อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 337 เจ้าเด็กนี่ ใครอยากได้ก็มาอุ้มไปเลย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 337 เจ้าเด็กนี่ ใครอยากได้ก็มาอุ้มไปเลย
โม่เยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
โม่จงหรานขมวดคิ้วทันที “พวกเจ้าจะมายักคิ้วหลิ่วตาอะไรกันอยู่ได้?”
“เสด็จพ่อ”
จากนั้นโม่เยว่ก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “เหลืออีกสองเดือน ก็จะเป็นวันเกิดของท่านแม่ กระหม่อมกับหนิงเอ๋อร์ได้หารือกันแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะให้เสด็จแม่เต๋อเฟยได้พบกับหยวนเป่าสักครั้ง”
“อย่างนั้นรึ?!”
โม่จงหรานถึงกับตกตะลึง
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึง ว่าโม่เยว่กับหยุนหว่านหนิงจะมาหารือเรื่องนี้กับเขา
“พวกเจ้าบอกเองไม่ใช่รึ ว่าเต๋อเฟยเก็บความลับไม่เคยอยู่น่ะ?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตำหนักสิงกง หยุนหว่านหนิงยังเน้นย้ำหลายครั้งมาก ว่าไม่อาจให้เต๋อเฟยรู้เรื่องนี้ได้
สวรรค์รู้ดีว่าในช่วงหลายวันมานี้ เวลาที่อยู่ต่อหน้าเต๋อเฟยโม่จงหรานต้องอดทนอย่างทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ….. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เต๋อเฟยบ่นถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ว่าเยว่เอ๋อร์กับหนิงเอ๋อร์แต่งงานกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีลูกด้วยกันสักที ฯลฯ
โม่จงหรานอยากจะบอกนางจริง ๆ ว่า: เจ้ามีหลานชายแล้ว!
แต่เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของหยวนเป่า โม่จงหรานก็ทำได้แค่ต้องอดทน!
ทุกครั้งที่เขาออกจากวังเพื่อไปหาหยวนเป่า เขาต้อง “ประชันเล่ห์เหลี่ยม” กับเต๋อเฟยตลอด
พอตอนนี้ได้ฟังที่พวกเขาพูดมา มันช่าง……
โม่จงหรานแอบลูบมือของตัวเองเงียบ ๆ “จะว่าไป ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้เห็นหน้าหยวนเป่ามาระยะหนึ่งแล้วนะ หรือไม่วันหลัง พวกเจ้าอยากจะแอบพาหลานชายของข้าเข้าวังมาสักหน่อยหรือไม่ล่ะ?”
“ข้าสั่งให้ถังอานทำของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไว้ไม่น้อย แต่ยังไม่มีเวลาส่งไปให้หยวนเป่าเลยสักที!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็ตกใจจนผงะ “เสด็จพ่อ ถังอานไม่ใช่หนึ่งในห้าขุนนางซึ่งมีหน้าที่ขึ้นตรงต่อสำนักดาราศาสตร์ที่ถูกเรียกว่าอะไรนะ? ชิวกวนเจิ้ง หรอกหรือ?”
ซ่งจื่ออวี๋เป็นโหรใหญ่ครองตำแหน่งหัวหน้าสำนักดาราศาสตร์ ถัดจากเขาลงไปยังมีขุนนางชั้นผู้น้อยอีกหลายคน
แน่นอนว่า ขุนนางชั้นผู้น้อยเหล่านี้ ในวันปกติแล้วจะไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของซ่งจื่ออวี๋
ไม่มีใครรู้เลยว่า หัวหน้าโหรของพวกเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร…..
ขุนนางทั้งห้า เป็นตัวแทนของฤดูกาล มีชื่อเรียกโดยย่อว่า ชุน ซ่า จง ชิว ตง
ส่วนถังอาน เป็นขุนนางในตำแหน่งชิวกวนเจิ้ง (ตัวแทนฤดูใบไม้ร่วง)
และใต้เท้าถังท่านนี้ ก็เป็นคนที่มือไม้คล่องแคล่วสมองชาญฉลาด มีความเชี่ยวชาญในด้านการทำพวกเครื่องมือ หรือเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ทุกชนิด
ในเมื่อซ่งจื่ออวี๋ไม่ปรากฏตัว ส่วนในเวลาปกติทางสำนักดาราศาสตร์ก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร เพิ่งจะพ้นฤดูใบไม้ร่วง ถังอานจึงว่างงานไม่มีอะไรทำ เลยไปนั่งทำงานหัตถกรรมในสำนักดาราศาสตร์ทุกวัน
ด้วยความบังเอิญ ก็ถูกโม่จงหรานค้นพบเข้าจนได้
นับจากนั้น เขาจึงสั่งให้ถังอานทำพวกของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ สำหรับเด็กเล็กอยู่เสมอ
“ใช่สิ!”
โม่จงหรานพยักหน้า “ถังอานเดิมทีก็ดำรงตำแหน่งขุนนางชิวกวนเจิ้งนี่แหล่ะ ทำไมรึ?”
หยุนหว่านหนิงพูดไม่ออก “เสด็จพ่อ ท่านถึงกับไปสั่งให้ใต้เท้าถังทำของเล่นให้หยวนเป่าจริง ๆ รึ? ที่สำนักดาราศาสตร์นี่เขาว่างการว่างงานกันขนาดนี้เลยหรือ? แบบนี้น่าจะไม่ค่อยดีนะเพคะ?”
“มีอะไรไม่ดีล่ะ?”
โม่จงหรานแค่นเสียงเบาๆ“ซ่งจื่ออวี๋ไม่ยอมมาปรากฏตัว พวกเขาต่างก็ว่างงานไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
“ให้เขาทำของเล่นให้หลานชายสุดที่รักของข้า ถือเป็นวาสนาของเขาแล้ว!”
หยุนหว่านหนิง: “….”
โม่เยว่เริ่มคิดมาก อดถามไม่ได้ว่า “เสด็จพ่อ ใต้เท้าถังจะรู้ถึงการมีอยู่ของหยวนเป่าหรือไม่?”
“ข้าดูโง่เขลาขนาดนั้นเลยรึ? ถึงจะได้ไปไล่บอกคนอื่นปาว ๆ ถึงการมีอยู่ของหยวนเป่า?”
โม่จงหรานมองเขาด้วยสายตารังเกียจแวบหนึ่ง “เดิมทีถังอานก็ปากมากถามข้าอยู่เหมือนกัน ข้าก็เลยตอบไปว่า ตอนนี้ข้ายังไม่มีหลานชาย หรือในอนาคตก็จะไม่มีโอกาสมีหลานชายแล้ว? !”
ด้วยเหตุนี้ ถังอานจึงถูกอุดปากจนเงียบสนิทไปเลย
ใครจะรู้ล่ะว่า ในราชวงศ์ของพวกเขา จะมีหลานชายคนโตตั้งนานแล้ว!
“ข้อเสนอเมื่อครู่นี้ของพวกเจ้า ตัวข้าเห็นด้วย”
โม่จงหรานพูดอย่างครุ่นคิด “แม้ว่าเต๋อเฟยจะเป็นคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหยวนเป่า ข้าเชื่อว่าเต๋อเฟยคงจะปิดปากของนางให้สนิทได้!”
……………….
ทั้งสองออกจากวัง แล้วตรงไปรับหยวนเป่าที่บ้านตระกูลกู้
ไม่ได้หน้ากันมาทั้งคืน หยุนหว่านหนิงคิดถึงหยวนเป่าลูกชายสุดที่รักแทบตายแล้ว!
หลังจากเข้าไปในบ้านตระกูลกู้ ก็ได้ยินว่ากู้ป๋อจ้งมีธุระด่วนจึงต้องออกไปก่อน ส่วนกู้หมิงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
หยวนเป่านั่งอยู่บนรั้วกั้นตรงหน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ สวมหมวกลายเสือน้อย และผ้าพันคอลายเสือน้อย
เจ้าตัวนั่งแกว่งสองเท้าเล็ก ๆ ไปมา ดวงตาจ้องมองไปที่ประตูด้วยแววตั้งตารอคอย…..
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ปรากฏตัว เขาก็กระโดดจากรั้วกั้นนั้นลงมาทันที
รั้วกั้นนั้นสูงกว่าหนึ่งเมตร เมื่อเห็นเขากระโดดลงมาแบบนี้ หยุนหว่านหนิงก็ตกใจแทบตาย อดกรีดร้องแล้วรีบพุ่งเข้าไปไม่ได้ “ลูกชาย นั่นเจ้าจะทำอะไร!”
ด้วยความกลัวว่าลูกชายจะตกลงมาแข้งราขาหัก นางจึงตัดสินใจว่าจะใช้ตัวเองเป็นโล่มนุษย์
ใครจะคิดว่า หยวนเป่ากลับโดดลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง แต่ฝ่ายหยุนหว่านหนิงที่ “เหยียบเบรก” ไม่ทัน กลับเป็นฝ่ายเท้าลื่นก่อนจะล้มหน้าทิ่มลงไปกับพื้นแทน
โม่เยว่คิดจะยื่นมือออกไปคว้าตัวนางไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว!
หยวนเป่ายืนอยู่ตรงหน้าของหยุนหว่านหนิง ก้มหน้าลงมองนาง กระพริบดวงตาที่สดใสเป็นประกายคู่นั้นปริบ ๆ
หัวใจของหยุนหว่านหนิงพลันหลอมละลายลงในพริบตา!
“ฮาย ลูกรัก”
นางเงยหน้าขึ้น ลุกไม่ไหวอยู่เป็นนานสองนาน
ล้มแบบนี้เป็นอะไรที่เจ็บมากจริง ๆ แฮะ!
“ฮาย ท่านแม่”
หยวนเป่าพูดอย่างฉะฉานว่า “วิธีการทักทายแบบนี้ของท่าน ช่างโดดเด่นไม่เหมือนใครจริง ๆ! พวกเราไม่ได้เจอกันแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเอง ทำไมแม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
เขายื่นมือเล็ก ๆ ออกมา พยายามออกแรงช่วยพยุงหยุนหว่านหนิงให้ลุกขึ้น
“ท่านแม่ ท่านล้มแบบนี้เจ็บหรือไม่?”
“ไม่หรอก ไม่เจ็บ”
หยุนหว่านหนิงล้มจนไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรต่อแล้ว
แต่เพราะกลัวว่าลูกชายจะเป็นห่วง นางจึงทำได้แค่กัดฟันทนต่อความเจ็บปวด ถามไปว่า “ลูกมาทำอะไรที่นี่ ?”
เมื่อครู่นี้เพราะตื่นเต้นเกินไป จนถึงกับลืมไปเลยว่าช่วงหลายวันมานี้ โม่เยว่ได้เริ่มสอนให้หยวนเป่าฝึกวรยุทธ์แล้ว!
เจ้าเด็กนี่ จู่ ๆ ก็กระโดดลงมาจากรั้วที่สูงขนาดนั้นอย่างกะทันหัน นางย่อมถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่ออยู่แล้วสิ ไม่ใช่เรอะ? !
“ข้ากำลังรอแม่ไง”
หยวนเป่าจับมือของนาง ดูอย่างละเอียดจนพบว่า ที่กลางฝ่ามือของนางถูกแผ่นหินปูพื้นครูดจนเป็นแผล จึงรีบเป่าพ่วง ๆ ให้นาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “ท่านแม่ ข้าเป่าพ่วง ๆ ให้ท่านแล้ว เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้วนะ”
หยุนหว่านหนิงซาบซึ้งใจ จนขอบตาทั้งสองอาบคลอด้วยน้ำตาอุ่นร้อนเลยทีเดียว
“ลูกรัก แม่ไม่เป็นไรหรอก!”
หยวนเป่าเงยหน้าขึ้น จึงเห็นว่าโม่เยว่กำลังเดินเข้ามาพอดี “ฮาย พ่อเก๊”
โม่เยว่: “….”
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขและความคิดถึง ถูกคำว่า “พ่อเก๊” คำนี้ของเขาพัดพาไปจนปลิวหายสลายไป ไม่มีเหลือแม้เพียงร่องรอยทันที!
เจ้าเด็กคนนี้ เขาไม่อยากรักแล้ว!
ใครอยากได้ ก็มาอุ้มไปเลย!
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่ทำท่าเหมือนอยากจะกลอกตามองบน แต่ก็พยายามฝืนควบคุมกริยาเอาไว้ หยุนหว่านหนิงก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “จริงสิ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? ท่านตาทวดกับท่านลุงทวดของเจ้าล่ะ”
“ท่านตาทวดบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบออกไปข้างนอก ส่วนท่านลุงทวดเมื่อครู่นี้เล่นกับข้า เหนื่อยจนเสื้อผ้าเปียกโชกไปหมดเลย”
“ดังนั้นท่านลุงทวดเลยไปเปลี่ยนชุดแล้ว!”
เดิมทีกู้หมิงก็อยากให้เขาตามไปที่สวนหลังบ้านด้วย แต่เขาอยากรอหยุนหว่านหนิงที่นี่
ดังนั้น เด็กน้อยจึงขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วกั้นคนเดียว กระพริบดวงตากลมโตปริบ ๆ รอให้แม่มารับอย่างใจจดใจจ่อ
ทำให้เมื่อครู่ตอนที่หยุนหว่านหนิงเข้าประตูมา จึงเหมือนมองเห็นจากที่ไกล ๆ ว่ามีเสือตัวน้อยที่ดูท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ขึ้นไปนั่งยอง ๆ อยู่บนรั้วกั้น
“แล้วลูกกินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง?”
หยุนหว่านหนิงลูบผมของเขา มันยังเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย
คงเพราะเล่นกับกู้หมิง แล้วสนุกซะจนทั้งเสื้อผ้าและเส้นผมเปียกโชกไปหมด
กู้หมิงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดผมของเขาให้แห้งก่อน เสร็จแล้วค่อยกลับไปลานหลังบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง
ทั้งท่านตาและท่านลุง ต่างก็ดูแลใส่ใจหยวนเป่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีมาก ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูอย่างไม่มีเงื่อนไข…. หยุนหว่านหนิงรู้สึกแสบร้อนในอก แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย
“กินแล้วขอรับ”
หยวนเป่าเดินจูงมือนางเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วนั่งลง “ไม่รู้ว่าท่านตาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“พ่อเก๊ ท่านแม่ พวกเรารอท่านลุงทวดออกมาแล้ว กล่าวทักทายเขาก่อนค่อยกลับดีหรือไม่?”
ไม่พูดไม่ได้ว่า หลังจากผ่านไปครึ่งปีกว่า ๆ ที่กู้ป๋อจ้งอบรมสั่งสอนเขาด้วยตัวเอง หยวนเป่าก็มีมารยาทรู้สัมมาคารวะขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
หยุนหว่านหนิงรู้สึกชื่นอกชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
นางชื่นใจมาก ส่วนโม่เยว่กลับปวดใจมาก
คำว่า”พ่อเก๊” ที่หยวนเป่าเอาแต่เรียกซ้ำ ๆ คำนี้ ฟังดูแล้วช่างเหมือนมีดที่กรีดแทงลงกลางหัวใจของเขาสิ้นดี
เพียงไม่นานกู้หมิงก็ออกมา
หลังจากกล่าวทักทายเสร็จ ก็กล่าวปฏิเสธความตั้งใจดีที่จะชวนให้พวกเขาอยู่กินมื้อค่ำที่บ้านตระกูลกู้ หยุนหว่านหนิงช่วยจับชีพจรให้เขาอีกครั้ง จึงพบว่าอาการของเขาดีขึ้นมากทีเดียว ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกจึงกลับจวนได้อย่างสบายใจ
เมื่อผ่านโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน หยุนหว่านหนิงก็บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพฉากที่น่าตื่นตะลึงเหนือความคาดหมายเข้า……