อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 121 โม่เยว่ซ้ำเติม
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 121 โม่เยว่ซ้ำเติม
โม่เยว่กับโม่หุยเหยียนกำลังนั่งอยู่ด้านข้าง ร่วมอ่านฎีกากับโม่จงหราน
ครั้นเห็นเขาโกรธขึ้นมากะทันหัน สองพี่น้องจึงสบตากันทีแล้ว ก็รีบลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว!”
“เสด็จพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โม่หุยเหยียนเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
“เจ้าสามไอ้คนบัดซบ! เดิมข้าคิดว่าหากเขารู้สำนึก เรื่องในครั้งนี้อย่างมากข้าก็แค่ตำหนิเขาเล็กน้อย แล้วก็ให้มันจบกันไป!”
โม่จงหรานโกรธจนตัวสั่น!
เขาฉีกฎีการ้องทุกข์ ในมือจนละเอียด ทิ้งลงกับพื้น “ไหนเลยจะรู้ว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่สำนึก”
“กลับกัน ยังบอกว่าข้าลำเอียงอีก! ดูท่าต่อให้ตายเขาก็ยังไม่รู้ความผิดของตัวเอง!”
ครั้นได้ยินถ้อยคำนี้ โม่หุยเหยียนก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
แม้โม่หุยเฟิงจะมีนิสัยแข็งกร้าวอยู่บ้าง สะเพร่าประมาทสักหน่อย แต่ความตายมาถึงตรงหน้าแล้วก็ไม่น่าจะมีท่าทีดึงดันแข็งข้ออย่างนี้นี่
โดยเฉพาะครั้งนี้ เสด็จพ่อทรงกริ้วแล้วจริงๆ…
“เสด็จพ่อ เรื่องนี้อาจมีความเข้าใจผิดอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
โม่หุยเหยียนพยายามแก้สถานการณ์ให้โม่หุยเฟิง
“เข้าใจผิด? ข้าเห็นเขาเขียนถ้อยคำบัดซบเหล่านี้เองกับตา นี่เป็นลายมือของเขาชัดๆ ยังมีอะไรเข้าผิดอีก”
โม่จงหรานขึงตากับโม่หุยเหยียน “อย่างไร หรือเจ้ายังอยากรับผิดแทนเจ้าสาม!”
เขาเป็นผู้ครองแคว้นมาหลายปี เป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาที่ประชาชนเล่าขานเสมอมา
ปกติไม่ว่าผู้ใดกระทำผิด ก็ไม่เคยพาลไปถึงคนอื่น
แต่ครั้งนี้…
ถึงกับจะให้โม่หุยเหยียนร่วมรับชะตากรรมกับโม่หุยเฟิง เห็นได้ว่าโม่จงหรานเดือดดาลถึงที่สุดแล้วจริงๆ
เมื่อนั้นโม่เยว่จึงเอ่ยปาก “เสด็จพ่อ พระวรกายมังกรสำคัญกว่านะพ่ะย่ะค่ะ! พี่สามน่าจะอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงแล้ว มีอะไรค่อยถามต่อหน้าให้ชัดเจนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้ได้แต่ทำอย่างนี้แล้ว
ต่อให้เขาโมโหอย่างไร ก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่า
โม่จงหรานข่มอารมณ์โกรธด้วยความลำบาก พยักหน้าเอ่ย “ครั้งนี้ ข้าจะถลกหนังเขา!”
โม่หุยเหยียนตื่นตระหนกในใจ
ดูท่าอารมณ์กริ้วของเสด็จพ่อในวันนี้ยากจะคลายแล้ว
เขาอธิษฐานให้โม่หุยเฟิงในใจอย่างอดไม่อยู่
หลังจากอ่านฎีกาเสร็จ โม่หุยเหยียนกับโม่เยว่ก็ออกจากห้องทรงพระอักษร สองพี่น้องเดินเคียงบ่าออกจากประตูวังหลวง
“น้องเจ็ด เรื่องในครั้งนี้เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
โม่หุยเหยียนมองโม่เยว่ด้วยสายตาลึกซึ้งทีหนึ่ง “ข้าเชื่อ ต่อให้เจ้าสามเขลาไม่รู้จักจำเพียงแค่ไหน”
“ก็จะไม่เจาะจงยั่วโมโหเสด็จพ่อในเวลานี้แน่กระมัง”
เพราะนี่ไม่ต่างจากการกระตุกหนวดเสือ!
โม่หุยเฟิงไม่เขลาถึงขั้นนี้
“พี่ใหญ่ต้องการพูดอะไรหรือ”
โม่เยว่หน้านิ่ง
“ข้าเดา หรือว่าจะมีคนสลับสับเปลี่ยนหนังสือสำนึกผิดของเจ้าสามระหว่างทาง”
ความหมายของโม่หุยเหยียนชัดเจนมาก
โม่เยว่หยุดฝีเท้า หันไปมองเขา ขมวดคิ้วเล็กๆ “พี่ใหญ่สงสัยข้า?”
“ข้าไม่ได้ว่าเจ้า”
เมื่อเห็นโม่เยว่จริงจัง โม่หุยเหยียนก็หัวเราะเบาๆ ยังคงเป็นท่าทางพี่ใหญ่ผู้แสนดี “ข้าแค่บอกว่า เป็นไปได้มากที่จะถูกสับเปลี่ยนระหว่างทางเท่านั้น”
“ถ้าพี่ใหญ่สงสัยข้า ก็กล่าวออกมาโดยตรง ไม่ต้องอ้อมค้อมดั่งอิสตรีหรอก”
โม่เยว่ยิ้มเย็น
โม่หุยเหยียน “น้องเจ็ด…”
“ในบรรดาพวกเราพี่น้อง ปกติพี่ใหญ่จะสนิทสนมกับพี่สามมากที่สุด”
นี่ยังแล้วไปเถอะ เพราะพวกเขาสองคนพี่น้องเป็นบุตรชายของฮองเฮา
“แต่”
สีหน้าโม่เยว่ขรึม “ข้าเป็นคนอย่างไร พี่ใหญ่น่าจะรู้ดี ผู้อื่นไม่รุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานผู้อื่นเช่นกัน และจะไม่ทำเรื่องอย่างการฉวยโอกาสยามที่ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นอันขาด”
“เรื่องของพี่สามในคราวนี้ ไม่เกี่ยวกับข้า”
“น้องเจ็ด ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
โม่หุยเหยียนอยากอธิบาย
แต่โม่เยว่ไม่อยากฟังเขาเอ่ย “พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดอีก ข้าไม่มีเวลาทายปริศนากับท่าน ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เขาเดินไปสองก้าวแล้วจู่ๆ ก็หยุดอีก
“พี่ใหญ่”
โม่เยว่หันไปมองโม่หุยเหยียน สายตาลุ่มลึก “ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เคยได้ยินข่าวลือในเมืองหลวงหรือไม่”
ข่าวลือ?
โม่หุยเหยียนขมวดคิ้ว “ข่าวลืออะไร”
“ปกติพี่ใหญ่ไม่สนใจเรื่องภายนอก เกรงว่าจะไม่รู้กระมัง เมืองหลวงมีข่าวลือมานานแล้ว บอกว่าพี่ใหญ่กับพี่สามแม้เป็นโอรสของฮองเฮา แต่ในใจของฮองเฮา พี่ใหญ่ยังไม่สู้เศษเสี้ยวของพี่สาม”
โม่เยว่ยกยิ้มแบบไม่ให้เห็น “กระทั่งมีคนพูดว่า พี่ใหญ่เป็นเพียงหินรองเท้าในการขึ้นสู่บัลลังก์ของพี่สามเท่านั้น”
“พี่ใหญ่มีความสามารถ จะสมัครใจยอมเป็นบันไดของผู้อื่นจริงหรือ”
“พี่น้องร่วมอุทรสองคน พี่ใหญ่สมัครใจถูกเสด็จแม่ไม่เห็นเป็นสำคัญหรือ”
“แม้แต่พี่สาม ท่าทีที่มีต่อท่านก็…เด่นชัดนัก”
โม่หุยเฟิงอารมณ์ร้าย
ในบรรดาพี่น้อง โม่หุยเฟิงอารมณ์ร้ายอย่างที่เรียกว่ารู้ทั่วบ้านทั่วเมือง…
ตอนนี้นอกจากโม่เยว่ไม่กล้าหาเรื่องไปเรื่อยแล้ว กับพี่น้องคนอื่น นิดๆ หน่อยๆ โม่หุยเฟิงก็ด่าทอตำหนิแล้ว แม้แต่โม่หุยเหยียนผู้ซึ่งเป็นพี่ใหญ่คนนี้ก็ไม่ละเว้น
แต่จนปัญญา โม่จงหรานให้ความสำคัญกับเขา และมอบค่ายห้ากองพลให้เขานานแล้ว
โม่หุยเฟิงเป็นบุตรชายซึ่งฮองเฮาจ้าวรักมากที่สุด หนำซ้ำยังได้แต่งงานกับคุณหนูจวนเซี่ยง เบื้องหลังมีคนของราชสำนักกว่าครึ่ง…
เขามีต้นทุนที่จะระรานผู้อื่น
เมื่อก่อนโม่หุยเหยียนไม่ได้คิดมาก แม้แต่หนานกงเยว่ก็บอกข้างหูหลายครั้งว่าเขามีนิสัยอ่อนเปียก
แต่วันนี้พอได้ยินโม่เยว่พูด สีหน้าของเขาก็ไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย
“ต่อไปแม้พี่ใหญ่จะช่วยให้พี่สามได้ขึ้นบัลลังก์”
“แต่ในราชวงศ์ยังมีไมตรีฉันครอบครัวอะไรอีก โดยเฉพาะพวกเราพี่น้อง แต่ไหนมาก็ไม่ค่อยปรองดอง…”
หยุดครู่หนึ่ง โม่เยว่หัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะมีความเย้ยหยันบางส่วน “ท่านดูข้างพระวรกายเสด็จพ่อสิ มีเสด็จอาทั้งหลายติดตามหรือไม่”
ถึงโม่จงหรานจะเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชา แต่ก็มีคนจ้องบัลลังก์ของเขาเหมือนกัน
ส่งพี่น้องของเขาไปยังศักดินาที่ดิน ย้ายรกรากออกจากเมืองหลวงนานแล้ว ปีหนึ่งยากจะกลับมาสักหน
“ในอนาคตหากพี่สามได้ขึ้นครองราชย์ เขาที่เป็นคนขี้ระแวง…หากแค่ให้พวกเราย้ายรกรากออกจากเมืองหลวงยังแล้วไป”
“กลัวแต่ ถึงตอนนั้นจะยอมไม่ให้ใครจ้องบัลลังก์ของเขานะสิ!”
ไม่ยอมให้จับจ้อง ก็จะฆ่าคนปิดปาก
มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่เป็นภัย!
ด้วยนิสัยของโม่หุยเฟิง ก็ไม่แน่ว่าจะทำเรื่องอย่างกระต่ายตายสุนัขก็ถูกฆ่า!
เป็นครั้งแรกที่โม่เยว่พูดมากมายน้ำไหลไฟดับเช่นนี้ต่อหน้าโม่หุยเหยียน
“พี่ใหญ่ไม่เพียงเป็นบันไดของพี่สาม แล้วยังเป็นฉากหลังให้เขาด้วย แต่ต่อให้พี่ใหญ่ลำบากเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ก็ไม่ได้รับคำชมจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่สักคำ อีกทั้งความดีความชอบทั้งหมดยังตกเป็นของพี่สาม…”
รอยยิ้มของโม่เยว่มีความหมายลึกซึ้ง “พี่ใหญ่ ท่านสมัครใจจริงหรือ”
กล่าวจบ เขาก็ไม่รอให้โม่หุยเหยียนตอบ หมุนตัวเดินจากไปไกลแล้ว
หนนี้ เขาไม่ได้หันกลับมาอีก
เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขารู้ว่าโม่หุยเหยียนยังยืนอยู่ที่เดิม ตรึกตรองถ้อยคำของเขาเมื่อครู่
โม่เยว่ยกยิ้ม หัวเราะเย็นปราศจากเสียง
เขาไม่ทำเรื่องอย่างการฉวยโอกาสยามที่คนเดือดร้อน แต่…เขาทำเรื่องอย่างการซ้ำเติม!
โม่หุยเหยียนมองแผ่นหลังของเขาที่จากไปไกลแล้ว ขมวดคิ้วมุ่นใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงย่างเท้าจากไปอย่างรีบร้อน ทว่าพวกเขาพี่น้องกลับคิดไม่ถึง ว่าพวกเขาเพิ่งเดินจากไป ก็มีเงาคนเดินออกมาจากภูเขาจำลองที่อยู่ไม่ไกลด้านหลัง
ชัดเจน คนผู้นี้ได้ยินการสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่…
เขาเอ่ยพึมพำ “ดูแล้ว เจ้าเจ็ดคมในฝัก! ไม่ใช่คนโง่งม”