อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 336 เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย เป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 336 เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย เป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม
ฮองเฮาจ้าวรีบหันหน้าไปมอง
เห็นแค่หยุนหว่านหนิงสองมือค้ำประตู หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว
“เจ้าหัวเราะทำไม?”
สีหน้าของฮองเฮาจ้าวน่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้ “จะยืนก็ไม่ยืนให้ดี จะนั่งก็ไม่นั่งให้เหมาะ! สภาพเจ้าแบบนี้ มันใช่ภาพพจน์ที่พระชายาอ๋องควรมีเสียที่ไหนกัน?!”
หยุนหว่านหนิงหันไปมองโม่จงหรานแวบหนึ่ง
เห็นเขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า…..
ไม่มีสัจจะ!
เสด็จพ่อไม่มีสัจจะเอาเสียเลย!
เห็นว่านางถูกฮองเฮาจ้าวตำหนิแท้ ๆ ก็ไม่เห็นจะเข้ามาช่วยเลย!
โม่จงหรานพึ่งไม่ได้ นางจึงทำได้แค่ยืดตัวให้ตรง พูดว่า “เสด็จแม่ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
“เมื่อครู่นี้มันตลกมาก ข้าหัวเราะจนปวดเอวไปหมด ดังนั้นเลยยืนตัวตรงไม่ได้”
นางลดมือทั้งคู่ลง “ลูกไม่ได้หัวเราะเยาะอะไรเลยนะเพคะ! แค่บังเอิญว่าเมื่อครู่นี้เห็นกบตัวใหญ่ยักษ์ตัวนึง กระโดดออกมาจากด้านหลังของหมอหลวงหยาง ลูกเลยรู้สึกว่ามันตลกดี”
กบตัวใหญ่ยักษ์?
กบตัวใหญ่ยักษ์มาจากไหน?
ฮองเฮาจ้าวขมวดคิ้วมุ่น “ท้องฟ้าสดใสแดดเจิดจ้าขนาดนี้ พูดจาเหลวไหลไร้สาระอะไรของเจ้า?”
“เสด็จแม่ไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่จริงนะเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงพูดด้วยท่าทางกล้าหาญวาจาหนักแน่น “ในเมื่อเสด็จแม่ไม่เชื่อ ลูกก็คงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
นางเอาสองมือไพล่หลัง แล้วเดินเฉียดผ่านข้างตัวฮองเฮาจ้าวไป
กบตัวใหญ่ยักษ์อะไรล่ะ นางแค่อยากจะบอกว่าฮองเฮาจ้าวกลายเป็นคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทัน โดนปั่นหัวได้ง่าย ๆ ไปแล้ว!
ภาพลักษณ์ของคนโง่ที่โดนปั่นหัวได้ง่าย ๆ มันก็เหมาะกับกบที่มีชีวิตอันน่าอนาถดีแล้วไม่ใช่หรือ?
หยุนหว่านหนิงรู้สึกขำแทบแย่
เมื่อครู่นี้โม่จงหรานปล่อยให้ฮองเฮาจ้าวตำหนินาง เดิมทีนางยังคิดอยู่ว่าจะเล่นลูกไม้อะไรสักนิดสักหน่อย เพื่อเป็นการเพิ่มระดับ “การโบกสะบัด” เขาให้สั่นระทึกขึ้นอีกหน่อย แต่พอลองคิด ๆ ดูอีกที สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าช่างมันดีกว่า!
เสด็จพ่อเองก็ลำบากเหมือนกัน!
ดังนั้น หยุนหว่านหนิงจึงไม่พูดอะไรให้มากความ
หลังจากเดินไปได้สามสี่ก้าว ก็พูดกับฮองเฮาจ้าวว่า “จริงสิเสด็จแม่ เรื่องเงินหนึ่งแสนตำลึงนั่น…..”
เงิน ๆ ๆ เจ้ามันก็รู้จักแต่เรื่องเงิน!
เพราะอยู่ต่อหน้าโม่จงหราน ฮองเฮาจ้าวจึงไม่สามารถโกรธได้ นางทำได้แค่เค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมาสี่ห้าคำว่า “ข้าจะสั่งคนส่งไปให้เจ้าเอง!”
เมื่อเห็นว่าหยุนหว่านหนิงจากไปอย่างพอใจแล้ว โม่จงหรานก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “เงินอะไร?”
“มีบางอย่างที่เสด็จพ่อยังไม่ทรงทราบ”
ฮองเฮาจ้าวฝืนยิ้ม “เมื่อวานนี้ เพื่อที่หม่อมฉันจะให้หยุนธิงหลานเข้าห้องหอกับเฟิงเอ๋อร์ได้โดยราบรื่น ”
“ต้องยอมจ่ายเงินไปถึงหนึ่งแสนตำลึง เพื่อส่งสะใภ้เจ็ดออกไปเพคะ!”
นางพูดด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจมาก
นางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วเช็ดน้ำตาป้อย ๆ “ฝ่าบาท สะใภ้เจ็ดอาศัยความเอ็นดูของพระองค์ มาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในวัง แม้แต่หม่อมฉันนางก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”
“แม้แต่จางหมัวมัวก็ยัง…..”
นางมองไปที่จางหมัวมัวซึ่งหมดสติอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง แล้วอึกอักพูดอะไรไม่ออก
ในเวลานี้เอง โม่เยว่ก็ก้าวออกมาเช่นกัน
เขามองไปที่ฮองเฮาจ้าวอย่างเย็นชา ก่อนกลับยังทิ้งคำพูดที่เหมือนกับหยุนหว่านหนิงพูดไว้ทุกประการว่า “เสด็จแม่ อย่าลืมส่งเงินไปที่จวนของข้าด้วย”
ฮองเฮาจ้าวถึงกับสะอึก: “…..”
ไอ้พวกตัวชั่วช้าสารเลวเอ๊ย !
แต่ก็จนใจที่เต๋อเฟยเป็นพวกให้ท้ายลูกแบบสุดโต่ง
อย่างไรก็ไม่สามารถฟ้องโม่เยว่ในตำหนักหย่งโซ่วได้!
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ฝืนระงับความขุ่นในใจ “ฝ่าบาท ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแกจางหมัวมัวด้วยนะเพคะ!”
เมื่อเห็นนางร้องไห้ โม่จงหรานก็เริ่มหมดความอดทน
เขาโบกมือ “ในเมื่อจางหมัวมัวได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ ก็ลากตัวนางออกไปทุบตีให้ตายเสียเถอะ!”
เสียงร้องไห้ของฮองเฮาจ้าวถึงกับสะดุด: “? ? ? ฝ่าบาท”
“ให้นางได้ตายเร็ว ๆ แล้วจะได้ไปเกิดใหม่เร็ว ๆ! ชาติหน้าให้นางไปเกิดในตระกูลดี ๆ สักตระกูล จะได้ไม่ต้องทำอาชีพเป็นแม่นมเฒ่าแล้ว ทำเช่นนี้ ก็ไม่เท่ากับว่าข้าช่วยคืนความเป็นธรรมให้นางแล้วหรอกรึ?”
โม่จงหรานพูดเหมือนว่าตัวเองมีเหตุผลอันชอบธรรมเต็มเปี่ยม
ฮองเฮาจ้าวโกรธจนลมแทบจับเกือบหงายหลัง
“ฝ่าบาท ทรง… ทรงช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก”
นางหัวเราะแห้ง ๆ ไม่กล้าพูดถึงจางหมัวมัวอีกต่อไป
“จริงสิ เจ้าลองคิด ๆ ดูหน่อยว่าจะย้ายเว่ยผินไปไว้ตำหนักไหน! คิดได้แล้ว ก็ส่งคนมารายงานข้าด้วย”
จากนั้นโม่จงหรานก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ฮองเฮาจ้าวยืนนิ่งอยู่กับที่ แทบจะอดใจไม่ไหวอยากเอาหัวพุ่งชนกำแพงให้ตายไปเลย!
นางออกแรงเตะจางหมัวมัวที่ “สลบไสลไม่ได้สติ” อยู่บนพื้นอย่างแรง “หยุดเสแสร้งได้แล้ว! ฝ่าบาทไปตั้งไกลแล้ว! ต่อให้เจ้าเสแสร้งไปจนแผ่นฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเข้าข้างข้าหรอก!”
………………….
โม่จงหรานเพิ่งจะกลับถึงห้องทรงพระอักษร ก็เห็นว่าหยุนหว่านหนิงหยิบฏีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน
“เสด็จพ่อ นี่มันคืออะไรหรือเพคะ?”
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ออกไปอีก?”
โม่จงหรานทำสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยื่นมือไปคว้าฎีกาในมือของนางมา “เจ้ามันนางเด็กสามหาว เดี๋ยวนี้ยิ่งทำตัวโอหังบังอาจขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ! กระทั่งฎีกาก็ยังกล้าหยิบไปอ่าน!”
“ไม่ใช่นะเพคะเสด็จพ่อ นี่ข้าเก็บออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ตรงนั้น”
หยุนหว่านหนิงมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
โม่เยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง ยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางพูดว่า “กระหม่อมสามารถเป็นพยานได้ว่า หนิงเอ๋อร์เก็บมันขึ้นมาจากตะกร้าจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
โม่จงหรานปวดหัวตึ๊บ “พวกเจ้าสองคน ตอนนี้คือไม่คิดจะกลับไปจวนอ๋องหมิงแล้วงั้นรึ?”
“ห้องทรงพระอักษรของข้า ล้วนถูกพวกเจ้ายึดครองหมดแล้วสินะ?”
สองคนผัวเมียนี้ รับมือยากยิ่งกว่าพวกเจ้าของบ้านตะปู*เสียอีก!
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรอีกล่ะ? ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าแล้วมีน้ำโห!”
(* อธิบายเพิ่มเติม บ้านตะปู หมายถึงบ้านที่ยืดหยัดต้านการรื้อถอนของเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องการนำที่ดินไปทำโครงการพัฒนาต่าง ๆ ปัจจุบันบ้านตะปูนับเป็นปัญหาร่วมสมัยของจีนปัญหาหนึ่ง สืบเนื่องจากยุคพัฒนาสังคมเมืองอย่างก้าวกระโดดของจีน จึงมีการผุดโครงการก่อสร้าง ทั้งโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภค โครงการที่อยู่อาศัย โครงการศูนย์การค้าอาคารพาณิชย์ ฯลฯ พร้อม ๆ กันนี้ก็เกิดความขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ถูกสั่งโยกย้ายออกจากบ้าน คนที่ไม่ยอมย้ายออก ไม่ยอมให้รื้อถอน อาจมีเหตุผลว่าจำนวนเงินที่รัฐชดเชยให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงไม่ยอมเซ็นหนังสือยินยอมให้รื้อถอน ซึ่งชาวจีนจะเรียกบ้านเหล่านี้ว่าบ้านตะปู)
หยุนหว่านหนิงชิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว รีบชงชาดอกเก๊กฮวยมาแก้วหนึ่งอย่างรวดเร็ว “เสด็จพ่อ ดอกเก๊กฮวยช่วยดับร้อนได้ดีที่สุดนะเพคะ”
สุดท้ายโม่จงหรานก็รับมา จิบไปคำหนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาว่า “อย่าคิดนะว่าแค่ชาดอกเก๊กฮวยแก้วเดียวก็จะซื้อข้าได้! พูดมา ว่าคิดจะทำอะไรอีกแล้ว?”
เขาหรี่ตามองนาง
“เสด็จพ่อ นี่คือ 《เฉินฉิงเปี่ยว》ที่อ๋องฮั่นเขียนด้วยตัวเองนะเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงมองไปที่ม้วนฎีกาบนโต๊ะ
ซูปิ่งซ่านหัวเราะเบา ๆ “ยังมีบางอย่างที่พระชายาหมิงยังไม่รู้”
“ระยะนี้ อ๋องฮั่นจะส่งจดหมายสำนึกผิดมาที่วังทุกวัน เริ่มแรกยังเขียนด้วยกระดาษซวนจื่อ แต่ล้วนถูกฝ่าบาทฉีกแล้วโยนทิ้งลงตะกร้าหมด”
เขาอธิบายต่อ “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อ๋องฮั่นก็รู้เรื่องนี้เข้าจนได้”
“วันนี้จึงจงใจ ส่งเป็นฎีกาเข้าวังมาแทน”
“ถึงอย่างนั้น ก็ยังถูกโยนลงตะกร้าอยู่ดีไม่ใช่รึ?”
หยุนหว่านหนิงยิ้มอย่างอึมครึม “อ๋องฮั่นนี่ช่างเหมาะกับคำว่าอยู่เพื่อกินอย่างเดียวจริง ๆ”
โม่จงหรานพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่เจ้าดูถูกลูกชายของข้าอย่างนั้นรึ?”
“เสด็จพ่อ พวกเราต้องมาพูดถึงเรื่องของมโนธรรมกันก่อนนะ! เป็นท่านเองที่ดูถูกอ๋องฮั่นก่อน ส่วนหม่อมฉันก็แค่เดินตามรอยเท้าของท่าน ยกสองมือเห็นชอบต่อการตัดสินใจของท่าน แล้วทำไมถึงกลายเป็นข้าที่นึกดูถูกอ๋องฮั่นไปเสียได้ล่ะ?”
ถ้าให้พูดพล่ามเรื่องไร้สาระล่ะก็ หยุนหว่านหนิงเคยกลัวใครซะที่ไหน?
คำพูดประจบสอพลอแบบไร้หัวไร้หางของนาง ทำให้โม่จงหรานมึนงงจนคลำทางไม่ถูกแล้วจริง ๆ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ บอกจุดประสงค์ของเจ้ามา”
ขณะที่หยุนหว่านหนิงกำลังจะพูด เหลียงเสี่ยวกงกงก็ค้อมหัวต่ำเดินเข้ามา
“ฝ่าบาท เว่ยกั๋วกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่พบ!”
ตอนนี้ขอแค่โม่จงหรานได้ยินใครเรียกคนแซ่เว่ย ก็โกรธเสียจนไฟโทสะลุกท่วมตัวแล้ว
“ข้าน้อยบอกไปแล้วว่าฝ่าบาททรงติดราชกิจ แต่เว่ยกั๋วกงก็ยืนกรานว่าจะรออยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงเสี่ยวกงกงรีบทูลกลับไป
ความหมายนั้นก็คือ ถ้าวันนี้เว่ยกั๋วกงไม่ได้พบโม่จงหราน เขาก็จะเฝ้าอยู่ข้างนอกไม่ไปไหน….
ไอ้นิสัยตามรบเร้าพัวพันไม่เลิกนี่ เรียกว่าเป็นคู่ต่อสู้ของหยุนหว่านหนิงได้เลยทีเดียว
หยุนหว่านหนิงมองโม่จงหรานด้วยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เสด็จพ่อ นี่เป็นเพราะท่านไปแตะต้องเว่ยผิน ดังนั้นพอเว่ยกั๋วกงได้รู้ข่าว ก็เลยเข้าวังมาร้องขอความยุติธรรมให้น้องสาวของเขานะเพคะ!”
“ทำไมรอยยิ้มบนหน้าเจ้า ข้าเห็นแล้วถึงรู้สึกว่ามันวอนโดนไม้สักหวดจริง ๆ เลยนะ”
โม่จงหรานกวาดตามองนางแวบหนึ่ง แล้วโบกมือไปทางเหลียงเสี่ยวกงกง “ไป ๆ ๆ ”
“เอาเป็นว่าเจ้าไปบอกว่าข้ารู้ถึงเจตนาที่เขามาที่นี่แล้ว! ที่จัดการกับเว่ยผินนั้นไม่ใช่ความตั้งใจของข้า แต่เป็นความตั้งใจของฮองเฮา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นยียวนขึ้นทุกขณะ “เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย เป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม ให้เว่ยกั๋วกงไปคุยกับฮองเฮาเองเถอะ!”
หยุนหว่านหนิงยิ้มพลางยกนิ้วโป้งให้ “เสด็จพ่อ ช่างสมกับคำที่เขาว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริง ๆ !”
“หรือไม่ใช่ล่ะ”
โม่จงหรานแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ “หยุดพูดจาประจบสอพลอได้แล้ว! พวกเจ้าสองผัวเมียตัวร้าย คิดจะให้ข้าทำอะไรอีกล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงขยิบตาไปให้โม่เยว่ เป็นสัญญาณให้เขาขึ้นมาพูด….