อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 366 พระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 366 พระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ย
วันถัดมา
เมื่อหยุนหว่านหนิงและโม่เยว่ตื่นแต่เช้า หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อยก็พาหยวนเป่าเข้าวัง
เมื่อคืนทั้งสองปรึกษากันแล้ว การเปิดเผยฐานะของหยวนเป่าไม่ใช่เรื่องเล็ก แม้พวกเขาสองสามีภรรยาจะมีมติเป็นเอกฉันท์ แต่อย่างไรก็ควรหารือกับโม่จงหราน
เขาคือฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นเสด็จปู่ของหยวนเป่าด้วย
วันนี้หยวนเป่ามีความสุขมากเป็นพิเศษ
เขาไม่ต้องใส่หน้ากากออกจากบ้าน และไม่ต้องเป็น ‘คนต่างด้าว’ ที่พบเจอใครไม่ได้ จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในฝูงชน
วันนี้เขานั่งรถม้าเข้าวังพร้อมกับหยุนหว่านหนิงและโม่เยว่
เส้นผมยาวถูกรวบมัดสูง ใส่ชุดผาวยาวหรูหรา สะพายกระเป๋าที่หยุนหว่านหนิงเย็บกับมือไวตรงบ่าด้วย
ดูสดใสกระฉับกระเฉง หล่อแต่คงความน่ารัก
เมื่อเข้ารถม้า เขาก็เลิกผ้าม่านของรถม้าดูด้านนอก
ท้องถนนอันครึกครื้น คนสัญจรไปมา เขาตั้งใจมองจนเหม่อลอย
หยุนหว่านหนิงประคองเขาด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วหันมายิ้มกับโม่เยว่
ใต้ตาทั้งสองมีรอยคล้ำ เห็นได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน
“ท่านอ๋อง การเข้าประตูวังในวันนี้ หาบที่บ่าของเจ้าหนักกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก เจ้า ต้องเตรียมใจให้ดีล่ะ”
หาบที่บ่าจะไม่หนักได้อย่างไร
ที่หาบอยู่ข้างหนึ่งคือหยุนหว่านหนิง ส่วนอีกข้างคือหยวนเป่า
อีกทั้งบนศีรษะยังแบกรับกับแผ่นดินหนานจวิ้นทั้งหมด…
เมื่อก่อนมีหยุนหว่านหนิงค่อยช่วยเหลือตลอดเวลา จึงทำให้เขาผ่อนคลายไม่น้อยโดยแท้
แต่หนทางข้างหน้าจะยิ่งอันตรายและลำบาก เขาทำใจให้หยุนหว่านหนิงที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งร่วมแบ่งเบากับเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ โม่เยว่จะต้องก้าวผ่านท่ามกลางความกดดันนี้ด้วยความรวดเร็วให้ได้!
“วางใจเถอะ”
โม่เยว่ตบหลังมือนางเบาๆ “เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน ข้าจะดูแลหยวนเป่าเอง เจ้างีบในห้องโดยสารสักเดี๋ยวเถอะ”
ว่าแล้วเขาก็สลับที่กับหยุนหว่านหนิง ดูแลหยวนเป่าแทน
หยุนหว่านหนิงไม่ได้บอกปัด พิงบ่าเขาแล้วผล็อยหลับไป
ถ้าไม่บำรุงกำลังตอนนี้ เข้าวังแล้วจะมีแรงไปเผชิญกับผู้คนได้อย่างไร
ไม่นานรถม้าก็เข้าวังแล้ว
ต่างจากวันอื่นๆ วันนี้รถม้าของจวนอ๋องหมิงไม่ได้จอดที่ประตูอู่(*ประตูหน้า) แต่เคลื่อนเข้าจากด้านข้างฝั่งขวาของประตูอู่โดยตรง ไม่หยุด
รถม้ามุ่งตรงไปที่ห้องทรงพระอักษร ตะกุยเป็นฝุ่นคละคลุ้ง
เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าขุนนางที่กำลังเข้าวังเพื่อประชุมเช้าจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์
หยุนเจิ้นซงลูบเครา มองรถม้าผ่านข้างตัวไปราวกับมีความคิด
“เมื่อกี้ที่เข้าไป คือรถม้าของจวนอ๋องหมิงกระมัง”
“อ๋องหมิงจะไร้กฎเกณฑ์ไปแล้ว! ในวังมีคำสั่งห้ามรถม้าเข้า นี่มิใช่ฝ่าฝืนกฎวังหลวงอย่างโจ่งแจ้งหรือ!”
“บัดนี้พระชายาฉู่เกิดเรื่อง อ๋องฉู่กำลังหนักใจ อ๋องฮั่นถูกกักบริเวณ อ๋องสามถูกเนรเทศ อ๋องโจวป่วยหนัก ก็มีแต่อ๋องหมิงเท่านั้นที่กำแหงขนาดนี้! หรือว่าอ๋องหมิงอาศัยจุดนี้ จึงไม่คำนึงถึงอื่นใดหรือ”
โม่หุยเฟิงเป็นอ๋องใหญ่เฝ้าภูเขา ไม่ได้ถูกเนรเทศ
แต่ในสายตาของขุนนางเหล่านี้…
ต่างอะไรกับเนรเทศ
“อ๋องหมิงไม่คำนึงถึงอื่นใดที่ไหนกัน ได้รับความโปรดปรานจึงทะเยอทะยานชัดๆ! อาศัยที่ตอนนี้ฝ่าบาททรงกำลังให้ความสำคัญกับเขา!”
ถ้อยคำนี้ทำจนทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ต่างบอกว่าใช่
ไม่นาน รถม้าของจวนอ๋องหมิงก็ถึงหน้าห้องทรงพระอักษร
ตอนนี้โม่จงหรานเพิ่งตื่นนอน ซูปิ่งซ่านกำลังปรนนิบัติให้เขาล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวอยู่
เมื่อได้ยินเสียงรถม้าข้างนอก…
เขาก็ประหลาดใจ “นี่ใครกัน เช้ามาก็มาจูงม้าเดินเล่นอยู่นอกห้องทรงพระอักษรของข้าแล้วหรือ”
ซูปิ่งซ่านก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน จึงรีบออกไปตรวจสอบ
เขาเพิ่งเดินถึงปากประตูก็เห็นโม่เยว่เดินมา “โอ ที่แท้ก็อ๋องหมิงนั่นเอง! ทำไมมาที่ห้องทรงพระอักษรล่ะขอรับ ฝ่าบาทเพิ่งตื่นบรรทมนี่เอง!”
ปกติถ้าโม่เยว่เข้าวังจะไปที่ตำหนักฉินเจิ้งเลย
ไหนเลยจะรู้ วันนี้กลับมาที่ห้องทรงพระอักษร
โม่จงหรานกำลังบ้วนปาก
เมื่อเห็นโม่เยว่มา เขาจึงบ้วนน้ำบ้วนปากออก “เจ้าตัวบัดซบ! ตอนนี้จะกำแหงใหญ่แล้วนะ ถึงกลับกล้านั่งรถม้าเข้าถึงห้องทรงพระอักษร!”
โม่เยว่คำนับ “หม่อมฉันไม่ได้นั่งรถม้าเข้ามาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ มีหว่านหนิงอีกคน!”
ทั้งสองจะเข้าวังมาด้วยกัน นอกจากโม่เยว่แล้ว ก็ต้องเป็นหยุนหว่านหนิงอยู่แล้ว
“เจ้าอย่านึกว่าข้าไม่ทำอะไรนาง แล้วจะไม่เอาความผิดที่พวกเจ้าละเมิดกฎวังหลวง นั่งรถม้าเข้ามาอย่างเปิดเผยนะ บัดซบสิ้นดี!”
ทั้งสองคนทำตัวโดดเด่นอย่างนี้ หากให้ขุนนางบุ๋นบู๊เห็นเข้า…
แล้วเขาจะปกป้องอย่างไร!
หรือว่าละเมิดกฎวังหลวงแล้วยังพูดว่าบุตรชายกับลูกสะใภ้ทำได้ถูกต้องอย่างนั้นหรือ
“วันนี้พวกเจ้าทำไม่ถูก เพื่ออุดปากหอยปากปูของทุกคน ข้าต้องลงโทษพวกเจ้าเป็นพิธีสักหน่อย”
โม่จงหรานรับผ้าเช็ดหน้าที่ซูปิ่งซ่านยื่นมา เช็ดมือเบาๆ
“ไม่ใช่แค่หนิงเอ๋อร์กับหม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่จงใจพูดครึ่งๆ กลางๆ
โม่จงหรานเลิกคิ้ว “อ้อ ถ้าตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะไม่เอาผิดกับพวกเจ้าในวันนี้!”
โม่เยว่ “…”
“เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เขายื่นมือชี้ทางปากประตู เห็นหยุนหว่านหนิงกำลังด้อมๆ มองๆ โดยรอบ
พอเห็นว่าปลอดคน ก็อุ้มหยวนเป่าปรู๊ดเข้าห้องทรงพระอักษรด้วยความรวดเร็ว
ท่าทางนั้นอย่างกับพ่อค้ามนุษย์ลักเด็กชาวบ้าน…
การเคลื่อนไหวของนางพรวดพราดรวดเดียวจบ แม้แต่โม่จงหรานก็ดูไม่ชัดว่าที่อยู่ในอ้อมแขนนางคืออะไร เห็นนางห้องทรงพระอักษร
“พวกเจ้าคิดจะ…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยกังวานใสดังขึ้น “เสด็จปู่!”
จากนั้น เงาร่างน้อยๆ ก็โถมเข้าอ้อมอกของโม่จงหราน
อาศัยช่วงที่เขายังเหม่อ หยวนเป่ากระโดดขึ้นแล้วห้อยอยู่บนตัวเขา ติดหนึบราวกับลูกลิงน้อย
เขากอดคอโม่จงหราน ใช้ใบหน้าน้อยๆ ถูไถกับใบหน้าของอีกฝ่าย “เสด็จปู่ ข้าคิดถึงท่านจังเลย!”
สมองโม่จงหรานพลันว่างเปล่า
ยังเป็นซูปิ่งซ่านที่รู้สึกตัวขึ้นก่อน ตื่นเต้นจนหน้าชราแดงซ่าน “ไอ้หยา! พระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ยมา! บ่าว บ่าวคำนับพระนัดดาองค์โต”
เขาตัวสั่นงันงกคุกเข่าลง
เมื่อนั้นโม่จงหรานจึงราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
เขากอดหยวนเป่าแน่น ครู่หนึ่งแล้วจึงเหม่อมองหยุนหว่านหนิงและโม่เยว่ “ข้าไม่ได้ฝันไปกระมัง”
ครั้นสิ้นเสียง หยวนเป่าก็หยิกเขาแรงๆ ทีหนึ่ง
“ซี้ด!”
ใบหน้าชราของโม่จงหรานพลันเจ็บ สูดลมเย็น
หากเป็นคนอื่น คงรักษามือนี้ไม่ได้แล้ว
แต่คนที่หยิกเขาคือหลานชายสุดที่รักของเขาเอง…โม่จงหรานคลึงใบหน้า พลันดีใจลิงโลด “ข้าไม่ได้ฝันไป! ข้าไม่ได้ฝัน!”
หลานชายสุดที่รักของเขาเข้าวังมาแล้วจริงๆ!
โม่จงหรานอุ้มหยวนเป่าแล้วโยนกลางอากาศสองสามหน จากนั้นก็รับอย่างมั่นคง
ซูปิ่งซ่านตกใจจนหน้าถอดสี แม้มือยังถือแส้ขนหางจามรี แต่ก็ไม่ลืมยื่นมือรับหยวนเป่า “ฝ่าบาท ทรงรับให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ อย่าทำพระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ยตก!”
“อันตรายไปแล้ว! ไอ้หยาฝ่าบาททรงรีบหยุดเถอะ อย่าทรงทำให้พระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ยตกใจ!”
โม่จงหรานโยนสนุกสนาน หยวนเป่าก็เล่นหรรษาเหมือนกัน
เขาหัวเราะ “เอิ๊กๆๆ” ไม่กลัวสักนิด
ครู่หนึ่งแล้วโม่จงหรานจึงอุ้มหยวนเป่า กระหืดกระหอบนั่งอยู่ด้านข้าง
แม้ชุดมังกรมีเหงื่อซึมเป็นวงใหญ่ แต่เขาก็ไม่อยากวางหยวนเป่า ปล่อยให้หยวนเป่าจับเคราสั้นตรงคางของเขาตามใจชอบ หัวเราะไม่หุบปาก
หลังจากเล่นกับหยวนเป่าครู่หนึ่งแล้ว เขาจึงหันไปมองหยุนหว่านหนิงและโม่เยว่ “พวกเจ้าสองคนมีจุดประสงค์อะไรอีก”
หยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ “???”
“พวกเจ้าพาหยวนเป่าสุดที่รักมาพบข้า มีเรื่องอะไรจะขอร้องข้าหรือ”
โม่จงหรานทำหน้าจริงจัง
หยุนหว่านหนิง “…เสด็จพ่อ หม่อมฉันบริสุทธิ์ใจนะเพคะ! แค่เห็นว่าทรงไม่พบหยวนเป่านานแล้ว และหยวนเป่าก็คิดถึงพระองค์มาก ก็เลยตั้งใจพามาให้พระองค์เกษมสำราญสักหน่อย!”
“จริงหรือ”
เห็นชัดว่าโม่จงหรานไม่เชื่อ “พวกเจ้าจะใจดีอย่างนี้เชียว”
เมื่อสิ้นเสียงก็เห็นซูปิ่งซ่านที่เพิ่งออกไปเฝ้านอกประตูรีบร้อนวิ่งเข้ามา “ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”