อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 164 ท่านอ๋อง ท่านนิสัยไม่ดีเลย
เมื่อเห็นท่าทางและคำพูดที่แฝงความหมายของฉินซื่อเสวียแล้ว……
จื่อซูก็เข้าใจได้ทันที ว่ายาที่อยู่ในมือซองนั้นมันคืออะไร
ดูเหมือนว่าพระชายาจะคิดมาตรการตอบโต้ ทั้งยังเตรียมการทุกอย่างเอาไว้จนพร้อมนานแล้ว ไม่ใช่ความคิดแบบชั่ววูบ
จื่อซูรับยานั้นมา สองมือสั่นเทาเล็กน้อย
แต่พอคิดว่านางกับฉินซื่อเสวียต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากหยุนธิงหลานเข้าจวนมา แล้วได้รับความโปรดปราน จากนั้นก็ตั้งครรภ์ นั่นหมายความว่าพระชายาของนางจะสูญสิ้นความโปรดปรานไปจนหมดอย่างแน่นอน
ไม่สิ หยุนธิงหลานยังไม่ได้เข้าจวนมาเลย
พระชายาของนางก็สูญสิ้นความโปรดปรานไปแล้วเรียบร้อย!
โดนท่านอ๋องเขี่ยทิ้งเหมือนรองเท้าเก่า ๆ คู่หนึ่ง!
มีแค่พระชายาได้เป็นคนโปรดเท่านั้น นางถึงจะสามารถพึ่งพาบารมีของท่านนายใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้
ดังนั้น จื่อซูจึงฝืนกดความหวาดกลัวในใจลงไป แล้วตอบรับด้วยเสียงแผ่วต่ำก่อนจะเดินออกไป
ผ่านไปไม่นาน อาหารกลางวันก็พร้อมแล้ว
หยุนธิงหลานบอกว่าโม่หุยเฟิงไม่สามารถลงมาเดินเหินได้แล้วสั่งให้คนรับใช้ส่งอาหารไปที่ห้องของโม่หุยเฟิง แล้วนางก็มาที่ห้องของโม่หุยเฟิง
ฉินซื่อเสวียจึงบังเกิดโทสะขึ้นมาอีกคำรบ
นางถึงกับเป็นคนยกอาหารไปส่งให้เองถึงในห้อง
“ท่านอ๋อง ต้องการให้ข้าปรนนิบัติท่านกินอาหารหรือไม่เจ้าคะ?”
นางถามอย่างใส่ใจ
“ไม่ต้อง ออกไปซะ! มีหลานเอ๋อร์คอยปรนนิบัติข้าอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอแล้ว”
โม่หุยเฟิงไม่แม้แต่จะมองนางสักแวบ แค่พูดตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋อง”
ความอิจฉาและเกลียดชังในใจของฉินซื่อเสวีย พุ่งโจมตีเข้าสู่หัวใจของนางอย่างบ้าคลั่ง
หยุนธิงหลานพยักหน้าให้นางอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันไปมองโม่หุยเฟิง “ท่านอ๋อง หลานเอ๋อร์คงไม่อาจทำเรื่องเช่นการปรนนิบัติรับใช้ได้! เมื่อสองสามวันก่อนข้าเพิ่งถูกพ่อลงโทษ จนตอนนี้ร่างกายยังไม่หายดีเลยเจ้าค่ะ”
“หรือไม่ ให้หลานเอ๋อร์ใช้ปากป้อนอาหารท่านดีไหมเจ้าคะ?”
“ดีสิ!”
โม่หุยเฟิงยิ้มหน้าระรื่น “ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว”
“ท่านอ๋องล่ะก็ ท่านนิสัยไม่ดีเลย”
หยุนธิงหลานยิ้มอย่างยั่วเย้า ใช้ปากคาบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาจริง ๆ แล้วยื่นส่งไปจนชิดริมฝีปากของโม่หุยเฟิง
โม่หุยเฟิงยื่นตัวมาข้างหน้า ไม่เพียงแต่งับเอาเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากอย่างเดียว แต่ยังฉวยโอกาสจูบริมฝีปากของหยุนธิงหลานด้วย สองคนนี้ถึงกับแสดงความเร่าร้อนกัน ต่อหน้าต่อตาฉินซื่อเสวียเลยทีเดียว!
ถ้าไม่ใช่เพราะโม่หุยเฟิงยังป่วยอยู่ น่ากลัวว่าสองคนนี้คงไม่อาจทนอดกลั้นต่อความเสน่หา พากันปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนล่อนจ้อนไปนานแล้ว!
ฉินซื่อเสวียถึงกับมองตาค้าง!
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยว นางลมหายใจสะดุด แทบจะหมดสติไปเพราะไฟโทสะ
จื่อซูรีบเข้ามาช่วยพยุงนางออกไปทันที
“พระชายา ใจเย็น ๆ ไว้เจ้าค่ะ ใจเย็น ๆ !”
ฉินซื่อเสวียเดินออกประตูไป ไม่สนใจสถานะของตัวเองแล้ว ทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดหินไปเลยตรง ๆ “น่าขยะแขยง! ช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน! ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอะไรอย่างนี้!”
“นี่มันเป็นลูกไม้ยั่วยวนผู้ชายของพวกนางจิ้งจอกในหอคณิกาพวกนั้นไม่ใช่รึ!”
ใครบอกให้โม่หุยเฟิงก็ชอบอะไรแบบนี้พอดีล่ะ?
เพื่อที่จะทำให้โม่หุยเฟิงพอใจ กับทำให้ฉินซื่อเสวียโกรธจนแทบเป็นแทบตายไปเลย หยุนธิงหลานถึงกับโยนศักดิ์ศรีทิ้งไปจนหมดไม่มีเหลือ!
ฉินซื่อเสวียโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “ท่านอ๋องมักจะพูดว่า ข้าอ่อนหวานสดใสเหมือนดอกเบญจมาศ แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่การชมข้า ก็แค่คำชมที่ข้าคิดไปเอง คิดไปเองว่าท่านอ๋องชอบคนแบบข้าที่เป็นอย่างนี้!”
ใครจะรู้ว่า ที่จริงแล้วโม่หุยเฟิงชอบผู้หญิงแบบหยุนธิงหลาน ชอบนางปิศาจจิ้งจอกที่ใจกล้าบ้าบิ่น มีเสน่ห์เย้ายวนแบบนั้น!
ก็แค่นางปิศาจจิ้งจอกเองไม่ใช่รึ?
นางเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่!
ก็แค่เข้าใจเจตนาของโม่หุยเฟิงผิดไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางถึงได้สร้างภาพลักษณ์ที่ “อ่อนโยน เงียบสงบเรียบร้อย” ให้กับตัวเองมาโดยตลอด
เมื่อเห็นว่าพระชายาของนางโกรธมาก จื่อซูก็รีบพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณหนูรองหยุนก็ทำลายสถานะของตัวนางเองจริง ๆ แล้ว”
“เมื่อครู่นี้หัวเราะเสียงกระดี๊กระด๊าเสียขนาดนั้น คนนอกไม่รู้ยังนึกว่าเป็นแม่ไก่แก่ที่ไหนออกไข่เลยนะเจ้าคะ!”
คำพูดประโยคนี้ ทำเอาฉินซื่อเสวียขบขันจนอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
แต่เพียงไม่นาน เมฆหมอกในดวงตาก็มารวมตัวกันอีกครั้ง “นางจงใจยั่วยุให้ข้าโกรธ”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เก็บมาเป็นอารมณ์หรอก วันเวลาของเราจากนี้ยังอีกยาวไกลนัก!”
จื่อซูรีบถามว่า “พระชายา แล้ว ในอาหารพวกนั้น…ท่านอ๋องกินแล้วจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าถามหมอมาแล้ว ยานี้มีผลแค่กับผู้หญิงเท่านั้น ท่านอ๋องเป็นผู้ชาย ถึงจะกินเข้าไปก็ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอก”
ฉินซื่อเสวียแสดงสีหน้าพออกพอใจ “พวกเราค่อย ๆ เพิ่มเข้าไปทีละนิด เท่านี้ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเงียบเชียบไม่มีใครรู้แล้ว….”
นางหันมองกลับไปที่ประตูที่ปิดสนิทอยู่แวบหนึ่ง มีเสียงกระเง้ากระงอดของหยุนธิงหลานดังแว่วออกมาเบา ๆ จากข้างในว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังป่วยอยู่นะเจ้าคะ อย่าเพิ่งซุกซนสิ….”
สองมือของฉินซื่อเสวียกำแน่น
ต่อให้หยุนธิงหลานเกิดนึกสงสัยขึ้นมา นางก็สามารถกินอาหารเหล่านั้นต่อหน้าอีกฝ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน!
เพราะถึงอย่างไร นางก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้กินอาหารเหล่านั้นเข้าไป สถานการณ์ก็ไม่มีทางจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ได้แล้ว!
ขอแค่นางสามารถโค่นล้มหยุนธิงหลานได้!
……
หลิวต้าเหวินถูกตัดหัวแล้ว
ตอนที่โม่เยว่ออกมาจากตำหนักหย่งโซ่ว บังเอิญเห็นหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์พาตัวเขาไปที่ลานประหารพอดี
เขาไม่ได้หยุดดูต่อ รีบร้อนออกจากวังทันที
ซ่งจื่ออวี๋ไม่ได้อยู่ในจวน ส่วนหยุนหว่านหนิงกำลังอาบแดดอยู่ที่ระเบียง
การตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อไปส่งหยวนเป่าไปบ้านตระกูลกู้ ได้กลายเป็นความเคยชินของนางไปแล้ว ช่วงแรก ๆ หยุนหว่านหนิงยังไม่ชินกับวันเวลาที่ไม่มีลูกชายอยู่เคียงข้าง แต่พอนานเข้าก็เริ่มชินกับมันบ้างแล้ว….
รู้สึกแค่ว่า ช่างสงบเงียบจริง ๆ!
นางอยากจะทำอะไรก็ทำอันนั้น!
“ซ่งจื่ออวี๋ล่ะ?”
โม่เยว่ถามทันทีที่เข้าประตูมา
“มีอะไรรึ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกผ้าเช็ดหน้าที่ใช้คลุมหน้าออก มองดูสีหน้าที่จริงจังของโม่เยว่ “มีเรื่องอะไรรึ?”
โม่เยว่ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป นั่งลงข้าง ๆ นางแล้วเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมเช้า “ตอนที่ข้าออกจากวัง หลิวต้าเหวินก็ถูกพาตัวไปที่ลานประหารแล้ว”
“สิ่งที่เสด็จพ่อพูด เหมือนกันกับที่ซ่งจื่ออวี๋เสี่ยงทายออกมาทุกกระเบียดนิ้วเลย!”
แววตาของเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “ซ่งจื่ออวี๋อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ออกไปแล้ว”
หยุนหว่านหนิงเหลือบมองเขาอย่างไม่แยแส
นางยังนึกว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นซะอีก…..
นางรู้อยู่แล้วว่าซ่งจื่ออวี๋เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่เหมือนนักต้มตุ๋นที่ถนัดแต่เรื่องย้อมแมวขายอย่างเจ้าหลิวต้าเหวินนั่น
“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?”
โม่เยว่อดถามไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าเขาควรจะรอข้าอยู่ที่จวน จนกว่าข้าจะประชุมเช้าเสร็จหรอกหรือ? ทำไมถึงออกไปเอาตอนนี้ล่ะ? หรือว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร?”
“ท่านอ๋อง ท่าทางตอนนี้ของเจ้ามันทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ เลยนะ เจ้ารู้ตัวไหม?”
หยุนหว่านหนิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
โม่เยว่ไม่เข้าใจที่นางพูดแม้แต่น้อย “เข้าใจผิด?”
“ทำให้คนเข้าใจผิด ว่าเจ้าคิดอะไรบางอย่างกับซ่งจื่ออวี๋!”
นางหัวเราะเยาะเขาอย่างไม่เกรงใจ “ใคร ๆ ต่างก็คิดว่าเป็นข้าที่แอบชุบเลี้ยงไอ้หนุ่มหน้าขาว แต่เอาเข้าจริงถ้าพูดแบบเปิดอกเลย น่าจะเป็นเจ้าต่างหาก ที่แอบชุบเลี้ยงไอ้หนุ่มหน้าขาว!”
“แต่ว่านะ ซ่งจื่ออวี๋ก็ไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าขาวซะด้วยสิ เลยให้เจ้าชุบเลี้ยงไม่ได้”
โม่เยว่: “…..”
“หนิงเอ๋อร์ พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยได้หรือไม่?”
ไอ้คำพูดคำจาที่สื่อความหมายแปลก ๆ พวกนี้ ใครไม่รู้สึกรำคาญบ้างเลยรึ?
“ไม่ได้”
หยุนหว่านหนิงหันหลังกลับไปแบบไม่ลังเล แล้วพูดทั้งที่หันหลังอยู่ว่า “วันนี้เรื่องที่เจ้าไปที่ตำหนักหย่งโซ่ว ข้ารู้หมดแล้ว! ทำไมรึ ? ท่านแม่คงจะบอกว่าข้าแอบชุบเลี้ยงไอ้หนุ่มหน้าขาวไว้ล่ะสิ? เลยสั่งให้เจ้ากลับมาจัดการข้า”
โม่เยว่ตกใจจนผงะ
ผู้หญิงคนนี้ นางมีตาทิพย์หรือว่าหูทิพย์กันแน่?
“เจ้าให้ซ่งจื่ออวี๋ทำนายรึ? ให้เขาคำนวณร่องรอยการเดินทางของข้า? กับทำนายว่าท่านแม่จะพูดอะไร?”
“ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น แล้วซ่งจื่ออวี๋ก็ไม่ใช่คนไร้ศีลธรรมแบบนั้นด้วย”
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย็นชา “บนตัวเจ้ายังมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่ใช้ในตำหนักหย่งโซ่วติดมา แล้วข้าก็ไม่ใช่คนโง่”
เต๋อเฟยชอบเครื่องหอม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้จันทน์
โม่เยว่รีบร้อนออกจากวังมา แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้..เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของนางไม่ค่อยจะดีนัก ก็รีบยิ้มอย่างร้อนตัว “ท่านแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ แค่ถามถึงเรื่องที่เจ้ากลับจวนเฉย ๆ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมือนว่าเขาจะเคยชินกับการยอมถอยให้ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้านางแล้ว
หยุนหว่านหนิงไม่สนใจเขา
ในเวลานี้เอง หรูอวี้ก็พุ่งเข้ามาด้วยท่าทางลึกลับ “พระชายา ข้ามีเรื่องซุบซิบที่ปิดกันให้กระฉ่อน ท่านอยากฟังหรือไม่?”
“ถ้าอยากฟัง พวกเรายึดตามกฎเก่า ราคาเดิม หนึ่งร้อยตำลึงเงินขายให้ท่านทันที!”
หลังจากคำพูดนี้หลุดออกจากปากไป ถึงค่อยเห็นว่าโม่เยว่ก็อยู่ด้วย!
สีหน้าของหรูอวี้ถึงกับตึงเครียดอย่างหนัก ขณะที่กำลังเตรียมจะชักเท้าวิ่งหนี ก็ถูกโม่เยว่ตะโกนสั่งว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“เรื่องซุบซิบอะไรรึ? ไหนลองพูดมาให้ข้าฟังหน่อยซิ?”