อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 155 เต๋อเฟยมาเยือน
“ท่านตามข้าลงเขา”
หยุนหว่านหนิงลุกขึ้นยืน ในมือยังกุมมีดทำครัวที่ฆ่าปลาอยู่
มองใบมีดฝั่งที่คมเอ่ยกับเขา…เสวียนซันเซียนเซิงถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างหวงแหนในชีวิต หัวเราะ “เหอะๆๆ” “เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้ากระมัง”
เขาไม่ได้ลงเขามาหลายสิบปีแล้ว แต่นางกลับจะให้เขาลงเขาเนี่ยนะ?!
“ลงไปทำอะไร”
“ลงไปให้ท่านชิมอาหารเลิศรสมากกว่านี้อย่างไรเล่า”
หยุนหว่านหนิงทำหน้าจริงจัง
หลังจากรู้จักมักจี่กับนางครึ่งเดือนกว่า เสวียนซันเซียนเซิงยังไม่รู้นิสัยใจคอของนังเด็กหน้าเหม็นคนนี้อีกหรือ!
ยิ่งนางทำหน้าจริงจัง ในใจก็ยิ่งเป็นแผนการร้าย
หากเขย่าตัวนาง ย่อมได้ยินเสียงน้ำเสียในใจนางกำลังเดือด ‘ปุดๆๆ’!
เสวียนซันเซียนเซิงมองนางด้วยความระแวดระวัง “อย่าเห็นข้าอย่างนี้แล้วจะมาหลอกข้านะ! อย่าคิดหลอกข้าลงเขา จะเอาข้าไปขายละสิ”
ครั้นเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของนางแล้ว เรื่องพรรค์นี้จึงเป็นไปได้มากที่สุด!
“จะเป็นไปได้อย่างไร”
หยุนหว่านหนิงกะพริบตาปริบๆ แย้มยิ้มจริงใจ “ท่านคือเสวียนซันเซียนเซิง เชียวนะ ใครจะขายท่านได้”
“แต่ข้าไม่เคยลงเขา ไม่รู้ความวุ่นวายร้ายกาจของคนที่อยู่ข้างล่างนั่น”
ไม่เคยลงเขา?
งั้นก็พอดีเลย!
จะได้สะดวกขายเขาใน ‘ราคาสูง’
หยุนหว่านหนิงหัวเราะ ล้วงอู่เหลียงเย่(*หนึ่งในเหล้าขึ้นชื่อของจีน) “เช่นนั้นข้าซื้อท่านก่อนแล้วกัน นี่คือค่ามัดจำ! ขอเพียงท่านลงเขากับข้า ส่วนหลังจะยิ่งงาม!”
นางเปิดฝาขวด
ปลายจมูกเสวียนซันเซียนเซิงขยุกขยิก
กลิ่นหอมของสุราโชยมาเตะจมูกเขา เสวียนซันเซียนเซิงประหนึ่งแมวเฒ่าจอมตะกละที่ได้กลิ่นคาวปลา เขาอยากดื่มจนเดินหน้าไปสองสามก้าว
“เป็นอย่างไร”
หยุนหว่านหนิงพลันเก็บอู่เหลียงเย่ยัดเข้าช่องว่าง
คราวนี้ เสวียนซันเซียนเซิงไม่ได้แม้แต่จะเห็นหรือคลำ จะแย่งก็ไม่รู้ว่าจะแย่งจากแห่งหนใด!
เขาอยากดื่มจนทำหน้าขึง “สุราเล่า”
“แล้วจะรับปากหรือไม่”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วมองเขา
“นังเด็กนี่ แกล้งข้าหรือ”
“รับปากหรือไม่”
หยุนหว่านหนิงเพียรจะเป็น ‘เครื่องอ่านทวน’
เสวียนซันเซียนเซิงจนด้วยหนทาง “เจ้าให้ข้าคิดดูก่อน”
“ข้าจะให้เวลาท่านครึ่งชั่วยาม”
หยุนหว่านหนิงหมุนตัวเข้ากระท่อม จุดไฟย่างปลาให้เขา “ครึ่งชั่วยามให้หลังท่านต้องให้คำตอบกับข้า มิเช่นนั้นวันนี้จะเย็นเกินไป ข้าจะลงเขาไม่ได้”
เสวียนซันเซียนเซิงหน้านิ่วคิ้วขมวดนั่งอยู่บนก้อนหิน
มองควันไฟพวยพุ่ง ไก่ เป็ด ห่านร้อง “ก๊าบๆๆ” “กะต๊ากๆๆ” ดังระงม หัวคิ้วย่นยู่
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หยุนหว่านหนิงยกปลาที่ย่างเสร็จออกมา “ชิมรสชาติดู?”
วันนี้นางทำแกงปลาผักกาดดอง กลิ่นเปรี้ยวเผ็ดนั้นทำเสวียนซันเซียนเซิงอยากกินจนกลืนน้ำลายลงคอ
“ไตร่ตรองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“เจ้าให้เวลาข้าคิดอีกคืน! รับรองว่าพรุ่งนี้พอเจ้ามา ข้าจะให้คำตอบที่เจ้าพอใจ เป็นอย่างไร”
หยุนหว่านหนิงกลอกตาขาว “เซียนเซิงก็รู้จักแสร้งปล่อยเพื่อจับหรือ”
“ก็เรียนมาจากเจ้า”
เสวียนซันเซียนเซิงหยิบตะเกียบเริ่มกินปลา มอบตาขาวให้นางทีหนึ่ง “เดิมทีข้าคือผู้สูงส่งละทิ้งทางโลก ไม่สนใจเรื่องภายนอกคนหนึ่ง แต่กลับถูกเจ้าพาออกนอกลู่นอกทางเสีย!”
หยุนหว่านหนิง “อย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ท่านค่อยๆ กินนะ”
“ถึงตอนนั้นถ้าถูกก้างปลาทิ่มคอ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”
กล่าวจบ นางก็ล้างมือแล้วเตรียมลงจากภูเขา
ทว่ายามนี้เองก็ได้ยินเสวียนซันเซียนเซิง “อ้า” ทีหนึ่ง ทิ้งตะเกียบในมือ
เขากุมลำคอ จ้องหยุนหว่านหนิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“ไม่กระมัง ก้างปลาติดคอจริงหรือ!”
เสวียนซันเซียนเซิงพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ที่ลำคอตัวเองไม่หยุด พยักหน้าบ่งบอกว่าความหมายเช่นนั้นแหละ
หยุนหว่านหนิงรีบเดินย้อนกลับมา แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็เห็นลูกคอของเขาไหลลงไป…เสวียนซันเซียนเซิงพรูลมยาว “น่ากลัว! ก้างปลาเล็กๆ น่ากลัวจริงๆ!”
“ท่าน ท่านกลืนก้างปลาลงไปแล้ว?!”
หยุนหว่านหนิงฉายสีหน้าอย่างมองสัตว์ประหลาด
“อื่อ”
เสวียนซันเซียนเซิงผงกศีรษะ จากนั้นก็กินคำใหญ่ต่อ
หยุนหว่านหนิงตะลึงหลายชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆ ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น “ท่านเจ๋ง!”
เห็นสีของท้องฟ้าจะเย็นแล้ว นางหันตัวลงภูเขาทันที
ที่ภูเขาค่ำเร็วกว่าเมืองหลวง
เมื่อถึงยามราตรี ที่นี่นอกจากดวงดาราจะเกลื่อนท้องฟ้า ก็คือท่ามกลางป่าทึบยื่นมือไม่เห็นห้านิ้ว
หยุนหว่านหนิงต้องเร่งลงภูเขาก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า มิเช่นนั้นน่ากลัวว่าจะพบกับสัตว์ร้ายอะไร หรือไม่ก็ล้มตกลงไปจากเส้นทางภูเขาอันสูงชัน เช่นนั้นจะอันตราย
นางเร่งฝีเท้าไม่หยุด ขณะที่ตะวันลับขอบฟ้าก็ปรากฏตัวอยู่บนถนนหลวงแล้ว
หยุนหว่านหนิงผิวปากทีหนึ่ง ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบถ้วยชา อาชาสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
อาชาตัวนี้ ก็คือตัวที่พานางมาเมื่อตอนเช้านั่นเอง
“เจ้าม้าเด็กดี”
หยุนหว่านหนิงลูบหัวของมัน พลิกตัวขึ้นบนม้า จากนั้นก็ไปแบบไม่ทิ้งฝุ่น
ถึงเมืองหลวงในสองชั่วยามให้หลัง
เมืองหลวงแขวนโคมไฟนานแล้ว ตลาดกลางคืนเริ่มแล้ว
หยุนหว่านหนิงเข้าประตูตระกูลกู้ด้วยความรีบร้อน แต่เพิ่งเข้าไปก็เห็นหยวนเป่าหลบอยู่หลังประตูรอนางกลับมา
พอเห็นนางลงจากม้า หยวนเป่าก็ย่างเท้าสั้นๆ วิ่งไป “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้ามาบอกข่าวกับท่าน! เต๋อเฟยมาแล้ว ตอนนี้กำลังรำไทเก๊กกับท่านตาทวดอยู่!”
“หืม?”
หยุนหว่านหนิงฉงนสนเท่ห์ “เต๋อเฟย? รำไทเก๊ก?”
“ถูกต้อง!”
หยวนเป่าตบหน้าอก สีหน้ายังหวาดกลัว “ยังดีที่เมื่อกี้ข้าหนีได้เร็ว ไม่อย่างนั้นต้องถูกนางเห็นเข้าแล้ว!”
ถ้าเต๋อเฟยเห็นหยวนเป่า ต้องรู้ในทันทีแน่ ว่าเจ้าเด็กนี่ก็คือหลานชายสุดที่รักของนาง
หยวนเป่าช่างมีไหวพริบดี
พอได้ยินคนรับใช้บอกว่าเต๋อเฟยเหนียงเหนียงมา เขาก็ถอนเท้าโกยอ้าวทันที
กู้ป๋อจ้งและกู้หมิงต่างรู้ว่า ตอนนี้หยุนหว่านหนิงยังไม่อยากให้พวกเต๋อเฟยรู้การมีอยู่ของหยวนเป่า ดังนั้นจึงไม่ได้ห้าม
นี่อย่างไร หยวนเป่ามาเฝ้าที่ปากประตู บอกข่าวกับหยุนหว่านหนิง
“ดี ข้ารู้แล้ว”
หยุนหว่านหนิงจุ๊บๆ ใบหน้าของเขา “เจ้ากลับห้องก่อน ข้าจะไปพบนางสักหน่อย”
หยวนเป่าพยักหน้า
แต่เขาเดินไปได้สองสามก้าวก็หันมามองนางอีก ดวงตาโตเต็มไปด้วยความซับซ้อน “ท่านแม่ ถ้านางมาพูดดีแทนพ่อเก๊ เกลี้ยกล่อมให้ท่านกลับจวนอ๋อง…”
“ท่านก็กลับไปเถอะ!”
โม่เยว่พยายามทอดสะพานมาหลายต่อหลายครั้ง แต่หยุนหว่านหนิงก็ไม่เดินมาหา
คืนนี้เต๋อเฟยมาด้วยตนเอง…
สุดท้ายแล้วหยวนเป่าก็ไม่อยากให้หยุนหว่านหนิงบาดหมางกับโม่เยว่ต่อ
“พวกท่านทำสงครามประสาทกันอย่างนี้ หาใช่หนทางไม่!”
พอหยุนหว่านหนิงเห็นท่าทางจะพูดแต่ก็ไม่พูดของบุตรชายแล้วก็ปวดใจ
นางเดินไปกอดเขา “ได้ ข้ารู้แล้ว! เจ้าห้ามคิดมาก ข้าไม่เป็นไร ถ้านางมาเพื่อพูดดีๆ จริง พรุ่งนี้เราก็กลับจวนอ๋อง”
“รู้แล้ว! ท่านแม่!”
เมื่อนั้นหยวนเป่าจึงดีใจกระโดดโลดเต้น
เขาเขย่งเท้าจุ๊บหยุนหว่านหนิงทีหนึ่ง แล้วจึงเดินจากไปอย่างเริงร่า
อย่างไรก็คือเด็ก
ห่างจากโม่เยว่นานขนาดนี้…แม้เขาจะไม่รับโม่เยว่ท่านพ่อคนนี้ แต่ในใจกลับนึกถึงเขา
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง
เพื่อบุตรชาย ต่อไปนางจะไม่ทำสงครามประสาทกับโม่เยว่อีก
แต่ไหนมานางเป็นคนที่ถูกกลั่นแกล้งต้องเอาคืน มีแค้นต้องชำระทันที แต่กับโม่เยว่แล้ว กลับต่างออกไป ยอมทำสงครามประสาท ไม่ปรารถนาเอาคืนทันที
แค่คิดก็รู้ว่าแบบนี้จะทำร้ายบุตรชาย
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เก็บความฟุ้งซ่านที่มีอยู่เต็มหัว หันตัวเดินไปทางห้องโถง
ไหนเลยจะรู้ พอถึงที่นั่นก็ได้ยินเสียงไม่พอใจของเต๋อเฟยดังมา “ท่านอย่าปิดบังแทนนาง! คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่านางออกไปทำอะไร”