อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 131 พลังการต่อสู้ของพระชายาแข็งแกร่งมาก
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 131 พลังการต่อสู้ของพระชายาแข็งแกร่งมาก
“ที่นี่เป็นถึงจวนอ๋องหมิง ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการจะลงมือกับข้าที่นี่”
หยุนหว่านหนิงไม่ได้หลบเลี่ยง กลับยังยิ้มเยาะและมองดูนางแวบหนึ่ง “พี่สะใภ้รอง ได้ยินมาว่าท่านหยาบคายไร้เหตุผล แต่คิดไม่ถึงว่าจะไร้เหตุผลถึงเพียงนี้”
“ข้าหยาบคายไร้เหตุผล? !”
โจวหยิงหยิงระเบิดแล้ว
ทั้งชีวิตของนาง ที่เกลียดที่สุดก็คือคนอื่นบอกว่านางหยาบคายไร้เหตุผล!
“หยุนหว่านหนิง! นี่เจ้าไปได้ยินจากใครมา? !”
“พระชายาหยิงไงล่ะ”
หยุนหว่านหนิงโพล่งออกมาจากปาก “เป็นนางที่กำชับข้า ให้ข้าต้องระวังท่านไว้ บอกว่าท่านเป็นคนหยาบคายไร้เหตุผล บอกให้ข้าหลบไปให้ไกลๆเวลาที่พบท่าน”
นางดึงฉินซื่อเสวียออกมาขวางปืนไว้โดยตรง
อย่างไรซะตอนนี้ฉินซื่อเสวียก็แท้งลูก ยังคงอยู่ในการพักฟื้นอยู่เดือนหลังแท้ง
คนของฮองเฮาจ้าว ล้อมรอบจวนอ๋องหยิงไว้ แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็บินเข้าไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ที่โจวหยิงหยิงจะบุกเข้าไปสร้างความลำบากให้กับฉินซื่อเสวียที่จวนอ๋องหยิงในเวลานี้
“ข้ารู้อยู่แล้ว จะต้องเป็นฉินซื่อเสวียหญิงชั่วนั่นเป็นแน่!”
โจวหยิงหยิงโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด “นอกจากนางแล้ว ยังจะมีผู้ใดทำลายชื่อเสียงของข้าได้เพียงนี้อีก! นางบอกอะไรกับเจ้าอีกบ้าง?”
นางเพ่งมองหยุนหว่านหนิง
“นี่……..”
หยุนหว่านหนิงสองจิตสองใจเล็กน้อย “คำที่คนอื่นเขาแอบพูดลับหลังกับข้า ข้าบอกท่านไปเช่นนี้คงไม่ดีหรอกมั้งเพคะ?”
แม้ว่านางจะไม่พูดอย่างชัดเจน แต่โจวหยิงหยิงรู้ ฉินซื่อเสวียจะต้องพูดจาให้ร้ายนางอย่างอื่นต่อหน้านางเป็นแน่!”
ดูจากท่าทางที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดของหยุนหว่านหนิง นางมองออก!
“นังสารเลวนี่! ข้าจะไปฉีกปากนาง!”
โจวหยิงหยิงทำท่าทำทางต้องการจะไปหาฉินซื่อเสวีย แต่กลับถูกหยุนหว่านหนิงขวางไว้แล้ว “พี่สะใภ้รองไม่จำเป็นต้องรีบร้อน! วันหน้าท่านยังมีเวลาไปคิดบัญชีกับนางอีกมากมาย”
“แต่ตอนนี้นางยังอยู่ในการพักฟื้นหนึ่งเดือนหลังแท้ง ท่านไปหาเช่นนี้ จะไม่ดีรึเปล่าเพคะ?”
นางมองดูนาง “หากว่าเสด็จแม่รู้ จะต้องทำโทษท่านอีกเป็นแน่”
“นี่ก็ถูก”
โจวหยิงหยิงนั่งลงด้วยความโมโห “แต่จิตใจของข้ากล้ำกลืนความโกรธนี้ไม่ลง! นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ข้าโจวหยิงหยิง ได้พบกับคนสารเลวไร้ยางอายเช่นนี้”
“งั้นท่านก็ทำได้แค่อดทนแล้วล่ะ”
หยุนหว่านหนิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ท่านคิดไว้ว่าจะทำอย่างไรกับอ๋องฮั่น?”
“จะให้ค้างคืนที่จวนอ๋องหมิงของพวกเราในคืนนี้ หรือว่าจะพาไป?”
“ต้องพาไปแน่นอนอยู่แล้วสิ”
โจวหยิงหยิงขมวดคิ้ว “ตาขี้เมานี่! รอให้เขาตื่นแล้วข้าค่อยคิดบัญชีกับเขาให้ดีๆ!”
ไฟโทสะเคลื่อนไปอยู่บนตัวของโม่ฮั่นอี่ว์ได้สำเร็จ
“เช่นนั้นก็เดินดีๆไม่ไปส่งแล้วเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงหยิบเอ้อร์โกโถวบนโต๊ะขึ้นมา ยัดเข้าไปตรงหน้าอกของโจวหยิงหยิง “เอาเหล้านี่ไปด้วยจะดีกว่าเพคะ! เผื่ออ๋องฮั่นอยากจะดื่มอีกในวันข้างหน้า ถ้าไปดื่มเหล้าเมามายอยู่ด้านนอกแล้วจะทำอย่างไรเพคะ?”
“เช่นนั้นก็ได้”
โจวหยิงหยิงจึงหยิบเอ้อร์โกโถวขึ้นมา สั่งให้คนรับใช้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามา นำตัวโม่ฮั่นอี่ว์ออกไป
เดินได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับมามองหยุนหว่านหนิง “พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!”
“ยังจะมาทำอะไรอีก? มาทะเลาะกับข้าหรือเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงยืนพิงขอบประตู จ้องมองนางเหมือนกึ่งจะยิ้ม
โจวหยิงหยิง “……ไม่”
นางพูดอย่างดุดันว่า “ข้าอยากฟัง ฉินซื่อเสวียผู้หญิงเลวนั่น ยังพูดว่าร้ายอะไรข้าต่อหน้าเจ้าอีก!”
“ได้”
หยุนหว่านหนิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมอาหารไว้อย่างดี แค่ท่านมาก็พอแล้ว”
โจวหยิงหยิงเปล่งเสียงไม่พอใจอย่างเย็นชาหนึ่งที หมุนตัวแล้วจมเข้าไปในแสงยามราตรี
ทันทีที่นางจากไป หรูอวี้ก็เดินเข้ามาใกล้ด้วยความตะลึง กล่าวต่อโม่เยว่ว่า “นายท่าน คิดไม่ถึงว่าพลังการต่อสู้ของพระชายาเราจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าพระชายาฮั่นซะอีกพ่ะย่ะค่ะ?”
ในเมืองหลวงนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่าพระชายาฮั่นโจวหยิงหยิงเป็นบุคคลที่เก่งกาจ?
แต่เมื่อครู่เขากลับเห็นว่า พระชายาฮั่นยอมจำนนภายใต้เงื้อมมือพระชายาของตัวเอง? !
“ดูแล้วในจวนแห่งนี้ จำเป็นจะต้องมีนายหญิงจึงจะได้จริงๆ”
ไม่รอให้โม่เยว่กล่าว หรูอวี้ก็พูดเองเออเองว่า “นายท่าน พระชายาของเราเก่งกาจจริงๆนะพ่ะย่ะค่ะ! วันหน้ายังจะมีคนกล้ามาหาเรื่องถึงที่อีกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
แม้ว่าโม่เยว่จะนิ่งเงียบ แต่ในมุมมองของหรูอวี้การนิ่งเงียบก็คือการยอมรับโดยปริยาย
เขายกนิ้วโป้งขึ้น “นายท่าน ต้องรักใครทะนุถนอมพระชายานะพ่ะย่ะค่ะ!”
ในที่สุดโม่เยว่ก็เปิดปากแล้ว
เขาพูดเพียงแค่หนึ่งคำ “ไป”
“ได้เลยพ่ะย่ะค่ะนายท่าน”
หรูอวี้ไสหัวออกไปด้วยความว่องไว
…….
สองวันมานี้จวนอ๋องหมิงคึกคักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อวานโม่ฮั่นอี่ว์และโจวหยิงหยิงสองสามีภรรยามา วันนี้หนานกงเยว่ก็มา
ขณะที่ได้ยินหรูอวี้บอกว่าพระชายาฉู่มา หยุนหว่านหนิงยังตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “จวนของพวกเรา ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไร้ผู้คนมาเยี่ยมเยือนหรอกหรือ?”
“ครั้งนี้ก็ประหลาดแล้ว”
ในเมื่อคนอื่นเขามาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ต้อนรับ
ด้วยเหตุนี้ หยุนหว่านหนิงจึงวางเรื่องในมือลง แล้วไปต้อนรับหนานกงเยว่
ในเวลานั้น นางก็กำลังเปิดอ่านหนังสือทางการรักษา เพื่อหาหนทางแก้ไขอาการป่วยของโม่เหว่ยอยู่
หนานกงเยว่กำลังจิบชาในห้องโถงใหญ่
ท่าทางการนั่งของนางสุภาพเรียบร้อย แตกต่างกับ“ท่าทางอย่างโจร”ของโจวหยิงหยิงเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง แม้แต่การดื่มชา ก็ดื่มอย่างงามสง่าได้เพียงนี้ ทำให้คนที่มองอดหลงใหลไม่ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่”
หลังจากที่ดึงสติกลับมาได้ หยุนหว่านหนิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้
“สมกับที่พี่สะใภ้ใหญ่เป็นองค์หญิงตงจวิ้นจริงๆเพคะ แม้แต่ท่าทางการดื่มชาก็สง่างามได้เช่นนี้ ข้ารู้สึกเทียบไม่ได้เลยจริงๆ”
คำพูดตามมารยาทของนาง ไม่ได้ห่างเหินเกินไป และไม่ได้เป็นการใกล้ชิดสนิทสนมประจบประแจงเกินไปนัก
หนานกงเยว่วางแก้วชาลง “หนิงเอ๋อร์”
คำที่นางใช้เรียกหยุนหว่านหนิง ก็ดูสนิทสนมกว่ามากแล้ว……
สายตาของหยุนหว่านหนิงกะพริบเล็กน้อย “แม้จะไม่รู้ว่าวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่มาเยี่ยมเยือนด้วยเรื่องอันใด แต่วันนี้แสงอาทิตย์กำลังดี งั้นพวกเราไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้วยกันดีหรือไม่เพคะ?”
“ดีสิ”
หนานกงเยว่ลุกขึ้น “ตอนนี้ข้าก็ง่วงอยู่เล็กน้อย อยากจะออกไปเดินเล่นพอดี”
ความอ่อนโยนความใกล้ชิดของนางไม่เหมือนกับฉินซื่อเสวีย ไม่เหมือนการแสดงออกมา เหมือนการแผ่ออกมาจากกระดูกเช่นนั้น
กลับเหมาะสมกันกับโม่หุยเหยียนที่สุภาพอ่อนโยนสูงส่งสง่างามดุจหยกอันล้ำค่าเป็นอย่างมาก
พี่น้องสะใภ้ทั้งสองเดินเข้าไปในสวน
“วันนี้มาเยี่ยมเยือนถึงที่อย่างกะทันหัน ก็ยังหวังว่าหนิงเอ๋อร์จะไม่กล่าวโทษ”
หนานกงเยว่จับแขนของนาง ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ข้าสนใจงานปักมาตั้งแต่เด็ก แต่แม้ว่าจะอยู่ในตงจวิ้น ข้าก็ได้ยินเพียงแค่การดำรงอยู่ของการเย็บปักสองด้านเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นกับตามาก่อน”
“วันนั้นในวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ตำหนักหย่งโซ่วของเสด็จแม่เต๋อเฟย เห็นหนิงเอ๋อร์หยิบงานปักสองด้านออกมา ข้ารู้สึกทึ่งจริงๆ”
“เดิมทีคิดอยากจะรีบมาขอเรียนรู้จากเจ้าที่จวนอ๋องหมิง แต่ช่วยไม่ได้งานยุ่งจนหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้มาโดยตลอด”
หนานกงเยว่หัวเราะเบาๆ มองดูหยุนหว่านหนิงแวบหนึ่ง “วันนี้เจ้ามีเวลาว่างหรือไม่?”
ที่แท้ มาหานางก็เพื่อเรียนงานปักสองด้าน
สำหรับหนานกงเยว่ หยุนหว่านหนิงยังมีความรู้สึกดีด้วยอยู่มาก
ไม่ว่าจะเป็นวันนั้นที่นางได้ช่วยนางกู้หน้าเอาไว้ที่ตำหนักหย่งโซ่ว……..หรือว่าทุกครั้งที่ได้พบกันหลังจากนั้น นางก็พูดคุยกับนางด้วยรอยยิ้ม มองอย่างไรก็เป็นคนดีผู้หนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของนางนั้นเป็นเช่นนี้ หรือว่าเป็นการเสแสร้ง ซึ่งสูงส่งล้ำลึกยิ่งกว่าฉินซื่อเสวีย
ในหมู่พวกนางพี่น้องสะใภ้ไม่กี่คน เกรงว่าคงจะมีแค่โจวหยิงหยิงเท่านั้น ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นคนที่เรียบง่ายที่สุด
นางเสแสร้งไม่เก่ง อารมณ์ความรู้สึกล้วนแขวนไว้บนในหน้า
ในการใช้ชีวิตหลังจากนี้หยุนหว่านหนิงยังจำเป็นจะต้องระมัดระวังพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ถึงจะได้
“ว่างแน่นอนเพคะ! วันๆข้าก็ว่างไม่มีเรื่องอะไรทำ หากว่าพี่สะใภ้ใหญ่อยากเรียนจริงๆ ก็มาหาข้าได้ทุกวัน”
หยุนหว่านหนิงจูงนางมานั่งลงในศาลา สั่งให้หรูเยียนเตรียมเข็มและด้ายมา และหากระดาษอีกสองสามแผ่นมาให้หนานกงเยว่ “พี่สะใภ้ดูสิ อยากเรียนแบบไหนเพคะ?”
……
พี่น้องสะใภ้ทั้งสองเข้ากันได้ดี
หนานกงเยว่ตั้งใจเรียนการปักสองด้าน และไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อสนทนาอื่นใด
จนถึงเวลาพลบค่ำ นางจึงได้ออกไปจากจวนอ๋องหมิง
ยังไม่ได้กลับจวนอ๋องฉู่ ก็ถูกฮองเฮาจ้าวส่งคนมาเชิญไปที่ตำหนักคงหนิงแล้ว…….
บทที่ 130 หยุนหว่านหนิงจัดการได้หมด
บทที่ 132 ข่าวสารอันร้อนแรง