อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 298 หัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 298 หัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก
หยวนเป่าหมุนตัวกลับมา “ท่านแม่…”
เมื่อเห็นสภาพของเขา หยุนหว่านหนิงก็อดหัวเราะจนตัวงอไม่ได้
“คุณพระคุณเจ้า! นี่มันจะตลกเกินไปแล้วไหม?! ลูกเอ๊ย เจ้าวางแผนไว้ว่านับจากนี้ไป เจ้าจะออกไปเจอผู้คนในสภาพนี้น่ะรึ?!”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะลั่นจนร่างทั้งร่างโอนเอนไปมา
เมื่อโม่เยว่ได้ยินเสียง ก็รีบโยนพู่กันที่ใช้วาดรูปทิ้งไป แล้วเดินเข้ามาหา “เป็นอะไรไปรึ?”
เมื่อได้เห็นสภาพของหยวนเป่า กับได้เห็นหยุนหว่านหนิงที่ตอนนี้หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพราก ๆ ออกมาแล้ว ….. โม่เยว่ก็กลั้นขำไม่ไหว จึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
หยวนเป่าพูดเสียงต่ำ “พ่อเก๊ ท่านแม่ นี่สรุปว่าข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของพวกท่านหรือเปล่าเนี่ย?”
เมื่อครู่นี้ ใบหน้าของเขายังขาวผุดผ่องดีอยู่ อาจจะพอมีเศษดินเศษโคลนติดอยู่บนใบหน้าของเขาบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มันมีอะไรระเบิดขึ้นมา ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาจึงดำปี๋ไปทั้งหน้า
เหลือเพียงดวงตาคู่โตที่ส่องประกายแวววาวคู่นั้น ที่ยังกะพริบปริบ ๆ อยู่
ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า ใบหน้าของเขาดำทะมึนอย่างร้ายกาจยิ่ง แต่ดวงตากลับส่องประกายวิ้งวั้งสว่างไสวมาก
เหมือนกับก้อนถ่านดำปี๋ที่ถูกป่นจนละเอียดก้อนหนึ่ง
“ลูกชาย”
โม่เยว่ก็หัวเราะจนปวดแก้มไปหมดแล้วเหมือนกัน “เจ้าลืมไปแล้วรึ? ว่าเจ้าเอาแต่เรียกข้าว่าพ่อเก๊มาโดยตลอด! ดังนั้นเจ้าจึงไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า รอให้ข้าหัวเราะจนพอใจก่อนเราค่อยคุยกัน”
หยวนเป่าทำสีหน้าไร้เดียงสา “ได้ ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปข้าจะไม่เรียกท่านว่าพ่อเก๊แล้ว”
“เรียกว่าท่านอ๋อง”
โม่เยว่เหมือนถูกใครสักคนจี้สกัดจุดแบบกะทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้างไปทันที
“แบบนั้นจะได้เยี่ยงไรกัน?”
แม้ว่าตอนนี้ หยวนเป่าจะเรียกเขาว่าพ่อเก๊ แต่ก็ยังมีคำว่า “พ่อ” อยู่ไม่ใช่รึ….
อุตสาห์หลอกล่อจนสุดท้ายก็ได้คำว่า “พ่อเก๊” มาอย่างยากลำบากเชียวนะ เขายังวางแผนไว้ด้วยว่าจากนี้ไป จะทำให้หยวนเป่ายอมรับพ่อคนนี้ของเขาจากใจจริงให้ได้
ถ้าเพราะการหัวเราะของเขาวันนี้ ไปทำให้ทุกอย่างมันย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็ กระทั่งคำว่า “พ่อเก๊” เขาก็อาจจะไม่ยอมเรียกแล้วก็ได้ แบบนี้เขาจะไม่เสียแรงเปล่าหรอกรึ? !
“หนิงเอ๋อร์ หยุดหัวเราะได้แล้ว!”
โม่เยว่หันไปมองหยุนหว่านหนิงด้วยสีหน้าจริงจัง “หยวนเป่าเป็นลูกชายที่แสนล้ำค่าของข้าเชียวนะ เจ้าหัวเราะเยาะเขาได้อย่างไรกัน? มีแม่ที่ทำตัวอย่างเจ้าอยู่ด้วยรึ?”
หยุนหว่านหนิง: “….”
“เจ้ารีบไปดูเร็ว ๆ เข้า ว่าไอ้ของอะไรที่มันติดอยู่บนหน้าลูกชายนั่นน่ะ มันล้างออกหรือไม่”
โม่เยว่หันไปพูดกับนางว่า “ถ้าเกิดว่าล้างไม่ออกขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”
“เจ้ามีความสามารถซะขนาดนี้ ก็ไปดูเองเลยสิ”
หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ คุกเข่าลงแล้วดึงหยวนเป่าเข้ามาในอ้อมแขน “ลูกชาย ไหนให้แม่ดูหน่อยซิ”
นางค่อย ๆ ใช้มือเช็ดผงสีดำที่ติดอยู่บนใบหน้าของเขาออก
จึงพบว่าที่ปลายนิ้ว เต็มไปด้วยผงสีดำเคลือบติดอยู่…..
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสิ่งนี้ มันสามารถล้างออกได้
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองไปที่หลุมใต้พุ่มดอกไม้ที่ถูกระเบิดจนเป็นโพรง แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “หยวนเป่า ลูกกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
“ข้าช่วยงานบางอย่างของพ่อเก๊อยู่”
หยวนเป่าพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “พ่อเก๊ยังพัฒนาดินปืนออกมาไม่ได้เลย”
“ข้าก็เลยช่วยเขาค้นคว้าเสียหน่อย”
โม่เยว่ที่อยู่อีกด้านเริ่มไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว “ช่วงนี้ข้าแค่ยุ่งเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง!”
“ยอมรับมาเถอะน่า ว่าเจ้าไม่มีความสามารถเท่าลูกชาย”
หยุนหว่านหนิงพูดเยาะเย้ยเขาไปประโยคหนึ่งแบบไม่มีลังเล “แถมยังอยากได้ความช่วยเหลือจากลูกชายอีก โม่เยว่ เจ้านึกละอายใจบ้างหรือไม่?”
“ช่วงนี้งานของข้ายุ่งมากจริง ๆ นะ”
โม่เยว่ขมวดคิ้วมุ่น
สุดแผ่นฟ้าใต้ผืนพสุธาแห่งนี้ คนที่กล้าดูถูกเขา มีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะ!
แต่ติดอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ต่อให้นึกดูถูกเขาขนาดไหน…. เขาก็ทำได้แค่ต้องทนยอมรับคำดูถูกไปเท่านั้นแล้ว
จะไปยั่วยุสองแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้เด็ดขาด
แต่นี่จะโทษว่าเป็นความผิดของโม่เยว่ก็ไม่ได้
ช่วงนี้มีเรื่องราวยุ่งเหยิงมากมายดาหน้าเข้ามาพร้อม ๆ กันไม่ขาด เขายุ่งกับการวิ่งแก้ปัญหาจนเท้าแทบจะไม่ติดพื้นอยู่แล้ว ประจวบกับที่หยุนหว่านหนิงก็มาล้มป่วยอีก หาได้ยากมากที่จะมีโอกาสได้อยู่บ้านแบบวันนี้ จึงตั้งใจจะวาดรูปให้นาง
“ลูกชาย เจ้าพูดแบบนี้ก็แปลว่าเมื่อครู่เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”
หยุนหว่านหนิงหันไปมองหลุมที่ถูกระเบิดออกเป็นโพรง กับใบหน้าที่ดำปี๊ดปี๋ของหยวนเป่า….
ชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความภาคภูมิใจ” ก็เอ่อท้นขึ้นมาจนเต็มในอกนาง
นางแทบจะยั้งใจไม่ไหว อยากจะอุ้มหยวนเป่าแล้วปีนขึ้นไปบนหอคอยสังเกตการณ์ที่สูงที่สุดในเมืองหลวง เพื่อป่าวประกาศให้คนในใต้หล้าแห่งนี้ได้รู้ว่า: ลูกชายของข้าเก่งกาจที่สุดในโลก!
“ถือได้ว่าสำเร็จแล้ว”
หยวนเป่าทำปากย่นยู่ “แต่ก็ยังมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ!”
“ข้าจำเป็นต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นก่อน!”
พูดพลาง ตัวเขาก็เดินออกมาจากอ้อมแขนของหยุนหว่านหนิง มองไปที่หลุมตรงหน้าอย่างครุ่นคิด “ขนาดข้าเองยังถูกระเบิดใส่เลย คนอื่นก็คงจะถูกระเบิดใส่ด้วยแน่ ๆ”
“สรุปว่าข้าควรจะปรับปรุงอย่างไรดีนะ…..”
“พ่อจะร่วมค้นคว้ากับเจ้าเอง”
โม่เยว่ไม่สนใจพวกคราบเขม่าสกปรกบนพื้น ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ หยวนเป่าทันที
เห็นสองคนพ่อลูก หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนั่งอยู่ด้วยกันบนพื้น ร่วมกันศึกษาค้นคว้าเรื่องดินปืนด้วยท่าทางจริงจังตั้งใจแล้ว…..
หยุนหว่านหนิงยิ้มชอบใจพลางยกนิ้วโป้งให้ สีหน้าชื่นชมเต็มที่ “ผู้ชายเวลาที่จริงจังนี่แหล่ะหล่อที่สุด!”
“ขอบคุณที่ชม”
โม่เยว่ยอมรับคำชมของนางด้วยท่าทางไร้ยางอาย
หยุนหว่านหนิงกลอกตามองบนใส่ “ข้าชมลูกชายต่างหาก ไม่ได้ชมเจ้า”
โม่เยว่: “….หัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก”
หยุนหว่านหนิงไม่สนใจเขา หันหลังแล้วเดินกลับไปที่ศาลา นั่งตากลมเย็น ๆ พักสายตา
ผ่านไปไม่นาน ก็ผล็อยหลับไป
เมื่อโม่เยว่เห็นว่านางหลับแล้ว จึงสั่งให้หรูเยียนไปหยิบผ้าห่มบาง ๆ มา แล้วนำไปห่มบนร่างของนางอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน สายลมพัดโชย กลีบดอกไม้บอบบางหลายกลีบถูกพัดจนปลิวมาตกลงข้างแก้มของหยุนหว่านหนิง
พัดทรงกลมในมือของนาง ร่วงหล่นลงไปบนพื้นอย่างแผ่วเบา
ภาพฉากนี้ งดงามดั่งหลุดมาจากภาพวาด
……………
ในช่วงสองวันมานี้ ซูปิ่งซ่านมารายงานข่าวที่ห้องทรงพระอักษร คำพูดที่เขาพูดมากที่สุดก็คือ:
“ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าเต๋อเฟยทุบทำลายตำหนักหย่งโซ่วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าเต๋อเฟยโกรธมากจนฝืนอดอาหารเพื่อฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หากท่านยังไม่เสด็จไปหาเต๋อเฟยอีกล่ะก็ เกรงว่าจะไม่ได้พบนางอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดเหล่านี้เขาพูดไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็ยังคงพูดซ้ำ ๆ ต่อไปไม่หยุด
จะเห็นได้ว่า เต๋อเฟยแค่จงใจขู่โม่จงหราน บีบบังคับให้เขามาหานาง …. ในสายตาของคนอื่น ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจเหนือใคร ในช่วงสองวันมานี้ กลับขลาดกลัวหัวหดซะจนมองไม่เห็นคอไปแล้ว
เขาไม่กล้าไปพบหน้าเต๋อเฟย!
จนกระทั่งวันที่สาม เต๋อเฟยก็บุกเข้าไปถึงห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง
นางถึงขั้นทุบทำลายประตูของตำหนักหย่งโซ่วจริง ๆ!
เมื่อเห็นว่านางบุกเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยความเดือดดาลสุดขีด ซูปิ่งซ่านกับพวกเหลียงกงกงก็รีบเผ่นหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
โม่จงหรานกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนตั่ง
ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าอุณหภูมิภายในห้องทรงพระอักษร ลดต่ำลงไปหลายองศาอย่างกะทันหัน….
เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว แทบจะตกจากตั่งที่นอนอยู่ลงไปกับพื้นให้ได้แล้ว !
“ เต๋อ… เต๋อเฟย เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
“ฝ่าบาทได้เห็นหม่อมฉัน คงจะแปลกพระทัยมากกระมัง?!”
เต๋อเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองเขา “สองวันมานี้ หม่อมฉันจะนอนก็นอนไม่หลับ จะกินก็กินไม่ลง แต่ฝ่าบาทช่วงนี้ กลับดูผ่อนคลายสบายดีมากเลยนะเพคะ!”
นางแทบจะโกรธตายให้ได้แล้ว!
“ข้าไม่ได้….”
“ไม่ได้สั่งกักบริเวณหม่อมฉันอย่างนั้นหรือ?”
เต๋อเฟยยิ้มเย็น “ขออภัยนะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันขัดขืนไม่เชื่อฟังรับสั่งของพระองค์ หากท่านทรงกริ้ว อย่างมากสุดก็ส่งตัวหม่อมฉันไปขังคุกหลวงเสียก็ได้!”
เขากล้าหรือไม่ล่ะ? !
โม่จงหรานกลืนน้ำลาย “เต๋อเฟย มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันเถอะนะ”
“พวกเราอย่าเอะอะก็ลงไม้ลงมือกันสิ”
เมื่อเห็นว่าเต๋อยื่นมือออกมา โม่จงหรานก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“หม่อมฉันแค่อยากเห็นกับตาว่า พระพักตร์ของฝ่าบาทมันหนาขนาดนั้นไหนกันแน่! ถึงได้ไม่พูดไม่จา ไม่เปลี่ยนสีหน้าก็หลอกลวงความรู้สึกของหม่อมฉันได้ถึงขนาดนี้!”
พูดพลาง มือของนางก็ตกลงบนใบหน้าของโม่จงหรานแล้วเรียบร้อย
เต๋อเฟยออกแรงหยิกเต็มแรง โม่จงหรานเจ็บจนร้องโวยวายออกมา
“อื้ม ผิวพระพักตร์ของฝ่าบาทนี่นับว่าหนามากจริง ๆ”
เต๋อเฟยคลายมือ แล้วมองดูโม่จงหรานที่กำลังถูไถใบหน้าตัวเองไม่หยุด “ฝ่าบาท บัญชีนี้ผ่านไปสามวันแล้ว ในระหว่างสามวันนี้ หม่อมฉันคิดไว้หมดแล้วว่าจะชำระสะสางกับฝ่าบาทอย่างไร”
“ฝ่าบาท ท่านคิดว่า พวกเราควรจะสะสางบัญชีนี้อย่างไรดีเพคะ?”
“ข้าจะมอบอัญมณีเป็นสิ่งชดเชยให้เจ้า!”
โม่จงหรานตอบอย่างไม่ลังเล
“ชิ!”
เต๋อเฟยแค่นเสียงหยัน ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
อัญมณี?
อัญมณีของนางเต็มจนแน่นตำหนักหย่งโซ่วตั้งนานแล้ว ยังต้องกลัวว่าจะขาดอัญมณีของเขาอีกรึ?!
โม่จงหรานอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยังคิดวิธีแก้ปัญหาอะไรดี ๆ ไม่ออกเลย…..นอกประตูก็พลันมีเสียงอ่อนหวานหยาดเยิ้มดังแว่วมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันตุ๋นน้ำแกงข้นมาให้เพคะ!”