลักษณ์ของเรื่องนี้ ไม่หลงเหลือกลิ่นอายของการ “ใส่ร้ายโม่เยว่” ไปในทันที!
ถ้าเป็นไปตามนี้จริง การที่นางเข้าวังมาร้องเรียนวันนี้มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? !
โม่จงหรานปรายหางตามองไปหลังฉากบังลม หยุนหว่านหนิงรีบปรับสีหน้าให้กลับมาจริงจังอย่างรวดเร็ว พลางส่ายหน้าถี่ ๆ ด้วยท่าทางไร้เดียงสาไปให้เขา
นี่สื่อหมายความว่า: เมื่อวานนี้ฉินซื่อเสวียมาที่จวนอ๋องหมิง ไม่ได้มาเพื่อถามเรื่องยาเลยแม้แต่น้อย!
โม่จงหรานรู้แน่แก่ใจทันที
จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ในเมื่อไปถามเรื่องยาที่จวนอ๋องหมิง แล้วเมียเจ้าเจ็ดพูดว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”
ฮองเฮาจ้าวกับฉินซื่อเสวีย ถึงกับตกตะลึงไปทันที
พวกนางคิดไปถึงเสียที่ไหนล่ะ ว่าโม่จงหรานจะซักถึงต้นตอ ถามเอาจนถึงที่สุดแบบนี้?!
เกี่ยวกับเรื่องหยูกยา…. ทั้งฮองเฮาจ้าวกับฉินซื่อเสวียต่างก็ไม่รู้อะไรเลยสักกระผีกริ้น จะไปตอบคำถามนี้ได้อย่างไรล่ะ?!
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ แต่เพราะป้ายคำสั่งมันอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปง่าย ๆ เด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไปเรียกเมียเจ้าเจ็ดมาเผชิญหน้าถามไถ่ให้กระจ่างเถอะ!”
หยุนหว่านหนิงถูไม้ถูมือด้วยท่าทางเย่อหยิ่งลำพองใจสุดขีด นางเตรียมตัวจนพร้อมตั้งนานแล้ว
นางพร้อมจะขับไล่ฉินซื่อเสวียกับฮองเฮาจ้าวไปสู่สถานที่แห่งหายนะ เอาให้ไม่มีหนทางที่จะฟื้นคืนกลับมาได้ไปชั่วนิรันดร์เลยคอยดู!