อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 234 พวกเราเป็นพวกอ่อนแอทั้งคู่
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 234 พวกเราเป็นพวกอ่อนแอทั้งคู่
กลัวโม่เหว่ยตอบไม่ถูกต้อง หยุนหว่านหนิงจะโกรธเข้าอีก
ลุงเฉินจึงรีบตอบคำถามแทนเขาทันใด “โรคของท่านอ๋อง ยังต้องการพระชายาหมิงดูแลอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ว่าท่านต้องการทำอะไร บ่าวจะให้ความร่วมมือสุดกำลังเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า “ไปหาเชือกมาเส้นหนึ่ง”
ไม่รู้ว่านางอยากนำเชือกมาทำอะไร แต่ลุงเฉินยังออกไปอย่างฉับไว
ตอนที่กลับมาอีกที นำเชือกยื่นให้หยุนหว่านหนิงแล้ว
“ให้ข้าทำอะไร? มัดท่านอ๋องของเจ้าเอาไว้!”
“หา?”
ลุงเฉินแคะหูเสียหน่อยแล้ว ยังคิดว่าเป็นเขาอายุมากแล้วหูไม่ดีเสียอีก
หยุนหว่านหนิงโบกมือให้หมอหลวงหยางออกไปรอ เวลานี้ถึงหยิบเข็มฉีดยาอันหนึ่งออกมา ดันอากาศที่เหลืออยู่ข้างในออก “มัวตกใจอะไรกัน?”
“เจ้าไม่มัด หรือว่ายังต้องให้ข้ามามัดด้วยตัวเอง?”
นางขมวดคิ้วมองลุงเฉินอยู่
“อ่อ”
ลุงเฉินจับหน้าผากเสียหน่อย
“ลุงเฉิน เจ้ากล้า!”
โม่เหว่ยกระหืดกระหอบ
ทำอะไรไม่ได้ ลุงเฉินมีใจอยากรักษาเขาให้หายดี ย่อมต้องให้ความร่วมมือกับหยุนหว่านหนิงเต็มที่……ดังนั้นเขาจึงมัดโม่เหว่ยเอาไว้อย่างคล่องแคล่วภายใต้สายตาที่อยากกินคนของโม่เหว่ย
มือและเท้าทั้งสี่ล้วนมัดไว้ตึงแน่น รับรองว่าเขาไม่มีทางดิ้นหลุดได้
“พระชายาหมิง จากนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“อุดปากของเขาไว้”
หยุนหว่านหนิงถือเข็มฉีดยาเดินมาใกล้
เข็ดฉีดยาเช่นนี้ โม่เหว่ยกับลุงเฉินยังเคยเห็นเป็นหนแรก
มองปลายเข็มที่ทั้งยาวทั้งแหลมอันนั้น……ลุงเฉินรู้สึกกลัวจนสั่นเทาแล้ว ทว่ายังคงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ยัดเข้าในปากโม่เหว่ยแล้ว “ท่านอ๋อง อย่าว่าบ่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“บ่าวเพียงอยากให้ท่านอ๋องอาการดีขึ้นโดยเร็ว!”
ในปากโม่เหว่ยส่งเสียงที่คลุมเครือไม่ชัดออกมา “ฮือๆๆ……”
เวลานี้ สายตาของเขาที่มองทางเข็มฉีดยานั้น ยังมีความตกใจกลัวระดับหนึ่ง
รู้จักกลัวแล้วหรือ?
หยุนหว่านหนิงเยาะเย้ยในใจ
อาการป่วยของโม่เหว่ยเหมือนมะเร็งหลอดอาหารมาก เพราะไอหนักจนทำให้ส่วนปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง เดิมนางคิดจะให้เขารับของเหลวไปโดยตรง ให้ยาปฏิชีวนะผ่านเส้นเลือดดำ
ทว่าลุงเฉินกับโม่เหว่ยย่อมไม่มีทางยอมรับได้ กลัวว่าจะมองนางเหมือนเห็นผีเข้า
ดังนั้นจึงใช้วิธีฉีดยาปฏิชีวนะ ทำให้ส่วนปอดของเขาลดการอักเสบลงเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
นอกจากนี้แล้ว โรคของเขานี้ต้องรักษาที่ต้นเหตุ และทั้งหมดไม่ใช่เพราะสาเหตุของส่วนปอด
ในช่วงเวลานี้หยุนหว่านหนิงเคยศึกษาวิจัยอย่างละเอียด ถึงแม้อาการแบบนี้ของเขาจะเหมือนมะเร็งหลอดอาหาร
แต่ว่าแตกต่างจากอาการของมะเร็งหลอดอาหารพอสมควร
เหมือน……ถูกวางยาพิษเสียมากกว่า
เพียงแค่พิษประเภทนี้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะน่าจะแฝงอยู่ภายในร่างกายเขามานานหลายปี เหมือนกับตัวหนอน กัดกินทั้งภายในร่างกายเขาทีละนิด
ดังนั้นโม่เหว่ยถึงได้อ่อนแอเช่นนี้
ถ้าหากนางเดาไม่ผิด โม่เหว่ยคงจะโดนคนวางยาพิษ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ไม่ใช่บอกว่าเฉินกุ้ยเฟยประชวรจนสิ้นพระชนม์ตั้งแต่นานแล้วหรือ?
คิดว่าเป็นตอนที่พระองค์ทรงตั้งครรภ์โม่เหว่ย คงโดนคนวางยาพิษ แต่ว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเข้า
และมีความเป็นไปได้มากว่า อาจมีคนสังเกตเห็นเข้า แต่ไม่กล้าปริปากบอก
ด้วยเหตุนี้ยาพิษจึงแทรกซึมอวัยวะภายในของพระองค์ แทรกซึมเข้าสู่ภายในร่างกายทารก
หลังโม่เหว่ยถือกำเนิดจึงร่างกายอ่อนแอ แบกร่างกายที่เจ็บป่วยมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้มาตลอด……
ถ้าเกิดโดนยาพิษตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจริง คงไม่แปลกที่ทุกคนจะวินิจฉัยโรคไม่ได้ เพราะคนที่โดนยาพิษเข้าคนแรกสุดมิใช่โม่เหว่ย แต่เป็นเฉินกุ้ยเฟย
ต่อให้อยากจะตรวจหาให้ชัดเจนว่าเขาโดนพิษอะไรเข้า คงไร้หนทางลงมือ
สถานการณ์อย่างนี้ของโม่เหว่ย กลัวว่ายากจะรักษา
ปัจจุบันนี้หยุนหว่านหนิงได้เพียงทุ่มสุดกำลัง ยืดชีวิตของเขาไว้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาวิธีรักษาเขาอีกที
……
หลังจากฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไป และให้เขากินยา
ภายใต้การออกฤทธิ์ของยา โม่เหว่ยนอนหลับแล้ว
หยุนหว่านหนิงตรวจดูยาที่เมื่อวานลุงเฉินไปรับจากโรงหมอมาให้โม่เหว่ยอย่างละเอียดอีกรอบ
ตัวยากลับมิได้มีปัญหาอะไร เพียงแค่มียาตัวหนึ่งค่อนข้างเปียกชื้น ไม่เพียงกระทบต่อประสิทธิภาพของยา ทว่าผสมเข้าด้วยกันกับยาตัวอื่น จึงเกิดลักษณะเป็นพิษในปริมาณน้อยนิดแล้ว
ดังนั้นหลังจากโม่เหว่ยกินยาวันนี้ไป อาการป่วยถึงรุนแรงขึ้นกะทันหัน
“วันหลังก็เข้าไปรับยาที่โรงหมอหลวงในวัง เพียงไปรับยากับหมอหลวงหยางเท่านั้น คนอื่น……ไม่ว่าผู้ใดล้วนอย่าเชื่อใจง่ายๆ”
หยุนหว่านหนิงกำชับลุงเฉินอย่างจริงจัง
ไม่นานลุงเฉินได้สติกลับมา “พระชายาหมิงท่านหมายความว่า?”
ยาที่เปียกชื้นนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าคือมีคนจงใจใส่เข้าไป อยากทำร้ายโม่เหว่ย?
“ข้าไม่ได้มีความหมายว่าอะไร”
หยุนหว่านหนิงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เพียงแค่ตัวยาที่เปียกชื้นตัวหนึ่งเท่านั้น! ไม่รู้ว่าเป็นหมอของโรงหมอประมาทเลินเล่อ หรือว่ามีคนไม่ทันระวังใส่ยาตัวนี้เข้าไปด้วยแล้วกันแน่……”
“ไม่มีหลักฐาน ใครจักรู้กันเล่า?”
ยิ่งอยู่ภายในราชวงศ์นานเข้า นางยิ่งพูดจาไม่ทิ้งร่องรอยไว้ ไม่ให้คนฉวยโอกาสเอาเปรียบได้แม้แต่น้อย
ฟังดูเหมือนนางลบล้างข้อกังขาเพื่อโรงหมอ
แต่ความจริง กำลังเตือนสติลุงเฉิน ให้ระมัดระวังเป็นหลัก
“ตอนนี้เรื่องที่ข้ามารักษาอ๋องโจว ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว ทุกๆ เรื่องต้องระมัดระวังให้ดี ลุงเฉินเจ้าคิดว่าเช่นไร?”
หลังจากครุ่นคิดคำพูดเหล่านี้ของนางอย่างละเอียด ลุงเฉินสีหน้าตกใจยกใหญ่
เขารีบคำนับด้วยความเคารพต่อหยุนหว่านหนิงทีหนึ่งทันที
“ขอบพระทัยพระชายาหมิงที่เตือนสติพ่ะย่ะค่ะ วันหลังบ่าวจะระมัดระวังให้มากกว่าเดิมเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ลุงเฉินเป็นคนเข้าใจง่าย”
หยุนหว่านหนิงถึงหัวเราะแล้ว พูดกับหมอหลวงหยางว่า “หมอหลวงหยางดูให้ดี วันหลังยาของจวนอ๋องโจว ได้เพียงเป็นลุงเฉินไปรับ”
“ในสถานการณ์ปกติ ลุงเฉินน่าจะไม่ไหว้วานคนอื่น ไปรับยาให้อ๋องโจว”
ลุงเฉินและหมอหลวงหยาง ล้วนเป็นคนที่อายุมากกว่าครึ่งร้อย
พวกเขามีชีวิตอยู่มากันครึ่งชีวิตนี้ คาดไม่ถึงยังมองจนทะลุปรุโปร่งสู้หยุนหว่านหนิงไม่ได้……
ถึงแม้หยุนหว่านหนิงเป็นพระชายาหมิงที่สูงส่งเหนือผู้คน
แต่ยังเป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยี่สิบปีคนหนึ่ง
นางสามารถนึกเรื่องพวกนี้ได้ ในขณะที่เมื่อสักครู่พวกเขากลับเพิกเฉยแล้ว
ชั่วขณะนั้นหมอหลวงหยางและลุงเฉินละอายใจอยู่บ้าง ทั้งสองตอบรับไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ลุงเฉินมองโม่เหว่ยที่ลมหายใจสม่ำเสมอและนอนหลับลึกอยู่ ฮึกเหิมจนน้ำตานองหน้า “พระชายาหมิง ท่านอ๋องของบ่าวไม่ได้บรรทมสบายเยี่ยงนี้มาเนิ่นนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ขอบพระทัยพระชายาหมิงมากพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่ได้หลับดีเยี่ยงนี้มานานมากแล้ว?”
หยุนหว่านหนิงยักคิ้ว “คราวต่อไปถ้าเขานอนไม่หลับ เจ้าทุบที่ท้ายทอยเขาไปทีหนึ่งตรงๆ ก็พอแล้ว”
ตีจนสลบไป จะไม่หลับสบายได้สักตื่นเชียวหรือ?
ลุงเฉิน “……บ่าวไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องพรรค์นี้ ยังเป็นพระชายาหมิงมาทำเถิด?
เขากลัวว่าทำไม่ดีขึ้นมา จะตีจนท่านอ๋องของตนเองตายไปโดยตรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของท่านอ๋องของตนเองนี้ อ่อนแอถึงขั้นสุดแล้ว อย่างที่พระชายาหมิงกล่าวไว้ กลายเป็นเปลือกหอยว่างเปล่า เขากล้าลงมือที่ไหนเล่า?
“เจ้านี่ไม่ไหวเสียจริง”
หยุนหว่านหนิงพึมพำเบาๆ แตะๆ แขนของหมอหลวงหยางสักสองสามที “หมอหลวงหยาง พวกเราสองคนไปด้วยกันเถิด”
ด้านนอกท้องฟ้ามืดแล้ว ฉากยามค่ำคืนปกคลุมเมืองหลวงไว้
หมอหลวงหยางถูกนางแตะอยู่สองสามทีนี้ แทบทรุดตัวลงไปบนพื้น
เขาหดคอเข้าไป “พระชายาหมิง กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่กล้าไปกับข้า? นี่คือเหตุผลอะไร? หรือว่ายังกลัวข้ากินเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ?”
หยุนหว่านหนิงมองเขาอย่างเหยียดหยาม “หมอหลวงหยาง เจ้าทำเยี่ยงนี้ไม่สมกับเป็นการกระทำของบุรุษผู้อาจหาญ! ด้านนอกมืดหมดแล้ว เจ้าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง หรือว่าไม่ควรส่งแม่หญิงเยี่ยงข้ากลับจวนงั้นหรือ?”
“คือ……”
ใช้วิธีปลุกเร้าก็ไม่มีประโยชน์
หมอหลวงหยางทำหน้าลำบากใจ “กระหม่อมเป็นชายแก่ พวกเราเป็นพวกอ่อนกันทั้งคู่ กระหม่อมมิกล้าส่งท่านกลับไปพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาเป็นชายแก่ ไม่ใช่ว่าเป็นคนหนุ่มเข้าใจไหม?
“เช่นนั้นข้าส่งเจ้ากลับไปก่อนก็ได้!”
หยุนหว่านหนิงเอามือไพล่หลัง พึมพำเสียงเบาๆ “ตามข้ามา! ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า!”
ยังมีเรื่องอยากถามเขาอีก?
เรื่องเกี่ยวกับคุณหนูรองหยุน เมื่อสักครู่ไม่ใช่นางถามไปแล้วหรือ?
เห็นนางออกไปจากจวนอ๋องโจวแล้ว หมอหลวงหยางได้เพียงตามออกไปด้วยหน้าตาขมขื่น “พระชายาหมิง ท่านยังมีเรื่องอันใดอยากถามอีกพ่ะย่ะค่ะ?”
หยุนหว่านหนิงหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน พูดอย่างจริงจัง “เรื่องที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่ง!”