อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 176 เป็นคนไม่เหี้ยมโหด
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 176 เป็นคนไม่เหี้ยมโหด
“ให้พี่ชายของซุนตายิ่งคนนี้เข้าวังมาให้ข้าดูหน่อย”
หยุนหว่านหนิงมองดูซุนตายิ่ง พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มกริ่ม
ได้ยินแบบนี้ ซุนตายิ่งอึ้งไปทันที
อยู่ดีดี ทำไมหยุนหว่านหนิงจะต้องอยากเห็นพี่ชายของนาง?
หัวสมองซุนตายิ่งคิดได้ไวมาก ในใจคิดว่าที่ผ่านมานางไม่เคยล่วงเกินพระชายาหมิงคนนี้ ด้วยที่มีเรื่องกับนางในวันนี้ นางไม่น่าจะโหดเหี้ยมกับนางถึงขนาดนี้ถึงจะถูกสิ
แต่วันนี้ นางกลับทรมานนางทุกวิถีทาง
พระชายาหมิงเป็นพี่สะใภ้ขององค์หญิงเก้า นางเป่าหูฮ่องเต้ ยกองค์หญิงเก้าให้กับพี่ชาย….
หรือว่า พระชายาหมิงทำเพื่อองค์หญิงเก้า?
“ซุนซันฝู เป็นไง?
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว
ได้ยินชื่อเรียกนี้ ซุนตายิ่งก็รู้สึกเจ็บเข่า
นางแค่ล้มไปสามครั้ง หัวเข่าของนางก็ถลอกไปนานแล้ว
“พระชายาหมิง……”
เดิมนางอยากให้หยุนหว่านหนิงเปลี่ยนชื่อเรียก ไม่ต้องเรียกนางว่า ‘ซุนซันฝู’ แต่เมื่อเห็นนางเลิกคิ้ว ก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
พระชายาหมิงคนนี้ ตั้งใจที่จะทำให้นางเสียหน้า
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายาหมิง” ไม่รู้ว่าข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้า”
ซุนตายิ่งถามขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น
“เจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า”
หยุนหว่านหนิงตอบตรงๆ
“งั้นทำไมท่านจะต้องรังแกข้า?”
ซุนตายิ่งกัดฟันพูดขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิด วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกัน หรือเรามาลืมสิ่งที่ไม่มีความสุขเมื่อกี้แล้ว…..”
“แต่เจ้าล่วงเกินคนที่ข้ารัก”
ไม่ให้โอกาสนางได้พูดจบ หยุนหว่านหนิงพูดดักคออย่างรำคาญ
ซุนตายิ่งไม่ได้ล่วงเกินนาง แต่ล่วงเกินโม่โฟยโฟยน้าเล็กของนาง
ล่วงเกินโม่เฟยเฟยอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดยั่วยุให้โม่จงหรานยกโม่เฟยเฟยให้แต่งงานกับพี่ชายของนางซุนต้าเฉียง…
เรื่องนี้ หยุนหว่านหนิงรับไม่ได้
ซุนตายิ่ง “……”
นางก็รู้ เรื่องโม่เฟยเฟย ยังไงก็ไม่จบแน่
หยุนหว่านหนิงหันไปพูดกับเหลียงเสี่ยวกงกงว่า “เหลียงเสี่ยวกงกง รบกวนเจ้าออกจากวัง ไปตามพี่ชายของซุนตายิ่งมาที่ห้องทรงพระอักษร”
“แต่ว่า พระชายา แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง? เรียนให้ฮ่องเต้ทราบก่อนไหม?”
เหลียงเสี่ยวกงกงลำบากใจ
ห้องทรงพระอักษรเป็นสถานที่อะไร?
ไม่ใช่ใครที่ไหนอะไรก็สามารถเรียกไปห้องทรงพระอักษรได้?
“ไม่ต้อง เจ้าไปทำตามก็พอ ทางด้านเสด็จพ่อมีข้าอยู่”
‘ความสามารถ’ของพระชายาหมิง ใช่ว่าเหลียงเสี่ยวกงกงไม่รู้
จึงตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วก็ออกจากวังไป
เหลียงเสี่ยวกงกงไปแล้ว ซุนตายิ่งยิ่งไม่กล้าหาเรื่องอีกหยุนหว่านหนิงอีก นางมองดูนางอย่างหวาดหวั่น พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “พระชายาหมิง ข้าไปได้หรือยัง?”
นางค่อยคิดขึ้นมาได้ คำพูดที่ฮองเฮาจ้าวพูดกับนางก่อนหน้านี้พวกนั้น…..
พระชายาหมิงคนนี้ เป็นคนโหดเหี้ยมจริงๆ
“ถนนก็อยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วแต่เจ้า”
หยุนหว่านหนิงเชิ่ดคาง
แต่ซุนตายิ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมยังไม่ไป? ต้องให้ข้าแบกเจ้าหรือ?”
“ไม่ ไม่ใช่”
ซุนตายิ่งพูดอธิบายอย่างทำตัวไม่ถูกว่า “ข้าหกล้มหลายครั้งจนเขาถลอกแล้ว ความเจ็บปวด ทำให้เท้าค่อนข้างช้า ดังนั้น ดังนั้นจึงเดินไม่ไหว….”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ร่างกายเจ้าช่างบอบบางจริงๆ”
“ยังไม่รีบหามเจ้านายหญิงของพวกเจ้ากลับไป?”
สายตาของนางหันไปมองพวกนางกำนัลอย่างเฉียบคม
พวกนางกำนัลรีบตอบรับ แล้วก็หามซุนตายิ่งขึ้นมา จากไปอย่างรีบร้อน
หยุนหว่านหนิงค่อยเอามือไขว้หลัง แล้วเดินไปยังห้องทรงพระอักษร
ครั้งนี้ ประตูห้องทรงพระอักษรเปิดอยู่ ซูปิ่งซ่านยืนรออยู่ตรงด้านนอกประตู
เห็นได้ชัดว่า กำลังรอนาง
เห็นนางเดินมาใกล้ ซูปิ่งซ่านรีบมารับ พร้อมพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “แม่ทูลหัวน้อยของข้าน้อย นี่ท่าน ก่อเรื่องอะไรอีก”
“ข้าทำไมหรือ?”
หยุนหว่านหนิง แสดงสีหน้าไม่รู้เรื่อง
“รีบเข้าไปเถอะ ฮ่องเต้รออยู่สักพักหนึ่งแล้ว”
ซูปิ่งซ่านส่ายหัว พร้อมถอนหายใจเบาๆ
หยุนหว่านหนิงเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอย่างไม่แยแส
คนที่สามารถทำให้ฮ่องเต้รอ นางคงเป็นคนแรก
“เสด็จพ่อ ลูกสะใภ้มาขอรับโทษ”
เห็นโม่จงหรานนั่งอยู่หลังโต๊หนังสือ หยุนหว่านหนิพูดยอมรับผิดอย่างว่าง่ายว่า “เมื่อกี้อยู่ที่อี้ว์ฮวาหยวน ลูกสะใภ้กลั่นแกล้งคนโปรดคนใหม่ของท่านเล็กน้อย ซุนซัน…ซุนตายิ่ง”
“ขอเสด็จพ่อที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย อย่าได้ถือโทษลูกสะใภ้”
โม่จงหรานเงยหน้ามองดูนางแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “คราวนี้สำนึกผิดไวทีเดียว”
เจ้าเด็กคนนี้เขารู้ดีที่สุด
ทุกครั้งที่สำนึกผิดอย่างดี แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
“ซุนซันอะไร?”
โม่จงหรานแปลกใจ
“ซุนซันฝู”
หยุนหว่านหนิงพูดบอกตรงๆ
“พัฟ”
โม่จงหรานยังไม่ทันหัวเราะออกมา แต่ซูปิ่งซ่านที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายาหมิง นี่ท่านตั้งชื่อได้น่าสนใจจริงๆ”
“ทำไมถึงเรียกแบบนี้?”
โม่จงหรานถามขึ้นมา
“เพราะวันนี้นางล้มตรงหน้าข้าสามครั้ง แล้วก็ถูกพวกนางกำนัลพยุงขึ้นมาสามครั้ง…..”
หยุนหว่านหนิงเอื้อมมือลูบปลายจมูก พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้นจึงเรียกซุนซันฝู”
โม่จงหราน “……เจ้าช่างตั้งจริงๆ”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ชื่นชม”
หยุนหว่านหนิงยิ้มหัวเราะอย่างหน้าด้าน
นั่นเขากำลังพูดชมนางหรือ?
ยากที่ทำให้โม่จงหรานไปไม่ถูก จึงถามขึ้นว่า “ว่ามา วันนี้เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอะไร?”
หยุนหว่านหนิงหันไปมองซูปิ่งซ่านแวบหนึ่ง แล้วก็หันมาพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ข้าขอยืมใช้เหลียงเสี่ยวกงกงสักพัก เสด็จพ่อใจกว้างมีน้ำใจ น่าจะไม่ถือโทษลูกสะใภ้ใช่ไหม?”
โม่จงหรานมองดูนางอย่างยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ตามอย่างที่เจ้าพูด”
“หากข้าถือโทษเจ้า ก็ไม่มีน้ำใจไม่ใจกว้างแล้วใช่ไหม?”
“ลูกสะใภ้ไม่กล้า”
“เจ้าให้เสี่ยวเหลียงไปทำอะไร?”
“เดี๋ยวเสด็จพ่อก็รู้แล้ว”
เหลียงเสี่ยวกงกง ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
แต่เขากล้าฟังคำสั่งของหยุนหว่านหนิง พาซุนต้าเฉียงเข้าวังมา แต่ไม่ได้ผ่านการยินยอมจากโม่จงหราน ไม่กล้าพาซุนต้าเฉียงเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
เขาให้เขารออยู่ข้างนอก แล้วเข้ามาเรียนให้ทราบ
ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอก หยุนหว่านหนิงแย่งเดินออกมาก่อน
“เหลียงเสี่ยวกงกง เจ้ารอก่อนค่อยเข้ามา ข้ามีอะไรจะถามเจ้า”
“ขอรับ พระชายาหมิง”
เหลียงเสี่ยวกงกงไม่รู้ว่าหยุนหว่านหนิงคิดจะทำอะไร แต่ก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
ซุนต้าเฉียงคนนี้ หน้าตาคล้ายคลึงกับซุนตายิ่งอยู่บ้าง
หากไม่รู้จักนิสัยสันดานของเขา คงคิดว่าเป็นคุณชายคนดีคนหนึ่ง แต่อยากเห็นว่าเขาขาวผุดผ่อง ภายในกระดูกนั้นเลวร้ายอย่างมาก
ในขณะที่หยุนหว่านหนิงมองพิจารณาดูเขา ซุนต้าเฉียงก็แอบเหลือบมองดูนาง
ในใจเขาคิด ที่แท้คนนี้ก็คือพระชายาคนหนึ่ง ดูจากรูปร่างหน้าตา….งดงามอย่างมาก หากอยู่ในหอนางโลม จะต้องเป็นนางโลมที่สวยงามที่สุดแน่
วันนี้เขาช่างมีโชคจริงๆ
ไม่เพียงเข้ามายังพระราชวังต้องห้าม ยังได้เห็นพระชายาหมิง?
คราวนี้ เมื่อออกจากวังไปก็จะได้มีสิ่งที่โอ้อวดพวกเพื่อนพ้องพวกนั้นแล้ว
ซุนต้าเฉียงเห็นใบหน้าหยุนหว่านหนิงยิ้มแย้ม คิดว่าเป็นเพราะซุนตายิ่งน้องสาวของตนเอง
ยังไงตอนนี้ซุนตายิ่งก็กำลังเป็นคนโปรด หลายวันก่อนยังสั่งคนไปบอกเขาว่า จากพูดโน้มน้าวฮ่องเต้ ให้ยกองค์หญิงเก้าให้กับเขา….
เขาคิดว่าใบหน้ายิ้มแย้มของหยุนหว่านหนิงที่ยิ้มให้กับเขานั้น เพราะเห็นแก่หน้าซุนตายิ่ง จึงมองดูนานขึ้น
ดังนั้น สายตาที่ซุนต้าเฉียงมองดูนาง ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเสียมารยาท
ใครจะไปรู้ว่าในเวลานี้ จู่ๆสีหน้าหยุนหว่านหนิงเปลี่ยนไป