อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 360 คนร้ายจะเป็นใครได้
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 360 คนร้ายจะเป็นใครได้
หยุนหว่านหนิงเพิ่งกลับมาถึงจวนอ๋อง โม่เยว่ก็กลับมาแล้วเช่นกัน
รู้ว่านางไปที่จวนอ๋องฉู่มา ทำให้โม่หุยเหยียนโกรธจนพ่ายแพ้ยับเยิน ยังรีดไถเงินมาห้าหมื่นตำลึง บวกกับแจกันมรกตสีเขียวจักรพรรดิอีกหนึ่งใบ
โม่เยว่ไม่แปลกใจเลยสักนิด
เขาแค่พยักหน้าเล็กน้อย แสดงความคิดเห็นอย่างสงบนิ่งมาก “พลังวัตรของหนิงเอ๋อร์ พัฒนาขึ้นทุกวัน”
ส่วนที่ว่าเป็นพลังวัตรอะไร ทุกคนรู้ดีแก่ใจ
หรูโม่หัวเราะในลำคอ “นับกันขึ้นมาแล้ว ในบรรดาท่านอ๋องทั้งหลายก็มีเพียงอ๋องฉู่คนเดียว ที่ยังไม่เคยลิ้มลองความรู้สึกที่ถูกพระชายาทำให้อกแตกตายเลย”
วันนี้แม้แต่โม่หุยเหยียนก็ได้ลิ้มลองความรู้สึกแบบนี้แล้ว!
คิดว่าคงเจ็บแสบเกินบรรยายมากพอใช่ไหม? !
“ไม่ใช่ นี่พวกท่านกำลังสะสมเหรียญเกียรติยศให้ข้าอยู่หรือ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว “เมื่อครู่พวกท่านยังพูดขาดไปเรื่องหนึ่ง! ความดีความชอบของข้าในวันนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะ ยังถือโอกาสยุแยงความสัมพันธ์ของอ๋องฉู่กับหมอหลวงหยางไปในตัวด้วย”
“หมอหลวงหยางเขาได้บอกอะไรให้แล้ว”
นางยกถ้วยชาขึ้นมา ดื่มหมดในรวดเดียว
ทำให้คนโมโหมันเหนื่อยเกินไปแล้ว คอแห้งไปหมด
“หมอหลวงหยางบอกแล้วว่า วันหน้าถึงแม้จวนอ๋องฉู่จะมีคนตาย เขาก็จะไม่ไปเยือน”
หยุนหว่านหนิงฮึออกมาอย่างเย็นชา “ถึงแม้อ๋องฉู่ต้องการปรับความเข้าใจกับเขา ก็ไม่มีทาง!”
โม่เยว่ทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน
เขาควรจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี?
รู้สึกแค่ว่าผู้หญิงตัวเล็กที่ซุกซนเฉลียวฉลาดตรงหน้าคนนี้ เหมือนกับนางมารน้อยตนหนึ่งชัดๆ แม้แต่ตอนที่ทำให้คนอกแตกตาย ก็ยังน่ารักขนาดนี้ ทำเอาเขายากที่จะระงับความปรารถนาในใจได้!
เมื่อเห็นว่าสายตาที่เขามองไปทางนางผิดปกติแล้ว……
หรูโม่ขอตัวออกไปอย่างรู้งาน
หยุนหว่านหนิงก็สังเกตเห็นแสงสลัวในดวงตาของโม่เยว่แล้วเช่นกัน
ผู้ชายคนนี้ ชาติที่แล้วเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงดูมีอารมณ์ทุกที่ทุกเวลา? !
ยังดีที่ไม่ได้ถูกเขากิน มีครั้งแรก เกรงว่าต่อไปคงต้องมีทุกวันไม่ขาดสายแน่!
ความหยาบคายของเขาในคืนวันแต่งงาน ความเจ็บปวดที่ทิ้งเอาไว้ให้นางยังปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน……
หยุนหว่านหนิงกลืนน้ำลายลงคอ ห้ามไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาอย่างชาญฉลาด
นางรีบตะโกนขึ้นมาว่า “หรูโม่เจ้าหยุดนะ!”
หรูโม่ตัวแข็งทื่อ มองไปทางนายท่านของตัวเองด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว แล้วก็ส่ายหน้าให้กับหยุนหว่านหนิง เขาบอกนางอย่างไม่มีเสียง: พระชายา ข้าน้อยไม่กล้า!
เขาแอบชิ่งหนีไป
หยุนหว่านหนิงมองไปที่แผ่นหลังของเขา ถุยออกมาคำหนึ่ง: “……เลวระยำหมา!”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้โม่เยว่เผลอพังทลายลงมา
เขาหัวเราะในลำคอ “หนิงเอ๋อร์ ข้าพบว่าตอนที่เจ้าสุภาพและสงบเสงี่ยมที่สุด ก็คือหลังจากที่นอนหลับไปแล้ว”
อืม หลังจากนอนหลับไปแล้วเขาสามารถทำตามอำเภอใจได้
ยกเว้นก้าวข้ามเส้นขอบเขตสุดท้าย
“อยู่ดีๆ ทำไมหนานกงเยว่กินอาหารว่างที่ฉินซื่อเสวียสั่งให้คนส่งไปแล้ว ก็เกิดเรื่องขึ้นได้ล่ะ? เรื่องนี้ฉินซื่อเสวียเป็นคนทำจริงหรือ?”
หยุนหว่านหนิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสด็จพ่อคิดจะลงโทษฉินซื่อเสวียอย่างไร?”
รู้ว่านางต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่โม่เยว่ก็ไม่กล้าบีบบังคับนางมากเกินไป
ท่าทีที่นางมีต่อเขาในตอนนี้ เทียบกับที่ผ่านมาถือว่าผ่อนผันไม่น้อยแล้ว
เขาดีใจมากแล้ว
จะคลี่คลายความเจ็บปวดที่เขากระทำไว้ต่อนาง ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในวันสองวัน เขาต้องค่อยเป็นค่อยไป
“เสด็จพ่อยังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่”
โม่เยว่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า
ทันทีที่พูดเรื่องจริงจังขึ้นมา เขาก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“แต่ก็ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบมาก คนที่ไปส่งอาหารว่างให้หนานกงเยว่ คือจื่อซูสาวใช้ข้างกายของฉินซื่อเสวีย สาวใช้นางนี้ถูกควบคุมและตัวสอบปากคำแล้ว”
“จื่อซู?”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วเบาๆ
เมื่อพูดเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบจริงๆ
จื่อซูเป็นสาวใช้ข้างกายของฉินซื่อเสวีย ยิ่งเป็นลูกบ่าวรับใช้ซึ่งเกิดในเรือนนายที่ปรนนิบัติรับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก ติดตามฉินซื่อเสวียเข้าจวนอ๋องในฐานะสาวใช้แต่งเข้าบ้านตามภรรยา
ไม่ว่าจะเป็นที่จวนอ๋องสาม หรือว่าจวนฉินเฉิงเซี่ยง นอกจากฉินซื่อเสวียแล้ว ไม่มีใครสามารถสั่งให้นางไปทำอะไรได้
หากจื่อซูเป็นคนส่งของว่างไป เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่างเท่านั้น
หยุนหว่านหนิงกล่าววิเคราะห์ “เป็นไปได้อย่างมากที่ฉินซื่อเสวียเป็นคนสั่งการจื่อซู ให้นางวางยาหนานกงเยว่”
“แต่ข้าคิดว่า ถึงฉินซื่อเสวียจะโง่แค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าจะโง่จนถึงขั้นนี้”
รู้อยู่แล้วว่าลูกในครรภ์ของหนานกงเยว่ โม่จงหรานและฮองเฮาจ้าวล้วนให้ความสำคัญอย่างมากแท้ๆ
และโม่หุยเฟิงเพิ่งจะจากเมืองหลวงไป
หากเกิดเรื่องกับนาง จะไม่มีใครคอยหนุนหลัง!
ฉินซื่อเสวียไม่มีทางลงมือกับหนานกงเยว่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เด็ดขาด
“ดังนั้นสมมุติฐานข้อนี้มีความเป็นไปได้เพียงร้อยละสิบเท่านั้น”
หยุนหว่านหนิงยืนขึ้นมา เดินไปสองสามก้าวก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ไม่อย่างนั้นก็เป็นจื่อซูคนนั้นทำโดยพลการ ต้องการทำเพื่อกำจัดสิ่งกีดขวางบนเส้นทางข้างหน้า ให้เจ้านายของตัวเอง”
“แต่ว่าจื่อซูก็เป็นสาวใช้คนหนึ่ง ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย แกะรอยตามสืบก็จะสามารถสืบมาถึงตัวฉินซื่อเสวียแล้ว”
ถึงแม้จะไม่ได้ตรวจสอบฉินซื่อเสวีย คนอื่นก็จะคาดเดาในนาทีแรก ว่าฉินซื่อเสวียเป็นคนสั่งการให้จื่อซูลงมือ
“ดังนั้นความเป็นไปได้ในข้อนี้ก็ไม่สูงเช่นกัน มีเพียงประมาณร้อยละสามสิบเท่านั้น”
โม่เยว่พยักหน้าเบาๆ “หนิงเอ๋อร์กล่าวได้มีเหตุผล”
“ยังมีอย่างสุดท้ายที่มีความเป็นได้สูงที่สุด”
หยุนหว่านหนิงหันกลับมากะทันหัน สายตาจ้องมองโม่เยว่ตรงๆ “มีคนกำลังยืมมีดฆ่าคน!”
อาหารว่างนั่น ตอนที่จื่อซูส่งเข้าไปในจวนอ๋องฉู่ เป็นไปได้อย่างมากว่าไม่มีพิษ
แต่มีคนต้องการจะยืมมือของฉินซื่อเสวีย กำจัดหนานกงเยว่และลูกที่อยู่ในครรภ์ จากนั้นก็โยนความผิดไปให้ฉินซื่อเสวีย ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว!
โม่เยว่หรี่ตา “เจ้าหมายความว่า?”
“โจวหยิงหยิงอาจจะเป็นคนเรื่องนี้?”
หนานกงเยว่ตั้งครรภ์ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือพวกนางบรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้
ไม่เพียงจะแสดงว่าพวกนางไม่สามารถชิงให้กำเนิดพระนัดดาองค์โตก้าวหนึ่งก่อน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสัญลักษณ์ว่า ลูกสะใภ้คนไหนที่จะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีมากขึ้นด้วย!
หากไม่ใช่ฉินซื่อเสวีย และไม่ใช่หยุนหว่านหนิง
เช่นนั้นตัวเลือกคนสุดท้ายคนนี้ ก็เหลือเพียงโจวหยิงหยิงคนเดียวแล้ว!
“เป็นไปไม่ได้”
โม่เยว่ส่ายหน้าทันที “โจวหยิงหยิงเป็นคนที่ในหัวไม่ค่อยคิดเยอะพอๆกับพี่รอง”
พวกเขาสองสามีภรรยานอกจากกินข้าวแล้ว ไม่เก่งอะไรเลย
วางอุบายคิดคำนวณอะไรพวกนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาทั้งนั้น
โม่ฮั่นอี่ว์ใส่ร้ายโม่หุยเฟิงหลายครั้งหลายหน จนเอาตัวเองติดร่างแหเข้าไปด้วย……
คนที่ในหัวไม่ค่อยคิดเยอะอย่างโจวหยิงหยิง หากไม่ใช่เพราะมีจวนที่พำนักอาศัยต่างหาก ต้องอาศัยอยู่กับฉินซื่อเสวียและคนอื่นๆที่วังหลัง เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน
โม่เยว่รู้จักพวกเขาสองสามีภรรยาเป็นอย่างดี
“มันก็ไม่แน่”
หลังจากที่เห็นชัดเจนแล้วว่าหนานกงเยว่กับโม่หุยเหยียนเป็นพวก “แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ” ตอนนี้ไม่ว่ากับใครหยุนหว่านหนิงล้วนมีท่าทีที่สงสัยทั้งนั้น
นางนั่งลงไปใหม่ “ยิ่งเป็นคนที่ทำให้คนสงสัยได้ยากเช่นนี้ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก!”
“ตัวอย่างเช่น โม่หุยเหยียนกับหนานกงเยว่!”
คำพูดของนาง ทำให้โม่เยว่จมดิ่งลงไปในความคิดเช่นกัน
ต้องบอกว่า คำพูดของหยุนหว่านหนิงมีเหตุผลอย่างมาก
ตอนนี้คนที่น่าสังสัยที่สุด คือโจวหยิงหยิงจริงๆ……
และในเวลานี้ หรูเยียนเข้ามารายงาน บอกว่ามีแขกมาเยือน
“แขก?”
ระยะนี้ คนที่มาเยี่ยมจวนอ๋องหมิงถึงที่ ดูเหมือนจะมีค่อนข้างมากจริงๆ
ตอนนี้หยุนหว่านหนิงไม่มีใจจะต้อนรับแขกอะไรนั่น จึงกล่าวถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครกัน? หากไม่ใช่คนที่จะต้องพบให้ได้ ก็บอกปฏิเสธไปว่าข้าไม่สบายเถอะ!”
หรูเยียนมองไปที่โม่เยว่อย่างอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ครู่หนึ่ง
นางเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูหยุนหว่านหนิงสองสามคำ
“อ๋อ?”
สายตาของหยุนหว่านหนิงประกายขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นนางได้? ไปเชิญมา!”
เห็นดังนั้น โม่เยว่ก็รู้แล้วว่ามีความแปลกประหลาด “หนิงเอ๋อร์ ใครมาหรือ?”