อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 163 อยากคลอดลูกให้ท่านอ๋อง
จื่อซูช่วยประคองฉินซื่อเสวีย สองคนนายบ่าวเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
แม่นมมาพาเด็กทั้งสองคนออกไปแล้ว จื่อซูมองไปข้างนอกอย่างระแวดระวัง หลังจากปิดประตูแล้ว ก็เดินสาวเท้าเร็ว ๆ ไปที่เตียงกุ้ยเฟย “พระชายา”
“หลายเดือนมานี้ ท่านไม่ได้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีเลยนะเจ้าคะ”
สีหน้าของนางดูเป็นกังวลมาก “ถ้าอย่างไร ให้ข้าน้อยเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการให้ท่านสักหน่อย ถ้าสาเหตุของโรคหายไป…..”
“ท่านกับท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่ายังพยายามที่จะมีคุณชายน้อยด้วยกันอยู่หรือเจ้าคะ?”
สีหน้าของฉินซื่อเสวียค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“ข้าก็อยากมีลูกชายกับท่านอ๋องสักคน แต่เพราะเรื่องนั้น หมอหลวงบอกว่ามันทำร้ายร่างกายข้าจนถึงแกนสำคัญไปแล้ว เกรงว่าหลังจากนี้ข้าคงยากที่จะตั้งครรภ์ได้อีก!”
นางกัดฟันกรอด พูดอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจว่า “แม้ว่าข้าจะเดิมพันถูกแล้ว แต่กลับสูญเสียคุณสมบัติที่จะได้เป็นแม่อีก!”
เมื่อเห็นว่านางโกรธมาก จื่อซูก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
การแท้งครั้งนั้นของฉินซื่อเสวีย แท้จริงแล้วมันคือการเดิมพันสนามหนึ่ง
การขโมยป้ายคำสั่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
ถ้าพูดให้น่าเกลียดหน่อย ก็คือนางทรยศโม่หุยเฟิง
ต่อให้โม่จงหรานกับฮองเฮาจ้าวจะปล่อยนางไป แต่ถ้าโม่หุยเฟิงกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ เขาไม่มีทางปล่อยให้นางมีชีวิตรอดต่อไปแน่!
ดังนั้น นางจึงต้องงัดลูกไม้นี้ออกมาสู้จนถึงที่สุด
“เจ้าคงยังจำวันนั้นที่ข้ากลับจวนเซี่ยง แล้วถูกตรวจร่างกายพบว่ากำลังตั้งครรภ์ได้สินะ?”
“ข้าน้อยจำได้เจ้าค่ะ”
จื่อซูพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“อันที่จริงแล้ว ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่ปิดบังเจ้าอยู่”
ฉินซื่อเสวียเงยหน้าขึ้น จ้องมองจื่อซูอย่างลึกซึ้ง “เรื่องนี้ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยบอกใครเลย ไม่ใช่เพราะข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่เพราะกลัวว่าจะพลอยลากเจ้าเข้ามาลำบากไปด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของจื่อซูก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “พระชายา…..”
“พระชายา ข้าน้อยมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนของท่าน ตายไปก็เป็นผีของท่าน! ข้าน้อยดูแลรับใช้ท่านมานานหลายปี ชีวิตนี้ล้วนเป็นของท่านนะเจ้าคะ!”
บางทีนางอาจคิดไม่ถึงว่า ฉินซื่อเสวียจะสนใจความเป็นความตายของนางมากขนาดนี้
ชั่วขณะนั้น จื่อซูรู้สึกซาบซึ้งใจจนร้องไห้น้ำตานองหน้า
เมื่อเห็นดังนั้น แววตาของฉินซื่อเสวียก็ปรากฏประกายมืดมนขึ้นมาสายหนึ่ง
เพียงไม่นาน นางก็ยกมุมปากขึ้นสูง “ข้าย่อมรู้ซึ้งถึงความจงรักภักดีของเจ้าอยู่แล้ว!”
“ที่จริงหมอหลวงก็บอกข้าไว้นานแล้วว่า เด็กในท้องของข้าคนนี้เกรงว่าอาจจะไม่ได้เกิด”
ตอนแรกที่ตรวจพบว่าตั้งครรภ์ เพิ่งจะมีอายุครรภ์ได้แค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าเดือนกว่า ๆ ย่อมดูอะไรไม่ออก แต่แผนการร้ายของฉินซื่อเสวีย ก็ได้ก่อตัวขึ้นในใจของนางเรียบร้อยแล้ว
นางตั้งใจที่จะใช้เด็กคนนี้ เป็นเครื่องมือช่วยให้นางมีโอกาสพลิกชีวิตใหม่
ต่อให้ขโมยป้ายคำสั่งไป พวกโม่หุยเฟิงก็จะไม่มีทางทำอะไรนางแน่ ในทางกลับกัน นางยังสามารถใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปในจวนอ๋องหมิงได้
ใครจะรู้ว่า เด็กคนนี้เดิมทีก็ไม่มีโอกาสได้เกิดอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งลงมือทำได้อย่างไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว
ต่อให้ฮองเฮาจ้าวสั่งคนลงโทษโบยตีนางด้วยไม้กระดาน แต่โม่จงหรานกับโม่หุยเฟิงก็ไม่มีทางปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่
โชคยังดี ที่นางแท้งลูกจนได้
พวกฮองเฮาจ้าวก็จะคิดแค่ว่า เป็นเพราะการลงโทษโบยครั้งนั้นที่ทำให้นางแท้งลูก แต่ไม่มีใครรู้ว่าฉินซื่อเสวียอาศัยการลงโทษโบยครั้งนี้ จึงทำให้ตัวนางรอดพ้นจากความตายมาได้
แม้ว่าเด็กจะตายไปแล้ว แต่ในใจของพวกฮองเฮาจ้าวก็จะเกิดความรู้สึกผิดต่อนาง รวมถึงรู้สึกผิดต่อลูกในท้องที่ไม่ได้เกิดมาคนนั้นด้วย
“ถ้าหากว่าเด็กคนนั้นคลอดออกมาไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษไปได้แน่”
ในราชวงศ์ ไม่ว่าเจ้าจะอยากหรือไม่อยากคลอดลูก ลูกที่คลอดออกมาเป็นอย่างไร ล้วนไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าเป็นคนตัดสินใจ
“ไม่สู้ใช้การลงโทษโบยครั้งนี้ มาทำให้พวกเขาคิดว่าเด็กคนนั้น เป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์จะดีกว่า วิธีนี้ยังช่วยคุ้มครองข้าได้หมดทุกด้าน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นผลดีด้วยกันถึงสองฝ่ายหรอกหรือ?”
ติดที่ว่าฉินซื่อเสวียคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่า นางจะบาดเจ็บหนักจนถึงแกนสำคัญของร่างกาย ทำให้ยากที่นางจะตั้งครรภ์ได้ใหม่ในอนาคต
“ในเมื่อยากที่จะตั้งครรภ์ได้ใหม่แล้ว ตอนนี้ข้าจึงมีปัญหาใหญ่ถึงสองข้อ”
ฉินซื่อเสวียมองจื่อซูอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองข้อไหน?”
จื่อซูครุ่นคิดอย่างละเอียด “หนึ่งในนั้น น่าจะเป็นคุณหนูรองหยุน?”
“ถูกต้อง”
ฉินซื่อเสวียพยักหน้า “ตั้งแต่ท่านอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง ยิ่งนับวันนางก็ยิ่งเข้า ๆ ออก ๆ จวนอ๋องหยิงบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังมีท่าทีที่โจ่งแจ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานในวังคงจะรู้เรื่องนี้แน่”
นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไปแล้ว
และโม่หุยเฟิงก็ยังไม่มีลูกชาย
ไม่ว่าจะเป็นพระชายารองหรืออนุ หยุนธิงหลานก็เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม!
“ท่านอ๋องเอ็นดูหยุนธิงหลานถึงขนาดนั้น ถ้านางได้เข้าจวนอ๋องหยิงจริง ๆ ….. น่ากลัวว่าในอนาคตจากนี้ ข้าคงไม่หลงเหลือทางรอดแน่แล้ว!”
ส่วนปัญหาข้อที่สอง……
ดวงตาของฉินซื่อเสวียมืดมน “สถานการณ์ย่ำแย่ที่ท่านอ๋องเผชิญอยู่ตอนนี้ บวกกับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อให้ตอนนี้ท่านอ๋องจะล้มป่วยอยู่ แต่ถ้ารอจนอาการป่วยของเขาเริ่มฟื้น น่ากลัวว่าคงไม่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดแน่!”
โม่หุยเฟิงเกิดเรื่องร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อคิดดูแล้วตัวการที่ก่อให้เกิดเรื่องพวกนี้ก็คือนางนั่นเอง!
“ท่าทีของท่านอ๋องที่มีต่อข้าในช่วงนี้ เจ้าเองก็ได้เห็นแล้วสินะ”
หากยังไม่รีบคิดมาตรการอะไรมารับมือล่ะก็…..
เกรงว่าสิ่งที่ฉินซื่อเสวียจะได้เผชิญต่อจากนี้ คือหนทางตายสถานเดียวแล้วจริงๆ!
สีหน้าของจื่อซูถึงกับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาออกแล้ว
นางถามอย่างร้อนใจว่า ” พระชายา แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
“ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ก็คือกำจัดหยุนธิงหลาน”
ฉินซื่อเสวียมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เห็นว่าสีหน้าของจื่อซูพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว ก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงอธิบายไปว่า “ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะฆ่านางหรอก”
โม่หุยเฟิงยังอยู่ในจวนอ๋องหยิงนะ
ถ้านางฆ่าหยุนธิงหลาน ไม่ว่าแผนการของนางจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ก็ยังหลงเหลือร่องรอยไว้ให้ตามสืบได้
เมื่อถึงเวลานั้น มีหรือที่โม่หุยเฟิงจะปล่อยนางไป? !
“ความหมายของข้าคือ ในเมื่อนางคือแก้วตาดวงใจของท่านอ๋อง นางต้องเค้นสมองคิดหาทุกวิถีทาง เพื่อที่จะคลอดลูกให้กับท่านอ๋องให้ได้แน่ ๆ”
ไม่สำคัญว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ขอแค่หยุนธิงหลานคลอดลูกให้โม่หุยเฟิงได้จริง ๆ วันเวลาที่นางจะได้เข้ามาในจวนอ๋องหยิง ก็นับว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!
“สิ่งที่ข้าจะทำ ก็คือทำลายความใฝ่ฝันของนางให้ย่อยยับ!”
จู่ ๆ ฉินซื่อเสวียก็ขว้างถ้วยชาในมือทิ้งไป
เสียงที่คมชัดดังขึ้นในห้อง สีหน้าของนางน่าเกลียดจนชวนสยดสยอง “นางอยากเป็นผู้หญิงของท่านอ๋อง ข้าย่อมห้ามไม่ได้ ต้องปล่อยให้นางสมดังปรารถนา!”
“แต่ถ้านางอยากคลอดลูกให้ท่านอ๋อง…..”
“เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็อย่าได้คิดที่จะคลอดลูกให้ท่านอ๋องทั้งนั้น!”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดุร้ายของฉินซื่อเสวีย จื่อซูก็ถึงกับสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว “พระชายา แล้ว…แล้วท่านวางแผนว่าจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน”
ฉินซื่อเสวียค่อย ๆ ปรับสีหน้าของตัวเองให้สงบลงอย่างช้า ๆ แค่นเสียงหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ท่านอ๋องยังนอนป่วยอยู่นะ อย่างไรก็รักใคร่แนบชิดนางไม่ได้หรอก”
ดังนั้น หยุนธิงหลานในตอนนี้ย่อมไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
นางยังมีทั้งเวลาและโอกาส ที่จะทำให้นังหัวขโมยแพศยานั่นต้องแบกรับผลที่ตามมา!
เวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ฉินซื่อเสวียกับจื่อซูตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมามีสติรู้ตัว
จื่อซูก้าวขึ้นไปเปิดประตู “ใครน่ะ?”
“พี่จื่อซู คุณหนูรองหยุนมาแล้ว ท่านอ๋องบอกว่า คุณหนูรองหยุนยังไม่ได้กินมื้อกลางวันเลย ให้พระชายาไปสั่งในครัวเตรียมอาหารมาให้พร้อม”
สาวใช้คนหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงขลาด ๆ
สีหน้าของจื่อซูไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังโบกมือกลับไป “เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
นางปิดประตูอีกครั้ง “พระชายา…..”
“ข้าได้ยินทั้งหมดแล้ว”
ใบหน้าของฉินซื่อเสวียไร้ความรู้สึก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เห็น “เจ้าฟังสิ ท่านอ๋องเอ็นดูนางตั้งขนาดไหน? ถึงกับสั่งให้ข้าที่เป็นพระชายา ไปปรนนิบัตินางกินข้าวเลยเชียวหรือ?”
จื่อซูก็พร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรมที่พระชายาของนางได้รับด้วย
แต่น้ำเสียงของฉินซื่อเสวียกลับราบเรียบมาก ฟังดูไม่เหมือนว่านางกำลังโกรธเลย
ตรงกันข้าม คิ้วของนางกลับหยักยกขึ้นในทำนองที่คล้ายจะลำพองใจน้อย ๆ ด้วยซ้ำ “เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดว่าอย่างไรนะ?”
“นี่ไม่ใช่ว่า โอกาสมาส่งให้ถึงหน้าประตูเลยหรอกรึ?”
แววตาของจื่อซูหดเกร็ง “พระชายา ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“ไปเถอะ ไปสั่งให้ในครัวเตรียมอาหารที่คุณหนูรองหยุนชอบกินที่สุด”
ฉินซื่อเสวียลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบซองยาซองหนึ่งออกมาจากข้างในแล้วยื่นให้นาง “จำไว้ด้วยล่ะ ว่าอาหารที่เตรียมไว้ให้คุณหนูรองหยุนจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด!”
“ทุกอย่างล้วนอยู่ในมือเจ้าแล้ว!”