อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 118 โม่เยว่ปกป้องภรรยา
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 118 โม่เยว่ปกป้องภรรยา
เพิ่งจะเดินเข้าประตูมา ก็ได้ยินเสียงเต๋อเฟยตวาดด่าดังลั่นขึ้นมาอีก “กระทั่งผู้หญิงของตัวเองยังควบคุมดูแลให้ดีไม่ได้ แล้วในอนาคตจะเป็นผู้นำแผ่นดินได้อย่างไร? จะเป็นฮ่องเต้ที่ปกครองประเทศได้อย่างไร?!”
คำพูดพวกนี้เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ฟังดูอุกอาจเกินสถานะไปหน่อยจริง ๆ ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าล่ะก็……
โม่เยว่อดขมวดคิ้วไม่ได้ บนใบหน้าปรากฏแววไม่พอใจน้อย ๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า โม่เฟยเฟยก็หันหน้ากลับไปมอง แล้วรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาทันที “พี่เจ็ด ในที่สุดพี่ก็มาแล้ว!”
“พี่รีบมาปลอบท่านแม่หน่อยเถอะ นางโกรธแทบแย่แล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
โม่เยว่ยกเท้าเดินเข้าไปใกล้ สีหน้าหนักอึ้งมืดทะมึน
โม่เฟยเฟยรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว
ในตอนท้าย ก็พูดเสริมไปอีกประโยคว่า “พี่เจ็ด ข้าอธิบายให้ท่านแม่ฟังตั้งหลายรอบแล้วนะ! แต่ท่านแม่ก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่ยืนกรานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ล้วนเป็นความผิดของพี่สะใภ้เจ็ดอยู่ได้….”
สีหน้าของโม่เยว่ ยิ่งน่าเกลียดแทบดูไม่ได้แล้วตอนนี้
“นังลูกตัวดี นี่ยังถึงกับปากยื่นปากยาวไปฟ้องพี่เจ็ดของเจ้าอีกอย่างนั้นรึ?”
เต๋อเฟยหยิกนางไปหนึ่งหมับ
แต่จะอย่างไรก็เป็นลูกสาวในไส้ของตัวเอง นางจึงทำใจลงมือหนักไม่ได้ แค่ทำท่าทางเป็นหยิกสั่งสอนนางไปอย่างนั้นเอง
“ท่านแม่ ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงนะเจ้าคะ!”
โม่เฟยเฟยโกรธจนกระทืบเท้าเร่า ๆ “ข้าก็บอกท่านไปตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าฉินซื่อเสวียเป็นลูกสะใภ้สายตรงของฮองเฮาจ้าว พี่สะใภ้เจ็ดต่างหากที่เป็นลูกสะใภ้สายตรงของท่าน!”
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ท่านก็เอาแต่ปกป้องฉินซื่อเสวีย เหยียบย่ำพี่สะใภ้เจ็ด มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ?”
เมื่อเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของโม่เฟยเฟย เต๋อเฟยก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก “เฟยเฟย นี่เจ้าถูกคุณไสยเข้าแล้วหรือ?”
เมื่อก่อนคนที่นางรังเกียจที่สุด ก็คือหยุนหว่านหนิงไม่ใช่รึ!
“ข้าเปล่าเสียหน่อย!”
เมื่อเห็นเต๋อเข้ามาคลำหน้าผากนางจากด้านหลัง โม่เฟยเฟยก็โกรธจนปัดมือของนางออกเลยทีเดียว “ท่านแม่ สรุปว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ตอนนี้พี่สามกับพี่เจ็ด ยืนอยู่คนละฝ่ายกันไปเรียบร้อยแล้ว”
“ท่านกับฉินซื่อเสวีย ไม่ใช่คนที่เดินร่วมทางเดียวกันอีกต่อไปแล้ว!”
เต๋อเฟยยังมองทุกอย่างได้ไม่ทะลุปรุโปร่งเท่าโม่เฟยเฟย
ถ้าเด็กที่ฉินซื่อเสวียอุ้มท้องอยู่เป็นเด็กผู้ชาย น่ากลัวว่าหางของพวกเสด็จแม่คงจะเชิดลอยขึ้นไปบนฟ้าบนสวรรค์ได้แล้วกระมัง! พวกนางมีแต่จะยิ่งไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา! ”
โม่เฟยเฟยโกรธจนใบหน้าเล็ก ๆ นั้นแดงก่ำไปหมด “หรือท่านไม่รู้สึกว่า การที่ฉินซื่อเสวียแท้งลูกไป สำหรับพวกเราแล้วถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก?”
เต๋อเฟยเงียบสนิท
สายตาของโม่เยว่จับจ้องไปที่นางนิ่ง ๆ แต่กลับไม่ช่วยพูดแทนหยุนหว่านหนิง ทั้งไม่ได้หยุดรั้งไม่ให้โม่เฟยเฟยพูดต่อ
เขาแค่นั่งเงียบ ๆ อยู่อีกด้าน จิบชาเข้าไปอึกหนึ่ง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าคิ้วของเต๋อเฟยที่ขมวดแน่นเป็นปมเริ่มคลายออก โม่เยว่จึงค่อยเอ่ยปากถามขึ้นช้า ๆ ว่า “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านคงจะเข้าใจแล้วกระมัง?”
“ข้าต้องเข้าใจอะไร?”
เต๋อเฟยมองเขาแวบหนึ่ง
นางแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ แล้วพูดด้วยท่าทางไม่พอใจว่า “พวกเจ้าสองคนพี่น้อง”
“ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งกันแล้วสินะ ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาแล้ว!”
นางสะบัดหน้าไปอีกทางด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าพูดหนึ่งประโยค พวกเจ้าสองคนก็จะโต้เถียงกลับมาเป็นสิบประโยคอย่างนั้นสินะ!”
“ท่านแม่ ถ้าสิ่งที่ท่านพูดมามันสมเหตุสมผล ข้ากับพี่เจ็ดย่อมไม่โต้เถียงกลับแบบข้าง ๆ คู ๆ แน่”
โม่เฟยเฟยก็สะบัดหน้าไปอีกทางด้วยเหมือนกัน
สองคนแม่ลูกทะเลาะกัน จนบรรยากาศดูอึดอัดกระอักกระอ่วนไปหมด
ตอนนี้เอง โม่เยว่ค่อยวางถ้วยชาลง
หลังจากตรึกตรองอยู่นาน ในที่สุดก็พูดขึ้นเหมือนรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายว่า “ท่านแม่ หยุนหว่านหนิงในตอนนี้ ไม่ได้เป็นหยุนหว่านหนิงคนเดิมเหมือนกับเมื่อสี่ปีก่อนมานานมากแล้ว ท่านโปรดอย่าใช้สายตาที่มองนางเมื่อสี่ปีก่อน มามองหยุนหว่านหนิงที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย”
เต๋อเฟย: “? ? นี่เจ้ากำลังเล่นคำสำบัดสำนวนกับข้ารึ?”
โม่เยว่: “…..”
“ท่านแม่ ความหมายของพี่เจ็ดเหมือนกับข้าเจ้าค่ะ”
โม่เฟยเฟยรีบช่วยอธิบายเสริมว่า “พี่สะใภ้เจ็ดตอนนี้เป็นคนดีมากจริง ๆ นะ! นางเมื่อสี่ปีก่อน…..บางทีอาจเป็นเพราะสมองเกิดมีปัญหาบางอย่าง ท่านก็อย่าเอาแต่คิดอยู่ตลอดเวลา ว่าสมองนางจะมีปัญหาจนรักษาไม่หายเลยนะเจ้าคะ ”
คำพูดเหล่านี้ ถ้าหยุนหว่านหนิงมาได้ยินเข้าล่ะก็……
นางคงจะพูดแน่ ๆ ว่า: “เฟยเฟยอ่า ข้าล่ะอยากขอบคุณบรรพบุรุษทั้งแปดชั่วโคตรของเจ้าจริง ๆ! ที่ช่วยพูดอะไร “ดี ๆ” แทนข้า!”
ว่าใครสมองมีปัญหาไม่ทราบ?!
ด้วยคำอธิบายแบบนี้ของโม่เฟยเฟย เต๋อเฟยจึงนับได้ว่าฝืนยอมเข้าใจในที่สุด
นางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ข้ารู้แล้ว”
“แต่ว่านะเฟยเฟย ทำไมเจ้าถึงแน่ใจได้ขนาดนั้นล่ะ ว่าหยุนหว่านหนิงจะกลับตัวกลับใจกลายมาเป็นคนดีแล้ว? เจ้าอย่าลืมสิ ว่าข้าเพิ่งจะถูกนางทำให้โกรธจนล้มป่วยไปแท้ ๆ!”
แม้แต่คนที่ร้ายกาจอย่างฮองเฮาจ้าว ก็ยังถึงกับถูกหยุนหว่านหนิงทำให้โกรธจนล้มป่วยได้
ได้ยินว่าวันนี้พอรู้ว่าฉินซื่อเสวียแท้งลูก ฮองเฮาจ้าวก็แทบจะเป็นลมล้มลงไปให้ได้แล้ว
นี่จะไม่ทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลงไปอีกรึ?
ถ้าหยุนหว่านหนิงกลับตัวกลับใจแล้วจริง ๆ นางจะยังทำให้คนโกรธได้ขนาดนี้อีกรึ?
“ท่านแม่ ข้าเห็นว่าพี่สะใภ้เจ็ดในตอนนี้เป็นคนดีมากจริง ๆ นะ ครั้งนี้ที่ท่านล้มป่วย จะโทษแค่พี่สะใภ้เจ็ดคนเดียวทั้งหมดก็ไม่ถูก ใครบอกให้ท่านดึกดื่นค่อนคืนแล้วแท้ ๆ ก็ยังบุกไปถึงจวนอ๋องหมิงเองล่ะ?”
“ความหมายของเจ้าคือ เป็นเพราะข้าเป็นฝ่ายเสนอหน้าไปหาเรื่องนางถึงที่ เพื่อให้นางทำให้โกรธจนล้มป่วยเองอย่างนั้นสินะ?”
เต๋อเฟยโกรธจนโทสะแล่นริ้วไปทั่วทุกอณูรูขุมขน
ความโกรธที่เพิ่งฝืนระงับลงไปเมื่อครู่ พลันผุดพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ลูกไม่ได้พูดอย่างนั้น! เป็นท่านแม่ที่คิดแบบนี้เองต่างหาก”
“เจ้ามันเด็กปากเสีย…..”
เมื่อเห็นว่าสองคนแม่ลูกทำท่าจะทะเลาะกันขึ้นมาอีกแล้ว โม่เยว่ก็รีบหยุดทั้งคู่ “ท่านแม่ เฟยเฟย อย่าพูดอะไรอีกเลย”
“ข้าไม่หยุด! ข้าเป็นแม่แท้ ๆ ของนางนะ!”
เต๋อเฟยอาศัยสถานะ “แม่แท้ๆ” ของนาง ดุด่าโม่เฟยเฟยต่ออีกสองสามประโยค “เจ้ามันเด็กปากเสีย ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่เห็นแม่ของเจ้าคนนี้อยู่ในสายตาแล้วสินะ!”
นางยิ่งมั่นใจขึ้นว่า โม่เฟยเฟยจะต้องถูกหยุนหว่านหนิงทำให้เสียคนแล้วแน่ ๆ
อะไรดี ๆ ไม่รู้จักร่ำเรียน กลับไปเรียนรู้อะไรเลว ๆ มาแทน
ดูเอาเถอะ นางเข้าใจแก่นแท้ในการทำให้นางโกรธของหยุนหว่านหนิงดี สามารถเรียนรู้มาได้แบบไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่น้อย!
เต๋อเฟยโกรธจนสำลักกระอักไอออกมาเลยทีเดียว
โม่เฟยเฟยกลอกตามองบนใส่ ขณะที่กำลังจะพูดก็ถูกโม่เยว่ปรายตามองนิ่ง ๆ เป็นสัญญาณเตือนส่งมาให้ ปิดกั้นคำพูดที่แล่นขึ้นมาถึงริมฝีปากแล้วให้กลับลงไปตามเดิม
“ยังมีเรื่องหนึ่งที่ท่านแม่ไม่รู้”
โม่เยว่พูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “ครั้งนี้ที่หนิงเอ๋อร์ทะเลาะกับฉินซื่อเสวีย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะลูกเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เต๋อเฟยก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
เป็นเพราะโม่เยว่? !
ที่หยุนหว่านหนิงก่อเรื่องจนทำให้ฉินซื่อเสวียแท้งลูก ถึงกับเป็นเพราะเขา? !
“เยว่เอ๋อร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
นางถามอย่างกระวนกระวายใจ
จากนั้น โม่เยว่ก็เล่าถึงเรื่องที่ฉินซื่อเสวียขโมยป้ายคำสั่ง โดยมีเจตนาคือการวางแผนใส่ร้ายเขา เพื่อยั่วยุให้ความสัมพันธ์ของเขากับโม่หุยเฟิงร้าวฉาน …. รวมไปถึงเรื่องที่หยุนหว่านหนิงเข้าวังไปฟ้องร้องกราบทูล
“ลูกเป็นผู้ชาย เรื่องพวกนี้ไม่เหมาะจะทูลกับเสด็จพ่อ”
แต่หยุนหว่านหนิงไม่เหมือนกัน
นางกับฉินซื่อเสวียล้วนเป็นผู้หญิง ทั้งยังเป็นพี่น้องสะใภ้กัน
ยิ่งไปกว่านั้น โม่จงหรานตอนนี้ ก็แสดงท่าทีว่าโปรดปรานนางที่เป็นสะใภ้เจ็ดคนนี้อย่างเห็นได้ชัด
เรื่องนี้จึงสมควรให้หยุนหว่านหนิงไปร้องห่มร้องไห้ทูลฟ้อง ไม่ว่าจะด้านอารมณ์หรือเหตุผลก็ดูจะเหมาะสมกว่าทั้งนั้น
“เสด็จพ่อทรงไต่สวนจนรู้กระจ่างแล้วว่า เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะฉินซื่อเสวียที่ทำไม่ถูกจริง ๆ ดังนั้นถึงได้สั่งให้คนไปเชิญเสด็จแม่มา แล้วเสด็จแม่ก็เป็นฝ่ายชิงสำเร็จโทษ ด้วยการสั่งให้ลงโทษโบยตีฉินซื่อเสวีย”
โม่เยว่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นางถึงได้แท้งลูก”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหนิงเอ๋อร์”
คำพูดของเขา ฟังดูน่าเชื่อถือกว่ามาก
แม้ว่าฉากหน้าของเต๋อเฟยจะดูเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในใจกลับโกรธเกรี้ยวจนแทบจะคุมสติไม่อยู่แล้ว
ฉินซื่อเสวียตอนนี้ ทำไมถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ไปเสียแล้วล่ะ? !
ฉากหน้าทำเป็นดีกับนาง แต่ลับหลังถึงกับพยายามวางแผนใส่ร้ายเยว่เอ๋อร์? !
“นี่มันจะชั่วช้าสารเลวเกินไปแล้ว!”
เต๋อเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางพูดว่า “ตอนนี้พอดูไปแล้ว ที่นางแท้งลูกก็เป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเองจริง ๆ นั่นแหล่ะ! ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ามองนางผิดไปจริง ๆ!”
“ยังมีฮองเฮาอีกคน….”
ชิงเป็นฝ่ายสำเร็จโทษก่อน?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเพื่อจะปกป้องฉินซื่อเสวีย!
ในเวลานี้เอง หรูโม่ก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามารายงาน บอกว่ามีข่าวมาจากห้องทรงพระอักษรอีกแล้ว
“เดิมทีฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะจัดการเรื่องนี้เงียบ ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ ก็ทรงกริ้วอย่างหนัก ถึงกับมีรับสั่งให้ส่งคนออกไปส่งสารน์ด่วนถึงอ๋องหยิงที่อยู่ห่างไปแปดร้อยลี้ ให้อ๋องหยิงรีบกลับมาที่เมืองหลวงทันทีขอรับ!”
“โอ๋?”
โม่เยว่เลิกคิ้วพลางผุดลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ จู่ ๆ ก็ถามว่า “หยุนหว่านหนิงอยู่ที่ไหน?”