อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 14 นี่เรียกว่า หลอกพ่อ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 14 นี่เรียกว่า หลอกพ่อ
สี่ปีมานี้ที่นางกับหยวนเป่าสามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้ ล้วนเป็นเพราะเงินที่สามารถหยิบเอาออกมาจากช่องว่างได้ไม่มีวันหมด
แต่ตอนนี้ ถ้าหากแม้แต่เงินแดงเดียวก็ไม่มีแล้ว โม่เยว่ยังตัดขาดเส้นทางการส่งสิ่งของให้นางอีก หลังจากนี้ นางกับหยวนเป่าจะทำอย่างไร
แม่นมจางเห็นนางสีหน้าไม่ดี ก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “พระชายา เกิดอะไรขึ้น”
มืออวบอ้วนนั้น ก็หดกลับไปอย่างรู้ความ
“คือว่า ……”
หยุนหว่านหนิงตรวจดูให้มั่นใจหลายครั้ง ก่อนจะยอมรับความจริงเรื่องนี้อย่างไม่ง่ายเลย นางได้กลายเป็นยาจกแล้ว หันกลับไปมองทางด้านหลัง มองหยวนเป่าที่ยังคงเขียนหนังสืออย่างตั้งใจ แววตาก็สับสนขึ้นมา
ร่างกายเล็กๆนั่งตัวตรง หยวนเป่าเขียนหนังสืออย่างตั้งใจมาก
ตั้งแต่นางว่าเขาวันนั้น หยวนเป่าก็เริ่มอ่านเขียนอย่างตั้งใจ
นางไม่อยากจะทรยศต่อความหวังของลูกชาย ไม่อยากจะให้ลูกชายต้องผิดหวัง
“เจ้ารอก่อน ข้าจะกลับไปเอาที่เรือน”
นางรีบเข้าไปในเรือน
แต่ว่า ค้นหาจนทั่วทั้งเรือนแล้ว นอกจากเอาปิ่นปักผมออกมาได้สองอัน หยุนหว่านหนิงก็หาเงินไม่ได้เลยแม้แต่เหรียญเดียว
สี่ปีมานี้ รู้ว่าบ่าวรับใช้เหล่านี้เคยแอบเข้ามารื้อค้นหาเงินอยู่หลายครั้ง ฉะนั้นนางจึงป้องกันเอาไว้ ไม่เคยนำเงินออกมาเก็บไว้นอกช่องว่างเลย เก็บไว้ในนั้นสบายใจที่สุด
ไหนเลยจะคิดว่า วันนี้จะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมา
นางไม่เคยสนใจพวกเครื่องประดับอะไรเลย
ฉะนั้น สี่ปีมานี้ก็ไม่เคยซื้อพวกเครื่องประดับเพิ่มเติม
นางถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ได้แต่ยื่นปิ่นปักผมทั้งสองอันให้กับแม่นมจาง“เอาปิ่นสองอันนี้ไปจำนำก่อนแล้วกัน
แม่นมจางขมวดคิ้ว
พระชายาของพวกนาง กลายเป็นยาจกแล้วหรือ
“พระชายา”
นางเม้มริมฝีปาก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บแสบ “ปิ่นสองอันนี้ของท่านเป็นแค่ของเก่าเมื่อหลายปีก่อน แม้จะเอาไปจำนำก็ไม่มีราคาค่างวดอะไร ยังไม่พอซื้อวัตถุดิบที่ท่านต้องการเลย”
ที่จริง ปิ่นสองอันนี้ เป็นสินสอดติดตัวตอนที่หยุนหว่านหนิงแต่งงาน
ส่วนสินสอดติดตัวอื่นๆ ตอนที่นางถูกกักบริเวณ ได้ถูก โม่เยว่ส่งคนมาขนย้ายไปหมดแล้ว
ตอนนั้นปิ่นสองอันนี้ถูกปักอยู่บนศีรษะ จึงไม่ได้ถูกเอาไปด้วย
เอาไปเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบเหล่านั้น น่าจะเพียงพอแล้ว เพียงแต่ไม่พอให้แม่นมจาง หักเป็นค่าแรงที่ช่วยไปซื้อของ ฉะนั้นจึงรู้สึกรังเกียจเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่หยุนหว่านหนิงทะลุมิติมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยออกไปซื้ออะไรด้วยตนเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้สิ่งของราคาเท่าไหร่แล้ว
เมื่อได้ยินแม่นมจางพูดเช่นนี้ นางก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ถ้าไม่พอเจ้าก็ออกไปก่อน”
“พรุ่งนี้ ข้าจะเอาให้เจ้า”
นางลำบากจนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงกับยืมเงินกับบ่าวรับใช้เพื่อประทังชีวิต
เดิมทีแม่นมจางไม่ยินดี อยากจะชักสีหน้าขึ้นมาทันที
แต่เมื่อคิดได้ว่าสี่ปีมานี้ พระชายาของพวกนางไม่เคยขาดสนเงินทอง ไม่แน่ วันนี้อาจเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ จึงเชื่อใจนางสักครั้ง
“ก็ได้ บ่าวจะออกให้ก่อน เดี๋ยวจะมาบอกพระชายาว่าใช้ไปเท่าไหร่”
ว่าแล้ว แม่นมจางก็เดินจากไปอย่างไม่ค่อยจะยินดีนัก
มองประตูหลังที่ปิดดังปัง หยุนหว่านหนิงโมโหจนแทบอยากจะถลกแขนเสื้อสั่งสอนสักตั้ง
พวกบ่าวไม่รักดี
แต่ว่า ก็รับรู้อย่างลึกซึ้งเลยว่า ถ้าหากอยากจะมีชีวิตที่สุขสบายต่อไป ก็ต้องให้พวกบ่าวไม่รักดีเหล่านี้ช่วยนางทำงานอย่างลับๆ
เงิน จะขาดไม่ได้
นางสูดลมหายใจลึกๆอีกครั้ง กลืนความกลัดกลุ้มในใจลงไป
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วแน่นเดินเข้าไปในเรือน
หยวนเป่ากำลังเขียนหนังสืออย่างตั้งใจ จึงไม่ได้เดินเข้าไปด้วย
นางถอกำไลข้อมือออก ตั้งใจดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพยายามใช้วิธีอะไร ก็คิดไม่ออกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ภายในช่องว่างที่ดีๆ อยู่ๆก็ไม่มีเงินซะแล้ว
หรือว่า นางจะใช้ไปหมดแล้ว
ถ้าหากใช้หมดแล้ว แล้วจะทำอย่างไรจึงจะมีเงินอีกครั้ง
จนกระทั่งพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว นางก็ยังคิดไม่ออกว่าเกิดจากอะไรกันแน่
แต่แม่นมจางกลับมาแล้ว เอาอาหารที่ซื้อมาทั้งหมดวางไว้ในห้องครัว และมารายงานว่า “พระชายา ปิ่นปักผมทั้งสองอันของท่านจำนำได้ยี่สิบตำลึง อาหารเหล่านี้ ใช้ไปทั้งหมดสามสิบตำลึง ฉะนั้นท่านยังติดบ่าวอยู่สิบตำลึงนะเพคะ”
หยุนหว่านหนิง“……”
“เอาล่ะข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะคืนให้เจ้า”
ปิ่นปักผมของนางสองอันนั้น ไม่ใช่ไม่มีราคา
ถ้าอยู่ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด สามารถนำไปตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว
แต่แม่นมจาง กลับบอกว่านำไปจำนำได้แค่ยี่สิบตำลึง
วัตถุดิบที่นางต้องการทั้งหมด ไหนเลยจะต้องใช้เงินถึงสามสิบตำลึง
เห็นได้ชัดว่าบ่าวไม่รักดีคนนี้ทำตัวเหยียบย่ำคนอื่น เห็นว่าตอนนี้นางเอาเงินออกมาไม่ได้ ก็เริ่มจงใจหาเรื่องนาง
หยุนหว่านหนิงโกรธจนกัดฟันกรอด
เห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว หยวนเป่ายังคงอ่านหนังสืออยู่ นางก็จุดตะเกียงขึ้น “หยวนเป่า นี่ก็ค่ำแล้ว ไม่ดีต่อสายตา เจ้ามาเป็นลูกมือแม่ พวกเราช่วยกันทำหม้อไฟ”
“ได้ ท่านแม่”
หยวนเป่าวางหนังสือลง กระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งตามหยุนหว่านหนิงเข้าไปในห้องครัว
นางยื่นกระเทียมให้กับหยวนเป่า กำชับเขาว่าเวลาปอกกระเทียมอย่าขยี้ตาเด็ดขาด
จากนั้นก็เริ่มเด็ดผัก ล้างเนื้อเป็นต้น……
ตอนที่โม่เยว่เดินเข้ามาอย่างโมโห ก็มองเห็นภาพอันอบอุ่นที่เกิดขึ้นในครัว
เขามองหยุนหว่านหนิงที่กำลังยุ่งอยู่หน้าเตาไฟแวบหนึ่ง แล้วมองหยวนเป่าที่กำลังนั่งปอดกระเทียมอยู่บนเก้าอี้ ก็ขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“หยุนหว่านหนิง เจ้ากำลังทำอะไร”
“ท่านอ๋องตาบอดหรือ ข้ากำลังทำอาหารไง”
หยุนหว่านหนิงตอบกลับทั้งที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ
แต่เพิ่งจะพูดออกไป นางก็รู้สึกเสียใจ
เสียงของโม่เยว่เมื่อครู่ได้ยินชัดเลยว่าไม่พอใจ วันนี้เขาถูกลงโทษจากในวังมาด้วย
ตอนนี้ก็มาที่เรือนชิงหยิ่งด้วยความกราดเกรี้ยว ต้องมาหาเรื่องแน่ๆ
เป็นดังคาด วินาทีต่อมาเขาก็ดึงข้อมือของนางเอาไว้
เขาใช้แรงไม่น้อยเลย เจ็บจนหยุนหว่านหนิงต้องนิ่วหน้า เงยหน้าขึ้นมองดวงตาแดงก่ำของโม่เยว่ ในใจนางเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
ไม่พบกันสี่ปี
นางถึงกับลืมไปแล้ว ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวแค่ไหน
ความเจ็บปวดในคืนนั้น ผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง หยุนหว่านหนิงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา
“ท่าน ท่านจะทำอะไร”
นางกัดฟัน “มีอะไรก็พูดจากันดีๆ ไม่เห็นต้องทำให้ลูกชายข้าตกใจเลย ”
ว่าแล้ว หยุนหว่านหนิงก็รีบฝืนยิ้มออกมา เอ่ยกับหยวนเป่าด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หยวนเป่า เจ้าไปรอในห้องก่อน แม่จะทำอาหารเสร็จแล้ว”
หยวนเป่าได้วางกระเทียมในมือลงแล้ว
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้ากลมๆแสดงความไม่เข้าใจออกมา
แต่เมื่อเห็นว่าหยุนหว่านหนิงถูกคว้าข้อมือเอาไว้ และเกิดรอยแดงขึ้นแล้ว
หยวนเป่าก็รีบพุ่งตัวเข้าไป มือน้อยๆตีไปที่ร่างของโม่เยว่อย่างพัลวัน “ท่านปล่อยท่านแม่ข้านะ ปล่อยท่านแม่ข้า”
เห็นเขาโมโหขนาดนี้ ดูตื่นเต้นขนาดนี้ เหมือนสิงโตน้อยที่กำลังกราดเกรี้ยว
เป็นครั้งแรก ที่โม่เยว่ยอมปล่อยมือ
เขาค่อยๆนั่งลง จ้องมองใบหน้าของโม่เยว่อย่างจริงจัง ดวงตาคู่นี้ สายตาเช่นนี้ เหมือนที่หรูยี่บอกจริงๆ ว่าเหมือนกับเขาตอนเด็กๆอยู่หลายส่วน
เห็นเขานั่งลง หยวนเป่าก็รีบขยี้ตาของเขาทันที
กลิ่นฉุนจมูกโชยขึ้นมา โม่เยว่ถูกตีอย่างไม่ทันตั้งตัว รู้สึกแค่ว่าดวงตาทั้งสองข้างเผ็ดร้อนจนเจ็บแสบขึ้นมาทันที
เจ้าตัวแสบ กล้าเอามือที่ใช้ปอกกระเทียม มาขยี้ดวงตาของเขา
เจ้าแผนการ เหมือนกับเขาตอนเด็กๆไม่มีผิด
โม่เยว่รีบลุกขึ้น วิ่งไปล้างดวงตา
ดวงตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยายามกะพริบตา หันกลับไปมอง เห็นเพียงหยวนเป่ายืนอยู่ด้านหน้าของหยุนหว่านหนิง จ้องมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง
หยุนหว่านหนิงรู้สึกดีใจที่ได้เห็นละครสนุกๆ
เห็นดวงตาของโม่เยว่กลายเป็นสีแดง ทั้งน่าสมเพชทั้งน่าขัน
นางอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “นี่เรียกว่า หลอกพ่อ”
สีหน้าของโม่เยว่เปลี่ยนไปทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”