อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 124 หยุนหว่านหนิงทำใหญ่ปกป้องสามี
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 124 หยุนหว่านหนิงทำใหญ่ปกป้องสามี
พวกเขาสองพี่น้องไม่ได้พบกันหลายปี
หากโม่เยว่ไม่ได้พบโม่เหว่ยที่จวนอ๋องโจว แต่ได้พบ…ตามท้องถนนข้างนอก ก็ไม่แน่ว่าจะจำเขาได้
เพราะเขาผอมเกินไปจริงๆ!
หากคนผ่ายผอมจนเกินไปก็จะดูแก่ง่าย
ดังนั้นโม่เหว่ยในยามนี้ ไม่เพียงแต่จะผอมจนเกินไป ทั้งยังแก่และดำ ใบหน้าไม่มีเนื้อสักนิด เบ้าตาโหลลึก ดวงตาทั้งคู่ปราศจากชีวิตชีวา…
มือทั้งสองราวกับกรงเล็บที่แห้งเหี่ยว ดูแก่กว่าลุงเฉินเสียอีก
เมื่อเห็นโม่เยว่ สายตาของเขาก็จดจ่อ
โม่เยว่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกเขาขึ้นมา “พี่สี่?”
“เจ้าคือเจ้าเจ็ดกระมัง”
น้ำเสียงโม่เหว่ยแหบพร่าทุ้มใหญ่ เพิ่งอ้าปากก็ไออีกยกหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงด้วยความลำบาก
ลุงเฉินดวงตาแดงเล็กน้อย สะอื้นเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋อง ข้างนอกมีลม! ท่านออกมาได้อย่างไร”
“ต้องการสิ่งใดก็สั่งกับบ่าว! นี่หากเป็นหนักกว่าเดิมจะทำอย่างไรขอรับ!”
“ข้าอยากออกมาเดินหน่อย”
ลุงเฉินประคองโม่เหว่ยนั่งข้างๆ เขาไอเบาๆ อีก “ไม่ได้ออกมานาน อยู่ในห้องอุดอู้ยิ่งนัก พอได้เจอลมบ้างก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย”
ได้ยินดังนั้น ลุงเฉินก็หันหน้าไปแอบเช็ดน้ำตา
หยุนหว่านหนิงยังคิดอยู่กับคำพูดที่โม่เหว่ยพูดกับโม่เยว่เมื่อครู่
ดีนะที่โม่เยว่ไม่ได้แซ่หวัง
ถ้าแซ่หวัง “เจ้าคือเจ้าหวังกระมัง(*ภาษาจีนคือ เหล่าหวังปา พ้องเสียงกับคำว่าเหล่าหวังปา ซึ่งมีความหมายเปรียบเปรยคนเจ้าเล่ห์)” จะฟังอย่างไรก็แปลกพิลึกน่าขัน
“พี่สี่ หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
ครั้นข้างหูมีเสียงโม่เยว่ส่งมา หยุนหว่านหนิงก็ได้สติ หันไปมองโม่เหว่ย
ดวงตาทั้งคู่ของโม่เหว่ยไม่มีชีวิตชีวาสักนิด หัวเราะเสียงแผ่วเบา เสียงหัวเราะแปลกประหลาด คล้ายกับไม่มีแรง “มีอะไรให้ว่ากัน ก็แค่ทนอยู่ต่อไปเท่านั้น”
โม่เยว่เงียบงัน
เขาทอดสายตามองหยุนหว่านหนิง
“อ๋องโจว”
หยุนหว่านหนิงลุกขึ้นยืน “ไม่ทราบว่าจะให้ข้าตรวจชีพจรท่านสักหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้า?”
โม่เหว่ยไม่เคยพบนางมาก่อน พลันขมวดคิ้ว “เจ้าคือ?”
“ชายาของข้าเอง”
โม่เยว่ตอบเป็นคนแรก
ลุงเฉินขยับเข้าข้างหูโม่เหว่ย กระซิบกระซาบสองสามประโยค “ท่านอ๋อง ท่านนี้คือพระชายาหมิง แต่งกับอ๋องหมิงเมื่อสี่ปีก่อน เป็นคุณหนูใหญ่หยุนของจวนยิ่งกั๋วกง”
“อ้อ”
เมื่อนั้นโม่เหว่ยจึงพยักหน้า “ข้าไม่ได้ออกจวนมานาน ขออภัย”
น้ำเสียงเกรงใจและห่างเหิน
“ไม่เป็นไร”
หยุนหว่านหนิงไม่เก็บมาใส่ใจ ยิ้มอย่างตรงไปตรงมา “ข้าก็นับว่ารู้วิชาแพทย์บ้าง! ท่านอ๋องบ้านข้าบอกว่าอ๋องโจวป่วยเรื้อรัง ดังนั้นจึงมาดูอ๋องโจวสักหน่อย”
นางยก ‘ความดี’ ที่มาจวนอ๋องโจวในวันนี้ให้โม่เยว่
โม่เหว่ยกวาดมองโม่เยว่แวบหนึ่งอย่างเหนือความคาดหมาย
จากนั้นก็สำรวมกิริยา หัวเราะเบาๆ “มิต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ไปหรอก”
“สภาพร่างกายข้าเป็นอย่างไร ข้ารู้แก่ใจดี แม้แต่หมอหลวง หมอเทวดาทั้งหลายก็สุดความสามารถแล้ว ไม่ต้องรบกวนพระชายาหมิงหรอก”
เขาปฏิเสธ
“พี่สี่!”
โม่เยว่ไม่เห็นด้วย ขมวดคิ้วเอ่ย “แม้แต่เสด็จพ่อยังชื่นชมวิชาแพทย์ของหนิงเอ๋อร์มาก”
“ให้นางตรวจดูหน่อยเถอะ”
“เจ้าเจ็ด”
โม่เหว่ยช้อนตา มองดวงตาของโม่เยว่โดยตรง “ข้าบอกแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจ”
สีหน้าของเขาเย็นชาแล้ว
“หลายปีมานี้ ข้าเคยชินกับความทรมานจากโรคภัยแล้ว เวลาที่เหลือในตอนนี้ ข้าแค่อยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากถูกใครรบกวน”
กล่าวจบเขาก็เกี่ยวยิ้มเยาะหยันตัวเอง
“ถึงอย่างไรหลายปีนี้ข้าก็ชินกับความสงบแล้ว”
คำพูดนี้คล้ายมีความหมายแอบแฝงอะไร
คิ้วที่ขมวดปมของโม่เยว่ขมวดแน่นกว่าเดิม “พี่สี่โทษที่หลายปีนี้พวกเราไม่เคยมาเยี่ยมท่านใช่หรือไม่”
“ข้าจะกล้ามีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนเจ็บออดๆ แอดๆ”
รอยยิ้มตรงมุมปากโม่เหว่ยลึกมากขึ้น เหน็บแนมมากกว่าเดิม
แม้แต่หยุนหว่านหนิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ก็ไม่แปลกที่โม่เหว่ยจะเหน็บแนมเสียดสีอย่างนี้
เขาป่วยยาวนานถึงยี่สิบกว่าปี
แต่ในช่วงเวลานี้ คนที่มาเยี่ยมเยียนเขาที่จวนอ๋องโจวกลับนับได้ด้วยนิ้วมือ เขาไม่ใช่บุตรชายคนเดียวของโม่จงหราน บนมีพี่ชาย ล่างมีน้องชาย แล้วยังมาน้องสาวอีกสองคน
แต่พวกเขากลับไม่เคยมาเยี่ยมเขา
เมื่อไม่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใย เช่นนั้นจะต่างอะไรกับตัวคนเดียว!
ในใจเขาจึงมีความเคียดแค้น
โม่เหว่ยกล่าวถูกต้อง ดังนั้นโม่เยว่จึงนิ่งเงียบ
หยุนหว่านหนิงทุกข์ใจเล็กน้อย
พี่น้องคนอื่นๆ…พวกโม่หุยเหยียนจะคิดอย่างไรกันแน่นางไม่รู้ แต่ตอนที่อยู่ในจวนอ๋องหมิง นางได้ยินโม่เยว่พูดความในใจอย่างยากจะได้ยิน
เพราะเขาไม่อยากทำให้โม่เหว่ยต้องพลอยลำบาก ดังนั้นหลายปีนี้จึงไม่เคยมาเยี่ยมเขา
เขากลัวความสูญเสีย
กลัวโม่เหว่ยจะถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิต เช่นเดียวกับองค์ชายหก
แต่หยุนหว่านหนิงรู้ดีกว่าใครว่าโม่เยว่หาใช่คนไร้หัวใจ
นางห้ามใจไม่อยู่ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับโม่เยว่ “อ๋องโจวกล่าวผิดแล้ว”
“หากท่านกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นก็แล้วไปเถอะ! แต่ทางลับหลังโม่เยว่เป็นห่วงท่านเสมอ ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ไม่ได้ดีกว่าท่าน?”
โม่เยว่มองนางด้วยความประหลาดใจ
นางผู้นี้ไม่ใช่ว่าแค้นเขามากหรือ
ตอนนี้กลับพูดแทนเขา?
เมื่อเห็นสตรีคนหนึ่ง ถึงกับออกหน้าให้โม่เยว่…
ความประหลาดใจสายหนึ่งปราดผ่านดวงตาของโม่เหว่ย “พระชายาหมิงกลับมีนิสัยตรงไปตรงมา”
“แต่สถานการณ์ของข้าก็เป็นเช่นนี้ ใครจะช่วยใครได้ ข้าไม่อยากคาดเดาจุดประสงค์การมาของพวกเจ้าในวันนี้ และไม่อยากอ้อมค้อมกับพวกเจ้าด้วย”
เขากล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “สำหรับสถานการณ์ของเจ้าเจ็ดเป็นเช่นไร นั่นก็มิใช่ข้าเป็นผู้ก่อ”
แม้เขาจะป่วยนอนอยู่บนเตียงนานหลายปี แต่ก็ไม่ได้โง่งม
เขาตระหนักดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นไร
โม่เยว่ไม่ได้ย่างเท้าเข้าจวนอ๋องโจวหลายปี บัดนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโม่หุยเฟิง การมาเยี่ยมคนป่วยอย่างเขาอย่างกะทันหัน…
โม่เหว่ยยิ้มเย็น เริ่มไออีกครั้ง
เมื่อฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด จะความหมายตรงหรือความหมายแฝงก็เป็นการเสียดสีโม่เยว่ หยุนหว่านหนิงจึงโกรธจนกัดฟันกรอด!
แม้นางกับโม่เยว่จะเป็น ‘ศัตรูคู่ฟ้า’ แต่นางรังแกโม่เยว่ได้คนเดียว นอกจากนาง ใครก็รังแกเขาไม่ได้ทั้งนั้น!
ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นอ๋องโจวหรืออ๋องอู๋ ใครก็อย่าได้แตะต้องผู้ชายของนาง!
“อ๋องโจวช่างให้ค่าตัวเองยิ่งนัก”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเยาะ ลุกขึ้นยืน “วันนี้ท่านอ๋องบ้านข้ามาด้วยความหวังดี แต่กลับถูกเห็นเป็นร้าย”
“อ๋องโจวเพียงคิดว่าท่านอ๋องบ้านข้าต้องการการคุ้มครองจากท่าน? ก็ไม่ดูสักหน่อยว่าตอนนี้ตัวท่านเองเป็นอย่างไร หรือว่าสถานการณ์ของท่านดีกว่าท่านอ๋องบ้านข้าหรือ”
“หรือว่าท่านคิดว่าที่ท่านอ๋องบ้านข้าหมายตาคือตระกูลเฉินที่อยู่ข้างหลังท่าน”
“อภัยที่ข้าพูดตามจริง! อ๋องโจวจะมั่นใจเกินไปแล้วกระมัง”
นางราวกับถั่วที่เทออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ พูดรัวไม่มีหยุด เอ่ยต่อ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ตระกูลเฉินถอนตัวออกจากราชสำนักเวทีใหญ่นี้แล้ว”
“หรือว่าจวนยิ่งกั๋วกงที่อยู่เบื้องหลังข้าและตระกูลกู้ก็สู้ตระกูลเฉินไม่ได้หรือ”
“ตามการมองของข้า อ๋องโจวคืองูเห่าชัดๆ ไม่รู้จักความดีของผู้อื่น!”
“คาดว่าหลายปีนี้ขีดเส้นอยู่แต่ในจวนอ๋องโจว ตั้งตนเป็นเอกเทศ อย่าคิดว่าใครก็เหมือนตัวเอง คิดว่าใครๆ ก็เหมือนมาทำร้ายท่าน หรือไม่ก็มาประจบประแจงท่านกระมัง!”
“ความมั่นใจของอ๋องโจว ทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก!”
หยุนหว่านหนิงทำใหญ่ปกป้องสามี!
คำพูดยาวเฟื้อยโต้โม่เหว่ยจนพูดไม่ออก แม้แต่โม่เยว่และลุงเฉินก็อึ้งกิมกี่!
โม่เยว่มองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
นี่นาง กำลังปกป้องเขา?!
“จะ เจ้า….”
โม่เยว่ก็คิดไม่ถึงว่าหยุนหว่านหนิงจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับโม่เหว่ย!
กำเริบเสิบสานยิ่ง!
ด้วยความเดือดดาล เขาพูดไม่ออกสักคำ สุดท้ายก็เหลือกตาแล้ว…ก็โมโหจนเป็นลมไปทันที!