อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 153 สงครามประสาท
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 153 สงครามประสาท
โม่เยว่ยืนอยู่นอกประตู ฟังว่าหยุนหว่านหนิงจะพูดอะไร
ทว่าในตำหนักเงียบงัน
หยุนหว่านหนิงไม่ได้พูด แค่ฟังโม่จงหรานเอ่ย “เจ้าเจ็ดถึงกับหาตัวเสวียนซันเซียนเซิงพบ ข้อนี้ข้าไม่เคยคิดถึงมาก่อน”
“เจ้าจงบอกมาตามตรง เจ้าช่วยเขาใช่หรือไม่”
“เสด็จพ่อ ลูกเป็นเพียงแม่บ้านแม่เรือน ไหนเลยจะรู้จักเสวียนซันเซียนเซิงได้”
หยุนหว่านหนิงก้มหน้า ล้วงยาน้ำสงบจิตออกมาจากช่องว่างสองสามขวด “เสด็จพ่อ เสวยหนึ่งขวดก่อนบรรทมทุกคืนนะเพคะ จะช่วยให้พระองค์บรรทมได้สนิทขึ้น”
“ได้”
โม่จงหรานมองยาน้ำที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน กลับไม่สงสัย
เขาตระหนักดีว่าวิชาแพทย์ของหยุนหว่านหนิงเป็นอย่างไร
และไม่เคยสงสัยในคำพูดของนางอีก
“เสด็จพ่อ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ลูกขอทูลลาก่อนนะเพคะ”
โม่จงหรานยังอยากหารือกับนางอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวต้าเหวินสมรู้ร่วมคิดกับโม่หุยเฟิง…แต่พอเห็นนางไม่มีชีวิตชีวาจึงโบกมือ “ไปเถอะ”
หยุนหว่านหนิงเก็บกล่องยาเรียบร้อย ย่อคำนับแล้วจึงออกไป
แต่นางเพิ่งเปิดประตูตำหนักก็เห็นโม่เยว่ยืนอยู่ตรงปากประตู
นางเดินผ่านตัวเขาไปราวกับไม่มองเห็น ห่างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นดังนั้นโม่เยว่ก็ขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อครู่ทีแรกเขาอยากพูดกับนาง แต่ดวงตาเย็นชาของนางกลับทำให้เขาพูดไม่ออกในชั่วขณะ
กระทั่งเงาหลังของหยุนหว่านหนิงหายลับไปแล้ว เสียงของโม่จงหรานดังออกมาจากห้องทรงพระอักษร เมื่อนั้นโม่เยว่จึงได้สติ
“ยังจะยืนที่ปากประตูทำอะไร เป็นเทพรักษาประตูหรือ”
ยามนี้โม่เยว่จึงยกเท้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อ”
เขาคารวะ
“นั่งลงพูด”
โม่จงหรานเก็บยาน้ำ มองท่าทางปราศจากความรู้สึก “หว่านหนิงเพิ่งไป พวกเจ้าไม่ได้คุยกันหรือ เป็นถึงขั้นนี้เชียวหรือ?”
“ข้าบอกให้เจ้ายอมรับผิดกับนาง เจ้าไปยอมรับผิดอย่างไรกัน”
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันยอมรับผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่นางไม่ฟัง”
โม่เยว่เองก็จนใจ
หลายปีนี้สตรีที่ตามอยู่ข้างหลังมีมากมายคณนานับ…ท่ามกลางคนพวกนั้น หยุนหว่านหนิงตามเขามากที่สุด
หลายปีนี้เขาเคยชินกับหยุนหว่านหนิงที่เหม่อลอย ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขาโดยสมัครใจนานแล้ว
แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นเย็นชา เขาไม่ค่อยชินจริงๆ
“นางไม่ฟัง แสดงว่าท่าทีของเจ้ายังจริงใจไม่พอ!”
โม่จงหรานฮึเย็นเสียงหนึ่ง “นังเด็กหว่านหนิงนี่ ข้าว่านางคือแม่นางที่ดีคนหนึ่ง! ไม่พูดถึงว่าเมื่อก่อนพวกเจ้าเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรต่อไปเจ้าห้ามรังแกนางอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
โม่เยว่รับคำแต่โดยดี
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
โม่จงหรานลุกขึ้นยืนจากด้านหลังโต๊ะ เดินสองสามก้าวอยู่ในห้อง
เขาเดินไปถึงข้างหน้าต่าง มองดวงตะวันสูงเด่นส่องแสงอยู่ด้านนอก ก่อนจะหันไปมองโม่เยว่ ขมวดคิ้ว “เรื่องในวันนี้ เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้า”
“ข้ามาขอประทานอภัยจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่ลุกขึ้น เลิกชุดผ้าไหมคุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างเป็นระเบียบ
“หือ?”
โม่จงหรานยืนนิ่ง เลิกคิ้วมองเขา “เจ้ามายอมรับผิดอะไรกับข้า”
“หม่อมฉันไม่ได้สืบรู้ที่อยู่ของเสวียนซันเซียนเซิง และไม่เคยพบเสวียนซันเซียนเซิงพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ล้วนเป็นการหลอกหลิวต้าเหวิน ดังนั้นจึงเท็จทูลเสด็จพ่อด้วย”
โม่เยว่เอ่ยอย่างจริงจัง
ทว่าเรื่องนี้โม่จงหรานกลับไม่เหนือคาดแม้แต่น้อย
เสวียนซันเซียนเซิงเป็นคนเช่นไร
หากหาพบได้ง่ายอย่างนั้น…
เกรงว่าคงขนานนามว่าผู้สูงส่งละทิ้งทางโลกไม่ได้แล้ว!
ตอนที่อยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง พอโม่เยว่บอกว่าเคยพูดคุยกับเสวียนซันเซียนเซิงเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กนี่กำลังโกหก
แต่กลับไม่ได้เปิดโปง
หนึ่งคือทุกคนกำลังมองดูอยู่ ต้องคำนึงถึงหน้าตาของบุตรชาย
สองคืออยากจะดูสิ ว่าโม่เยว่คิดจะทำอะไรกันแน่
โม่จงหรานจ้องเขาเขม็ง มิได้กล่าววาจา
อยู่นานจึงหัวเราะเบาๆ “ลุกขึ้นมาพูด!”
เขาตบบ่าของโม่เยว่เบาๆ “นี่ก็คือที่เรียกว่าการศึกมิแหนงหน่ายคำโกหก! บางครั้งคำโกหกก็คือมีดสองคม เปิดโปงความเท็จของอีกฝ่ายหรือจะเสริมความเท็จของอีกฝ่ายก็ได้”
“วันนี้แม้บอกว่าเจ้าโกหกข้า แต่ก็ได้กระชากหน้ากากของหลิวต้าเหวิน หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าต้องเป็นกบในกะลา”
“เจ้ามีความคิดเช่นนี้ได้ มีท่าทางของข้าในวัยหนุ่มหลายส่วนมาก”
นี่นับเป็นการชมเชยเขาอย่างใหญ่หลวง!
“ข้าไม่ได้ยกค่ายเสินจีให้เจ้าฝึกเปล่าจริงๆ ยังมีนังเด็กหว่านหนิงนั่นอีก ปีนั้นที่ข้าประทานสมรสให้พวกเจ้า ก็เป็นการเลือกที่ปราดเปรื่องที่สุดเหมือนกัน”
โม่จงหรานเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ ถอนหายใจเบาๆ “ระยะนี้เจ้าทำให้ข้าต้องดูเจ้าเสียใหม่”
“แต่งภรรยามาเป็นแม่ศรีเรือน หว่านหนิงสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว”
พูดไปพูดมาก็ยังพูดถึงหยุนหว่านหนิง
โม่เยว่กระตุกมุมปากนิดๆ
เสด็จพ่อคงไม่จับเขามาสั่งสอนอีกยกกระมัง
ดีที่ไม่นานโม่จงหรานก็เปลี่ยนเรื่องพูด “คนที่อยู่เบื้องหลังหลิวต้าเหวินก็คือเจ้าสามกระมัง”
“ทูลเสด็จพ่อ เรื่องนี้หม่อมฉันไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่ก็…มั่นใจเก้าในสิบส่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้ายังมิพูดให้เปลืองน้ำลายอีกหรือ”
โม่จงหรานเหล่มองเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากว่าร้ายเจ้าสามต่อหน้าข้า แต่ผิดก็คือผิด!”
“หว่านหนิงพูดได้ถูกต้อง ถ้ารู้ว่าผิดก็ต้องยอมรับอย่างกล้าหาญ”
เขาหันกลับไป “เจ้าสามคนนี้ ตอนนี้นับวันจะยิ่งออกนอกลู่นอกทางใหญ่แล้ว”
“ถ้ายังไม่สั่งสอนอีก กลัวแต่จะยิ่งถลำลึก!”
โม่จงหรานมองเขาด้วยความหมายลึกซึ้ง “เจ้าอย่าได้ริอ่านเลียนแบบเจ้าสามเป็นอันขาด!”
…
ภายใต้การบอกเป็นนัยครั้งแล้วครั้งเล่าของโม่จงหราน โม่เยว่จึงไปที่ตระกูลกู้
ไหนเลยจะรู้ว่าวันนี้ไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย หยุนหว่านหนิงไม่อยู่
แต่เขากลับเจอหยวนเป่า เจ้าเด็กนี่ยังหยิ่งเหมือนเดิม พอเห็นเขาแล้วแม้แต่จะเรียกว่า ‘พ่อเก๊’ ก็ไม่เรียกแล้ว เพียงแต่หันหลังกลมดิกใส่เขา
โม่เยว่จนปัญญา จึงได้แต่จากไป
ช่วงนี้หยุนหว่านหนิงออกเช้ากลับค่ำ เส้นทางไม่แน่ชัด
แม้แต่พวกกู้ป๋อจ้งก็ไม่รู้ว่านังเด็กนี่ไปทำอะไรกันแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน กู้ป๋อจ้งจึงรออยู่ปากประตูแต่เช้า และดักพบนางที่กำลังจะออกบ้านพอดี
“เจ้าเด็กนี่ทำอะไรกันแน่ ลับๆ ล่อๆ ทั้งวัน ไม่เห็นแม้แต่เงา”
ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ขอบฟ้ามีเส้นแสงสีทองสายหนึ่ง ข้างหูมีเสียงไก่ขับขาน
หยุนหว่านหนิงมองกู้ป๋อจ้งที่ขวางอยู่ตรงปากประตู หัวเราะแห้ง “ท่านตา ท่านก็ตื่นเช้าขนาดนี้หรือเจ้าคะ นี่คือจะออกกำลังกายตอนเช้าหรือ”
“ออกกำลังกายยามเช้า?”
กู้ป๋อจ้งแสดงออกว่างงมาก
“ใช่แล้ว ออกกำลังกายยามเช้า! ท่านมีอายุแล้ว สมควรออกกำลังกายยามเช้า ดีต่อสุขภาพ หรือว่า ข้าจะสอนท่านรำไทเก๊กหนึ่งชุดกระบวนดีหรือไม่”
กล่าวจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ หยุนหว่านหนิงก็คว้ามือของเขาแล้วพาไปยังสวนหลังเรือน
เมื่อรำไทเก๊กจบหนึ่งชุดกระบวน กู้ป๋อจ้งก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
“ไทเก๊กนี่ไม่เลว ต่อไปข้าจะตื่นแต่เช้ามารำหนึ่งชุดกระบวน”
“ดี! ท่านตา ท่านต้องทำทุกวันนะเจ้าคะ!”
หยุนหว่านหนิงตบบ่าเขาราวกับเป็นสหายสนิท “ต้องทำทุกวันจึงจะเป็นคนแก่ที่มีกำลังวังชาได้!”
เมื่อเห็นท้องฟ้าสว่างโร่ หยุนหว่านหนิงก็เผ่นแนบ
ครั้นนางไปไกลแล้ว กู้ป๋อจ้งจึงเก็บมือ เอ่ยอย่างความรู้สึกช้า “ไม่ถูก! ข้าจะขวางนังเด็กนั่นไม่ใช่หรือ ทำไมถูกนางหลอกอีกแล้วเล่า”
แต่หยุนหว่านหนิงไปไกลไม่เห็นเงาแล้ว กู้ป๋อจ้งจึงได้แต่ส่ายหน้ากลับห้องล้างหน้าบ้วนปาก เตรียมกินอาหารเช้า
จากนั้นก็สอนหนังสือหยวนเป่า
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หยุนหว่านหนิงก็ออกจากเมืองหลวงแล้ว
ไม่รู้ว่านางเอาม้ามาจากไหน เมื่อออกจากเมืองหลวงก็ห้อตะบึงไปตามถนนหลวง ไม่นานก็ทิ้งเมืองหลวงอยู่ด้านหลังลิบๆ
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ หยุนหว่านหนิงก็มาถึงเชิงเขาสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง…