อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 126 ไม่เพียงปกป้องคนของตัวเอง ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย
- Home
- อนงค์ใจพระชายาราชสีห์
- บทที่ 126 ไม่เพียงปกป้องคนของตัวเอง ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 126 ไม่เพียงปกป้องคนของตัวเอง ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย
“อวัยวะของอ๋องโจวแห้งเหี่ยวไปนานแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแต่เปลือกนอก เหมือนกับคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่”
หยุนหว่านหนิงอธิบายทีละคำทีละประโยค
เมื่อฟังการอธิบายของนางจบ ลุงเฉินก็ตาเหลือกล้มตึงกับพื้น
โม่เยว่มองลุงเฉินที่นอนกองอยู่กับพื้น ไม่ได้พยุงเขาขึ้นมา เพียงแต่ขมวดคิ้วถาม “คนตายที่มีชีวิตอยู่? ในเมื่ออวัยวะแห้งเหี่ยวไปนานแล้ว แล้วทำไมพี่สี่ยังมีชีวิตอยู่อีกล่ะ”
คนถ้าไม่มีอวัยวะ แล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!
“นี่แหละคือจุดที่ข้าสับสน”
หยุนหว่านหนิงมองเขาอย่างลึกซึ้ง “สรุปคือ โรคของอ๋องโจวพิสดารมาก ถ้าอยากรักษาเขา ก็ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงถึงจะรักษาได้”
“ถ้าหาสาเหตุไม่เจอ…ด้วยสภาพเขาที่เป็นอย่างนี้ อย่างมากก็อยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น”
ไม้ผุพังแห้งเหี่ยว ไม่อาจผลิยอดแตกกิ่งได้อีก
คนหากแห้งเหี่ยว ต่อให้หวาถัว(*หมอเทวาปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก)ยังอยู่ก็ช่วยไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่โม่เหว่ยยังมีชีวิตถึงตอนนี้ได้ ช่างเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้
สายตาโม่เยว่ตะลึง “เช่นนั้นเจ้ามั่นใจว่าจะหาสาเหตุได้หรือไม่”
หยุนหว่านหนิงส่ายหน้า “มั่นใจไม่ถึงสามส่วน”
โม่เยว่นิ่งงัน
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าและข้าต่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถึงจะถอนตัวตอนนี้ก็เกรงว่าจะไปอย่างหมดจดไม่ได้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ข้าเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากลองดูสักครั้ง”
หยุนหว่านหนิงฉายรอยยิ้มแห่งความมั่นใจบนใบหน้า “ข้าคิดจะฟันฝ่ากับมัน”
หากสามารถรักษาโม่เหว่ยให้หายได้จะดีที่สุด
หากรักษาไม่ได้…
ถึงอย่างไรเขาก็เหลือเวลาเพียงครึ่งปีแล้ว มิสู้ลองดูสักตั้ง
โม่เยว่นิ่งต่อ อยู่นานจึงจะพยักหน้า “ได้”
“ข้าจะเกลี้ยกล่อมพี่สี่ ให้เขาร่วมมือยอมรับการรักษาจากเจ้า”
โม่เยว่มองลุงเฉินที่นอนอยู่แทบเท้าตน สุดท้ายจึงเรียกสาวใช้มา หามลุงเฉินกลับไปที่ห้อง ใครใช้ให้เจ้าแก่นี่สงสัยวิชาแพทย์ของหยุนหว่านหนิงเมื่อกี้เล่า
เขาโม่เยว่ไม่เพียงแต่จะปกป้องคนของตัวเอง แล้วยังเจ้าคิดเจ้าแค้นด้วย!
ขณะที่ออกจากจวนอ๋องโจว ก็จวนจะเย็นแล้ว
ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้า พูดเรื่องโรคของโม่เหว่ย
“ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะใช่โรงมะเร็งหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่โรคมะเร็ง แล้วจะเป็นอะไรได้”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “ข้าก็เจอเป็นครั้งแรกนี่แหละ โลกนี้ถึงกับมีโรคอย่างนี้ด้วย ทรมานยิ่งกว่าโรคมะเร็ง”
โม่เยว่มองนางทีหนึ่ง “โรคมะเร็งมันคือสิ่งใดกันแน่”
นางมักเอ่ยคำศัพท์ที่เขาไม่เคยได้ยินเสมอ แปลกใหม่ ลึกลับ
แต่โรคมะเร็งนี่ แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าร้ายแรง
“โรคมะเร็ง…จะอธิบายกับเจ้าอย่างไรดีล่ะ”
หยุนหว่านหนิงครุ่นคิด “สรุปคือเจ้าต้องจำเอาไว้ ว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่ทรมานคนที่สุดก็พอ”
โม่เยว่พยักหน้าอย่างมีความคิด ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเข้าใจหรือไม่
“วันนี้ที่ยั่วพี่สี่จนเป็นลม ความจริงเจ้าจงใจกระมัง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หยุนหว่านหนิงประหลาดใจเล็กน้อย
นางไม่แค่จงใจยั่วโม่เหว่ยจนเป็นลม แต่ยังจงใจทำให้เขาโมโหจนกระอักเลือดด้วย…นางวางแผนตรวจร่างกายทั้งหมดของโม่เหว่ย
หากเขามีสติ ต้องไม่ให้ความร่วมมือแน่นอน
แถมอุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านั้นก็ไม่สะดวกจะให้เขาเห็น
ต่อไปจะรักษาให้เขา ถ้าไม่ฝังเข็มให้เขานอนหลับ ก็ต้อง…ยั่วให้เขาโมโหจนเป็นลมนี่แหละ!
หยุนหว่านหนิงคิดอย่างชวนขบขัน
“เจ้าเป็นคนอย่างไร ข้ายังไม่รู้อีกหรือ”
โม่เยว่หึด้วยความเย็นชาทีหนึ่ง “บนโลกนี้ ไม่มีผู้ใดที่ถูกเจ้ายั่วโมโหแล้วไม่ตาย”
เต๋อเฟย ฮองเฮาจ้าว ล้วนแล้วแต่ถูกนางยั่วโมโหจนล้มป่วยทั้งนั้น
บัดนี้ยังเพิ่มโม่เหว่ยมาอีกคน!
ผู้หญิงคนนี้ทำคนโมโหตายไม่ชดใช้ชีวิตดั่งคาด
หยุนหว่านหนิงทำปากยื่น “ข้าไม่ได้ทำเจ้าโมโหตายมิใช่หรือ แม้แต่ทำให้เป็นลมก็ยังไม่เคย จะว่าไปเจ้าก็จริงๆ เลย ช่างมีศักยภาพแฝงที่ในการเป็นกระสอบทราย!”
นาง ‘ดูถูก’ โม่เยว่นิดหน่อย
นึกถึงที่เขาถูกรังแกตอนเด็กๆ นางก็ขมวดคิ้ว “โม่เยว่ เจ้ามิใช่ว่าเก่งกาจมากหรือ ต่อหน้าข้าก็สามารถนักนี่ ทำไมตอนเด็กๆ ถึงไม่ต่อต้านล่ะ”
นางก็ไม่รู้ตัวว่านางสงสารเขา
หรือว่าแค่ ‘ดูถูก’ เขา!
“ต่อต้าน?”
โม่เยว่หัวเราะเบาๆ ใบหน้าไม่บ่งอารมณ์
“หยุนหว่านหนิง บางเวลาบางเรื่อง ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจเองได้”
เขาเอ่ยด้วยความหมายลึกซึ้ง
แม้ว่าเขาจะเป็นองค์ชายที่มีผู้คนนับหมื่นเคารพฐานะอันสูงส่ง แต่ครั้งเยาว์วัยอยู่ในวัง ก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว เสาะหาหนทางรอดในสถานที่ที่ยากจะคงอยู่
หากเต๋อเฟยไม่ได้รับความโปรดปราน เขากับโม่เฟยเฟยก็ไม่ได้อยู่เป็นสุข
เต๋อเฟยได้รับความโปรดปราน พวกเขาสองพี่น้องก็มีชีวิตอยู่บนคมมีด ลำบากแสนเข็ญ ถูกคนทำร้ายทั้งทางตรงและทางลับ
เขาไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้เต๋อเฟย
ในเมื่อสร้างความเดือดร้อนไม่ได้ก็หลบเสีย
ดังนั้นเขาจึงเล่นกับพี่หกแต่เล็ก
พี่น้องคนอื่นๆ ต่างรุมรังแกพวกเขาซึ่งเป็นน้องชายที่เด็กที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด เสด็จแม่ก็ได้รับความโปรดปรานมากเช่นกัน
แต่นับจากพี่หกเสียชีวิต โม่เยว่ก็ไม่ยินยอมเปิดอกกับพี่น้องคนไหนอีก
เขาไม่มีวันยกโทษเรื่องที่พวกเขาทำพี่หกตาย!
“แกล้งทำเป็นหมองอะไร”
หยุนหว่านหนิงบ่น รู้สึกเริ่มง่วงแล้ว จึงหาวพลางอิงกับห้องโดยสารรถม้า คิดจะหลับตาพักผ่อน
รถม้าเคลื่อนตัวได้นิ่งมาก
แม้บางครั้งจะมีหินก้อนเล็กก้อนน้อยอยู่บนถนน แต่ก็ยังสามารถโคลงเคลงผ่านไปได้แบบนิ่มนวล
พอเห็นหยุนหว่านหนิงจะหลับแล้ว เนื่องจากรถม้าโคลงเคลง หน้าผากของนางจึงกระแทกกับห้องโดยสารรถม้าเล็กน้อย
แววตาโม่เยว่วูบไหว
เขาเอื้อมมือโอบนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ให้นางพิงให้สบายหน่อย
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ อย่างไม่รู้ตัว… “ข้าแค่ไม่อยากให้นางหัวกระแทกจนกลายเป็นโง่งมไปเท่านั้น เดิมทีก็โง่พออยู่แล้ว”
“จะให้หยวนเป่ามีท่านแม่ที่โง่งมไม่ได้”
โม่เยว่พึมพำ หา ‘เหตุผล’ ที่ดีมากกับการกระทำของตนเมื่อครู่
หยุนหว่านหนิงหลับสนิทมาก
จวนอ๋องโจวอยู่ห่างๆกล ทั้งยังเงียบสงัด เป็นสถานที่พักฟื้นที่ดีแห่งหนึ่ง
แต่ระยะห่างจากจวนอ๋องหมิง ยังต้องนั่งรถม้าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูป
เมื่อกลับถึงจวนอ๋องหมิง อาทิตย์ก็ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว
หยุนหว่านหนิงยังไม่ตื่น โม่เยว่ลังเลว่าจะอุ้มนางลงจากรถม้าดี หรือเรียกนางให้ตื่นอย่างหยาบคายหน่อยดี ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษอยู่แล้ว
แต่ทันใดนั้น ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น
“น้องเจ็ด! พวกเจ้ากลับมาได้เสียที! รอพวกเจ้าตั้งนานแล้ว!”
เสียงนี้ดังกังวานมาก
โม่เยว่มันหยุนหว่านหนิงตามสัญชาตญาณพลัน เห็นนางกำลังขยี้ตา ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “ใครน่ะ รบกวนฝันดีของข้า”
“ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย!”
เมื่อนั้นโม่เยว่จึงบริหารไล่อย่างไม่เป็นที่สังเกต
ตลอดทางที่กลับมา เขากลัวว่านางจะหลับไม่สนิท จึงไม่กล้ากระดุกกระดิก เกรงจะทำให้นางสะดุ้งตื่น
ตอนนี้ ไหล่เขาจะชาไปหมดแล้ว
“ลงรถเถอะ”
เขาเอ่ยเรียบ
“ฟ้ามืดแล้ว”
หยุนหว่านหนิงเลิกผ้าม่านรถม้าออก เห็นจวนอ๋องจุดไฟแล้ว นางกระโดดลงจากรถม้า
พอลงจากรถม้าก็เห็นคนที่ ‘ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ’ ที่ทำนางตื่นเมื่อครู่เดินมาถึงตรงหน้า “น้องเจ็ด ชายาน้องเจ็ด พวกเจ้าไปไหนมาน่ะ”
“ข้าถามคนรับใช้ในจวน พวกเขาถึงก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าไปไหนด้วยแน่ะ”
เมื่อนั้นหยุนหว่านหนิงจึงเงยหน้าขึ้น เห็นผู้ที่มาคืออ๋องฮั่น โม่ฮั่นอี่ว์?!
แต่ไหนแต่ไรมา โม่เยว่ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับเขา
กระทั่งว่ากับพวกโม่หุยเหยียน ก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
ทำไมวันนี้โม่ฮั่นอี่ว์จึงมาอย่างไม่ได้รับเชิญ!