อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 141 ยอมรับผิดกับภรรยาของเจ้า
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 141 ยอมรับผิดกับภรรยาของเจ้า
หยวนเป่าคิดว่า ไม่มีการจูบไหนที่แก้ไขปัญหาคู่รักทะเลาะกันไม่ได้
หนึ่งทีแก้ปัญหาไม่ได้ เช่นนั้นก็สองที!
เมื่อครู่นี้โม่เยว่กับหยุนหว่านหนิง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยการ”จูบ”สองทีได้……เขาจึงตัดสินใจ ที่จะจัดการ”จูบ”ครั้งที่สามให้กับพวกเขา!
แต่ทว่า หาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้
ในคืนวันนั้น หยุนหว่านหนิงก็ได้สั่งให้แม่นมจางไปที่เรือนทิงจู่ บอกว่านางจะอยู่แต่เรือนชิงหยิ่งไม่ออกไปไหน
นอกเสียจากเข้าพระราชวังไปตรวจชีพจรให้โม่จงหรานแล้ว ก็จะไม่ออกไหนอีก
พูดจบ แม่นมจางก็มองท่านอ๋องของตนเองด้วยความกลัวจนตัวสั่น
หลายวันมานี้นางเฝ้ามอง ท่านอ๋องของตนเองและพระชายาที่ตัวติดกันราวกับฝาแฝด
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะยังไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน
เพียงแต่ในสายตาของคนรับใช้ภายในจวน คนทั้งสองได้คืนดีกันเหมือนดังเดิมแล้ว
ถึงอย่างไร ต่างก็เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว……
ใครจะรู้ว่าวันนี้ จู่ๆ จะทะเลาะกันเช่นนี้?
อีกทั้งยังทะเลาะกันฟ้าถล่มดินทลาย คล้ายกับว่าทั้งจวนแทบจะถูกพลิกคว่ำ!
โม่เยว่ไม่ได้แสดงความคิดเห็น เพียงแค่ให้แม่นมจางกลับไป
ผู้หญิงคนนี้ต้องการจะอยู่แต่ในเรือน แค่ไม่อยากพบหน้าเขาก็ช่างเถิด นางได้รับความทุกข์ทรมานจากการกักขังตัวเองเป็นเวลาสี่ปีแล้ว วันนี้เป็นความผิดของเขาอีกแล้ว เขาจะยินยอมให้นางกักขังตัวเองได้อย่างไร?
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตั้งใจรออยู่ที่หน้าประตู เพื่อรอให้หยุนหว่านหนิงเข้าพระราชวังไปด้วยกัน
แต่รออยู่เป็นเวลานาน นางก็ไม่มาเสียที
เขาขมวดคิ้ว แล้วสั่งให้คนไปสอบถาม จึงได้รู้ว่าหยุนหว่านหนิงได้เข้าพระราชวังไปก่อนเขาแล้ว……..
โม่เยว่จึงรู้สึกไม่สบายใจ
เดิมทีก็อยากจะเข้าพระราชวังพบนาง เพื่อกล่าวขอโทษ ระหว่างคนทั้งสองก็จะไม่มีปัญหาอะไร
ใครจะรู้ว่าเวลาเช้าตรู่ หยูนหว่านหนิงจะไปก่อนเข้าก้าวหนึ่ง และไปตำหนักหย่งโซ่วเพื่อคารวะและตรวจให้กับเต๋อเฟย
โม่เยว่จึงรีบตามไปที่ตำหนักหย่งโซ่ว
“หยุนหว่านหนิง? นางเพิ่งจะออกไปไม่ใช่หรือ?”
เต๋อเฟยเห็นโม่เยว่มีท่าทีใจลอย นึกถึงวันนี้หยุนหว่านหนิงก็ไม่ได้มีพละกำลังเหมือนตามปกติ ก็คล้ายกับถูกผีอำ และรู้สึกหงอยเหงาซึมเซา
อีกทั้งดวงตาทั้งคู่ก็คล้ำดำ ชัดเจนว่าไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน
ตามธรรมดาแล้ว หากนางพูดหนึ่งประโยค นางก็จะโต้ตอบสิบประโยค
แต่วันนี้ นางพูดกับหยุนหว่านหนิงไปสองสามประโยค นางก็งึมงำอย่างไร้เรี่ยวแรงสองคำ แล้วก็ไม่ได้ตอบกลับ
เต๋อเฟยยังคิดว่า นางคงจะมีความคิดความอ่าน และเปลี่ยนแปลงตนเองไม่เป็นอริกับแม่สามีคนนี้แล้วเสียอีก
แต่บัดนี้เมื่อเห็นท่าทีของโม่เยว่แล้ว……..
ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับหยุนหว่านหนิงเลย!
“พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ?”
เต๋อเฟยกล่าวถามอย่างซุบซิบนินทา “ทำไมถึงทะเลาะกันหรือ?”
“เปล่า”
โม่เยว่ไม่ยอมรับ
“เจ้าอย่ามาทำเช่นนี้เลย! เจ้าคลอดออกมาจากในท้องของข้า เพียงเจ้ากระดกก้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าจะทำอะไร! อีกอย่างข้าก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ยังจะมองไม่ออกอีกเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?”
เต๋อเฟยแสดงความไม่พอใจ
นางมองค้อนโม่เยว่
เห็นว่าเขาเหมือนกับหมดอาลัยตายอยาก ถึงแม้ว่าจะมีสีหน้าเย็นชา แต่ในดวงตากลับไม่ได้เย็นชาแม้แต่น้อย
และแตกต่างจากปกติ ราวกับเป็นคนละคน
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะทะเลาะกันด้วยเหตุใด ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไร! เพียงแต่นังเด็กนั่นก็ควรได้รับการสั่งสอน”
เห็นพวกเขาทะเลาะกัน เต๋อเฟยก็รู้สึกมีความสุข
นางปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ให้คนทั้งสองทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆ!
นางก็สามารถเห็นท่าทางหดหู่ของหยุนหว่านหนิงได้ทุกวัน……นางยิ่งหดหู่มากเท่าไร ภายในใจของเต๋อเฟยก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ และยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้นเท่านั้น!
แต่นางคล้ายกับลืมไปแล้วว่า ขณะนี้บุตรชายก็เหมือนกับถูกผีอำเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกหดหู่เช่นเดียวกัน!
“เสด็จแม่ ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของนาง”
โม่เยว่ปกป้องหยุนหว่านหนิง
“ไม่ว่าจะเป็นความผิดของนางหรือไม่ เมื่อเจ้ามองไป มีสะใภ้ของใครมีท่าทีเช่นนางบ้างล่ะ? หากไม่กำราบก็คงจะกำเริบเสิบสานเป็นแน่ ไม่เคยเห็นแม่สามีอย่างข้า และสามีอย่างเจ้าอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
เต๋อเฟยทอดถอนใจเบาๆ
คนทั้งสองทะเลาะกันแล้ว เยว่เอ๋อร์ยังจะปกป้องนังเด็กนั่นอีก……..
ภายในใจของนาง ทำไมถึงไม่สบายใจเช่นนี้นะ?
โม่เยว่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอีก
ในเวลานี้ ภาพเงาของโม่จงหรานก็ปรากฏที่หน้าประตู “เต๋อเฟย คำพูดนี้ของเจ้าไม่ถูกต้องนะ! เมื่อคิดแล้วในตอนนั้นเจ้าก็เป็นคนดื้อรั้น ไม่ฟังใครไม่ใช่หรือ? *
“ข้าเคยกำราบเจ้าหรือ? แล้วเสด็จแม่เคยสั่งสอนเจ้าหรือ?”
ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องราวในอดีต หน้าของเต๋อเฟยก็แดงเล็กน้อย
นางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติ “ข้าคารวะฮ่องเต้! ทำไมฮ่องเต้ถึงเข้ามาในเวลานี้หรือเพคะ?”
“ถ้าหากข้าไม่เข้ามาในเวลานี้ เกรงว่าเจ้าเจ็ดก็จะต้องครองโสดแล้ว!”
โม่จงหรานชำเลืองมองนาง
เต๋อเฟยตกตะลึง “ทำไมฮ่องเต้ถึงตรัสเช่นนี้?”
“ข้ามองออกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นผิดปกติ หลังจากเค้นถามที่ห้องทรงพระอักษรแล้ว จึงบอกว่านางกับเจ้าเจ็ดรักร้าว จึงมาขอร้องข้า ให้อนุญาตให้พวกเขาหย่าร้างกัน”
เพียงพูดคำนี้ออกมา โม่เยว่กับเต๋อเฟยก็ตะลึงงัน!
โม่เยว่ไม่อยากจะเชื่อว่า เต๋อเฟยจะโกรธอย่างมาก
“นังเด็กบ้าคนนี้ ช่างต่อต้านนางเสียจริงๆ! ผู้หญิงที่ไหนกันทอดทิ้งสามี? อีกทั้งยังต้องการหย่าร้าง อวดเก่งเช่นนี้ทำไมนางไม่ขึ้นฟ้าไปเลยล่ะ? !”
เต๋อเฟยถลกแขนเสื้อขึ้น คล้ายกับต้องการจะไปทะเลาะวิวาท
โม่จงหรานรู้สึกปวดหัว
เขาดึงนางกลับมา “เจ้าก็อย่าสร้างปัญหานักเลย!”
“ฮ่องเต้ ข้าร้องขอความเป็นธรรมให้เยว่เอ๋อร์! ข้าต้องการไปถามให้แน่ใจว่า สรุปแล้วนังเด็กบ้าคนนั้นต้องการจะทำอะไรกันแน่! คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำเรื่องบังอาจเช่นนี้!”
เต๋อเฟยโมโหจนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เจ้าเจ็ด ข้าต้องถามเจ้ามากกว่าว่า เจ้าทำอะไรหว่านหนิง?”
โม่จงหรานดึงเต๋อเฟยไปพลาง ขมวดคิ้วมองโม่เยว่ไปพลาง “ข้าเห็นว่าวันนี้ เด็กผู้หญิงคนนั้นล้มเลิกความตั้งใจ จึงเห็นได้ว่าถูกเจ้าทำร้ายไม่เบาเลย”
โม่เยว่ก้มหน้าก้มตา “เสด็จพ่อ ลูกไม่ดีเอง”
“ในเมื่อรู้ผิดแล้ว ยังไม่รีบไปกล่าวขอโทษอีกหรือ?”
โม่จงหรานแทบจะยกเท้าถีบ
ไอ้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีคนนี้!
จะต้องให้ภรรยาโมโหจนจากไปก่อน ถึงจะรู้ว่าร้ายหรือ?
“ฮ่องเต้ เยว่เอ๋อร์เป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่านนะ แล้วทำไมท่านถึงปกป้องนังเด็กบ้านั่นขนาดนี้ล่ะ?”
เต๋อเฟยไม่พอใจ
“เจ้ายังจะมาพูดอีกหรือ?”
โม่จงหรานจ้องมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เจ้าเป็นแม่สามีนะ ข้าเคยบอกเจ้ามากี่ครั้งกี่หนแล้ว? ในตอนนั้นเสด็จแม่กับข้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”
“แล้วเจ้าปฏิบัติต่อหว่านหนิงอย่างไร?”
“ข้า…….”
“เจ้าไม่ต้องมาพูด!”
โม่จงหรานทอดถอนใจ “เด็กผู้หญิงคนนั้น มีนิสัยเหมือนกันกับเจ้าตอนที่ยังอายุน้อย ตัวเจ้าเองก็เย่อหยิ่งอวดดีใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะไม่ให้คนอื่นมีนิสัยเช่นนี้หรือ?”
“เจ้ายอมให้ข้าปกป้องเจ้าเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้ข้าปกป้องเด็กคนนั้นเช่นนั้นหรือ?”
“ถ้าหากเด็กคนนั้นไม่มีข้าคอยปกป้อง ก็เกรงว่าจะถูกเจ้าเขมือบทั้งเป็นไปแล้ว! นี่เจ้าห้ามคนอื่นทำแต่ยอมให้ตนเองทำได้ผู้เดียวเช่นนั้นหรือ!”
เขาตำหนิเต๋อเฟยปาวๆ
ใบหน้าของเต๋อเฟยซีดเผือด ก้มหน้าลง
“อีกอย่าง ข้าก็ไม่ใช่คนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”
เห็นว่านางเหมือนกับสำนึกผิด โม่จงหรานจึงผ่อนคลายน้ำเสียงลง “ข้าเห็นว่าเด็กคนนั้น เป็นคนปากร้ายใจดี! ถึงแม้จะบอกว่าโกรธเจ้า แต่ก็ปฏิบัติต่อเจ้าดีอย่างมาก”
“ลูกสะใภ้เช่นนี้ เจ้าหาได้ยากยิ่งนัก!”
ในบรรดาลูกสะใภ้ เขาพึงพอใจหยุนหว่านหนิงเป็นที่สุด
ฉะนั้น ไม่อาจปล่อยให้ใครรังแกนางได้!
ถูกโม่จงหรานกล่าวตำหนิ เต๋อเฟยก็ก้มหน้าอย่างตรงไปตรงมา” ที่ฮ่องเต้สั่งสอน ข้าสำนึกผิดแล้ว”
“ข้าต้องปฏิบัติดีๆ กับนางนะ”
เมื่อหวนกลับมาคิดแล้ว ในปีนั้นที่เข้ามาเมืองหลวง นิสัยนี้ของนางก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป
แต่ในปีนั้น ไทเฮากับโม่จงหรานก็ปกป้องนางจริงๆ
กลับกันกับหยุนหว่านหนิง…….
นางปฏิบัติต่อนางไม่ดีทุกอย่าง อีกทั้งยังยุยงให้โม่เยว่จัดการนางอีกด้วย!
นางเป็นคนผิดจริงๆ!
เมื่อเต๋อเฟยสำนึกผิดแล้ว โม่จงหรานจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อหันไปเห็นโม่เยว่ที่ยังนั่งอยู่บนม้านั่ง จึงยกเท้าถีบเข้าไป “ยังไม่ไปสารภาพผิดกับภรรยาของเจ้าอีกหรือ? !”
โม่เยว่จึงรีบขอตัวออกไป
ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง เรือนชิงหยิ่งก็ว่างเปล่าแล้ว!
เขาจึงจ้องเขม็งมองแม่นมจาง “พระชายาล่ะ? !”