อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 35 โม่เยว่ ท่านมันไร้ยางอาย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 35 โม่เยว่ ท่านมันไร้ยางอาย
เห็นหยุนหว่านหนิงทำหน้าระมัดระวัง ยังกระชับเสื้อผ้า ราวกับกลัวว่าเขาจะทำอะไรนาง
โม่เยว่เย้ยหยันอย่างไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก “เจ้านึกว่า ข้าจะให้เจ้าตอบแทนด้วยร่างกาย? หรือว่า ข้าจะลวนลามเจ้าเพราะความหิวโหยจนไม่เลือกกิน?”
“หยุนหว่านหนิง ในสมองของเจ้าคิดอะไรอยู่?”
ไม่ได้หมายปองนางก็ดี……
หยุนหว่านหนิงถึงได้วางมือลง “เช่นนั้นท่านอยากให้ข้าทำอะไร?”
“หนึ่งพันตำลึงทอง ที่เจ้าหลอกมาจากพี่สาม……”
โม่เยว่มองดูนางอย่างใจเย็น
ผู้ชายคนนี้!
ถึงขนาด หมายปองหนึ่งพันตำลึงทองของนาง? !
“ข้าเก้าท่านหนึ่ง”
หยุนหว่านหนิงกล่าวออกโดยไม่ต้องคิด
คืนนี้ถึงแม้โม่เยว่จะไม่มา นางก็สามารถรอดชีวิตจากน้ำมือของโม่หุยเฟิงได้ แต่ในเมื่อเขามาเพื่อนางด้วยตัวเองในครั้งนี้ ดีร้ายก็ควรจะให้ค่าเหนื่อยหน่อย
“ชีวิตของเจ้า มีค่าแค่นี้เองหรือ?”
โม่เยว่เหล่ตามองนางครู่หนึ่ง สีหน้าแฝงความเย้ยหยัน
ถึงแม้จะรู้ว่าเขากำลังจงใจยั่วยุนาง แต่หยุนหว่านหนิงก็ยังอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ “ข้าแปดท่านสอง ถอยไม่ได้อีกแล้ว!”
“แบ่งกันครึ่งๆ”
คำพูดของโม่เยว่สั้นกะทัดรัดแต่ครอบคลุม ท่าทางแข็งกร้าว “มิเช่นนั้น ข้าจะส่งคนไป ฆ่าโหยวเอ้อซะ”
หยุนหว่านหนิงตะลึงไปครู่หนึ่ง “ท่านรู้จักโหยวเอ้อ? !”
“ข้าไม่เพียงแค่รู้เท่านั้น ยังจับเขาได้แล้ว”
มีความมั่นใจในการพูดเงื่อนไขต่อหน้าหยุนหว่านหนิง ใบหน้าของโม่เยว่เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย “หากเจ้าไม่ยอม ข้าจะให้คนฆ่าเขาซะ”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้จะจับตัวโหยวเอ้อไปทำไม……
แต่นาทีแรกที่หรูยี่หาโหยวเอ้อเจอ ก็รายงานต่อเขาแล้ว
“หรูยี่คนนี้! รับประโยชน์ของข้าแล้ว แต่ยังจะไปฟ้องให้ท่านอีก!”
พริบตาเดียวหยุนหว่านหนิงก็นึกได้ว่า หรูยี่เป็นคนร้องเรียนเขา รู้สึกโกรธจนกระทืบเท้าทันที “ข้าจะต้องตัดหัวของเขา มาทำหม่าล่าหัวปลาให้ได้!”
สายตาของโม่เยว่ประกายแวบขึ้นมาครู่หนึ่ง “เป็นอย่างไร? แบ่งกันครึ่งๆ?”
“โม่เยว่ ท่านมันไร้ยางอาย!”
ถึงขนาดใช้ชีวิตของโหยวเอ้อมาข่มขู่นาง!
หยุนหว่านหนิงโกรธสุดขีด ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความโกรธ
สองมือของโม่เยว่ไขว้หลังเอาไว้อย่างได้ใจ ดูเหมือนกับว่าการเห็นนางกระทืบเท้าเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก กล่าวขึ้นมาอย่างพึงพอใจ “อย่างข้าเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้”
“ได้! แบ่งกันครึ่งๆ! แต่ท่านต้องมอบโหยวเอ้อให้ข้า!”
หยุนหว่านหนิงจ้องมองเขาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ตกลง”
บนถนนฉางอันในยามค่ำคืน ทั้งสองเดินอยู่หน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่ง
คนหนึ่งสีหน้าได้ใจ คนหนึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เงาร่างของทั้งสองคน กลมกลืนไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
……
หยุนหว่านหนิงพูดถูก ฟ้าเพิ่งจะสาง หยุนติงหลานก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา เห็นโม่หุยเฟิงอ่านหนังสือเฝ้าอยู่ข้างเตียง ดวงตาทั้งคู่อดหลับอดนอนจนแดง นางรู้สึกตื้นตันใจ
หลังจากความตื้นตันใจแล้ว ก็คือความได้ใจ
อาศัยความจริงใจที่โม่หุยเฟิงมีต่อนางเต็มอก ฉินซื่อเสวียจะใช้อะไรมาแย่งกับนาง? !
“ท่านอ๋อง……”
เก็บความได้ใจในดวงตา นางเรียกออกมาอย่างอ่อนแรงคำหนึ่ง
โม่หุยเฟิงวางหนังสือในมือลงทันที……บอกว่าเป็นหนังสือ ความจริงคือบันทึกที่เขียนด้วยลายมือเล่มหนึ่ง หยุนติงหลานใช้เพื่อจดบันทึกชีวิตประจำวัน รวมไปถึง “ความรู้สึกในแต่ละวัน” ของนาง
บันทึกที่เขียนด้วยลายมือเล่มนี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเปิดดูเลย
เมื่อคืนหยุนติงหลานหมดสติไม่รู้สึกตัว เขาว่างๆไม่มีอะไรทำก็เลยหยิบมาเปิดดู
ถึงได้พบว่า ที่แท้หลานเอ๋อร์ของเขารักเขามากมายขนาดนี้ ถึงขั้นยินดีสละชีวิตเพื่อเขาด้วยซ้ำ
ในบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ ยังบันทึกความรู้สึกขัดแย้งที่นางอยากอยู่ข้างกายเขาทุกวัน แต่ก็ไม่อยากจะบีบบังคับให้เขารับนางเข้าจวนอ๋องเอาไว้ด้วย
ดูบันทึกของนางจบ ในใจของโม่หุยเฟิงก็ยิ่งรู้สึกติดค้างนางมากขึ้น
“หลานเอ๋อร์”
เขามองดูนางด้วยความเอ็นดูสงสาร “เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านอ๋อง ข้าเป็นอะไรไป”
หยุนติงหลานพยายามอยากจะลุกขึ้นมานั่ง
จนปัญญาร่างกายอ่อนแรง แขนขาปวดเมื่อย โดยเฉพาะสองมือกับนิ้วมือ เหมือนกับถูกคนตัดขาดทั้งหมด ขยับเพียงเล็กน้อย ก็เจ็บจนถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้า
นางสีหน้าซีดขาว คิ้วโค้งได้รูปขมวดกันแน่น ริมฝีปากก็แห้งอย่างมาก
“เจ้าถูกพิษ”
น้ำเสียงของโม่หุยเฟิงค่อยๆเคร่งขรึมขึ้นมา “หลานเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครวางยาพิษเจ้า?”
“ถูกพิษ?”
หยุนติงหลานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
นานพักใหญ่ ถึงได้ตอบสนองกลับมาช้าๆ “เป็นไปได้อย่างไร……”
นางมองไปทางโม่หุยเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นานพักใหญ่ถึงได้กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ข้าถูกพิษได้อย่างไร? เช่นนั้น เช่นนั้นใครเป็นคนแก้พิษให้ข้า?”
“หยุนหว่านหนิง”
โม่หุยเฟิงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ท่านพี่?”
หยุนติงหลานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้เลยว่า ท่านพี่ยังสามารถแก้พิษได้?”
เรื่องนี้ นางไม่รู้จริงๆ
เมื่อวานถูกพิษ เดิมทีนางก็ไม่คิดจะดึงหยุนหว่านหนิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสั่งให้สาวใช้ตอบคำถามเป็นเสียงเดียวกันตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่า เฉินซื่อเข้ามายุยง โยนความสงสัยไปที่ตัวหยุนหว่านหนิง
ชั่วขณะหนึ่ง สาวใช้ก็เอ่ยปากได้ยาก ได้แต่ปิดปากเอาไว้เงียบๆ
ดังนั้น หยุนติงหลานคิดไม่ถึงเลยว่า หยุนหว่านหนิงเป็นคนแก้พิษให้นาง
“ถูกต้อง”
โม่หุยเฟิงเหน็บผ้านวมของนางเข้ามุม ขมวดคิ้วแน่น “หลานเอ๋อร์ นังแพศยาหยุนหว่านหนิงนั่นเป็นคนวางยาพิษเจ้าใช่ไหม? ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานนางมาพบเข้าที่จวนกั๋วกง”
“นี่……”
หยุนติงหลานรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
นางเห็นหยุนหว่านหนิงมีความสุขไม่ได้
หากสามารถอาศัยเวลานี้ ดึงนางเข้ามาพัวพันได้……
ช่างเถอะช่างเถอะ ยังไม่ถึงเวลา
นางแสร้งทำเหมือนย้อนคิดอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง มองไปทางโม่หุยเฟิงด้วยสีหน้าท่าทางลำบากใจ กระซิบชื่อของคนคนหนึ่งออกมา
“เป็นความจริงหรือ? !”
ได้ยินคำพูดของนาง สายตาของโม่หุยเฟิงเปล่งประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง มองดูนางครู่หนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้น ความชั่วร้ายก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้าของเขา “มีหลักฐานหรือไม่?”
ลวี้โยว่สาวใช้ของหยุนติงหลาน รีบนำหลักฐานออกมา
สีหน้าของโม่หุยเฟิงมืดมนมากยิ่งขึ้น “เรื่องนี้ ข้าจะตรวจสอบให้ชัดเจน”
พูดไป เขาก็ลุกขึ้นมา
เดิมคิดจะจากไปโดยตรง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ร้องไห้ก็ยังงดงามของนาง ก็ลดน้ำเสียงลง กำชับเสียงเบา “เจ้าพักผ่อนให้ดี”
“เรื่องนี้ข้าจะต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าอย่างแน่นอน! สิ่งที่เจ้าอยากได้ ข้าก็จะคิดหาวิธีที่จะทำให้เจ้าพึงพอใจ”
“จริงหรือเพคะ? ท่านอ๋อง?”
หยุนติงหลานรู้สึกดีใจ รีบร้อนควบคุมอารมณ์ กล่าวออกมาอย่างน้อยใจ “แต่ว่าข้าอยากให้ท่านอ๋องอยู่กับข้า”
“ขอเพียงแค่ท่านอ๋องอยู่กับข้า เรื่องอื่นล้วนไม่มีอะไรสำคัญทั้งนั้น”
ยิ่งนาง “อดกลั้นเอาใจใส่” และยิ่ง “เชื่อฟังรู้เหตุรู้ผล” เช่นนี้มากเท่าไหร่ โม่หุยเฟิงก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อนางมากเท่านั้น “หลานเอ๋อร์เจ้าวางใจ”
“ข้าพูดจริงทำจริง!”
เขาโน้มตัว จูบนางเบาๆ สั่งการให้สาวใช้ดูแลนางอย่างดี
จากนั้น ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
มองดูประตูห้องถูกปิดลง หยุนติงหลานเกี่ยวริมฝีปากขึ้นมาอย่างได้ใจ
เวลานี้ ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว
โม่หุยเฟิงคำนวณเวลา วางแผนกลับไปที่จวนอ๋องหยิงก่อน ค่อยเข้าวังไปเข้าประชุมเช้า
ไม่ได้นอนทั้งคืน ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ สีหน้าไม่น่าดู
ดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อย
เขาเข้าไปในจวนอ๋องหยิงโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็เดินไปทางเรือนนอนของฉินซื่อเสวีย บ่าวรับใช้น้อมทักทายบอกว่าพระชายายังไม่ลุกขึ้นมา เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน บุกเข้าไปโดยตรง
ถึงแม้ฉินซื่อเสวียยังไม่ลุกขึ้นมา แต่ก็ตื่นนอนแล้ว
แม่นมดูแลลูกสาวคนเล็ก ในเวลากลางคืนไม่มีลูกก่อกวน แต่นางกลับไม่ได้นอนดีๆ
โม่หุยเฟิงไม่ได้กลับมาทั้งคืน
ไม่ต้องคิดมาก ต้องไปที่จวนยิ่งกั๋วกง อยู่กับนังปีศาจจิ้งจอกคนนั้นแน่!
ฉินซื่อเสวียแอบรู้สึกเกลียดชังในใจ กำลังคิดอยู่ว่าจะสั่งสอนนังปีศาจจิ้งจอกนั่นอย่างไรดี ก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงบ่าวรับใช้มาน้อมทักทายดังมา
นางรู้ว่า โม่หุยเฟิงกลับมาแล้ว
คิดว่าระยะนี้ทั้งสองทะเลาะกันอยู่ นางจึงนอนต่อไปไม่ได้ลงมาต้อนรับเขา
อาศัยโอกาสนี้แกล้งทำเป็นป่วย ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะรู้สึกเอ็นดูสงสารนาง……
ไหนเลยจะรู้ว่านางเพิ่งหลับตาลง ประตูห้องก็ถูกถีบออกแล้ว!
แรงกำลังมหาศาล เกิดเป็นเสียงดัง “ปัง” ขึ้นมา ฉินซื่อเสวียสะดุ้งตกใจจนเปลือกตากระตุก รีบร้อนลืมตาขึ้นมา
เห็นเพียงโม่หุยเฟิงก้าวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตบมายังใบหน้าอย่างแรงหนึ่งฉาก แล้วก็บีบคอของนางเอาไว้ ด่าออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นังแพศยา!”