อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 367 โม่เยว่หาเศษหาเลย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 367 โม่เยว่หาเศษหาเลย
“มีอะไรหรือ”
โม่จงหรานที่ยังจมจ่อมอยู่กับความชื่นมื่นในการพบหน้าหลานชายสุดที่รัก ตอนนี้อารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่โกรธกับการทะเล่อทะล่าของซูปิ่งซ่าน
หากเป็นปกติ น่ากลัวว่าต้องถีบกระเด็นไปนานแล้ว
“ฝ่าบาท อ๋องฉู่มาพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูปิ่งซ่านรีบตอบ “เมื่อกี้บ่าวเห็นอยู่ไกลๆ อ๋องฉู่เดินมาทางนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เกรงว่าตอนนี้จะถึง…”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงเหลียงเสี่ยวกงกงก็ดังมาจากนอกประตู “บ่าวคำนับอ๋องฉู่”
โม่หุยเหยียนมาแล้ว?!
หยุนหว่านหนิงและอีกสองสามคนสบตากับ เปลี่ยนสายตาพลัน!
เสียงของโม่หุยเหยียนยังคงนุ่มนวล “เสี่ยวเหลียงจื่อ เสด็จพ่อทรงตื่นบรรทมแล้วหรือ”
“ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมแล้วขอรับ”
เหลียงเสี่ยวกงกงรีบตอบ “ไม่ทราบท่านอ๋องมาเข้าเฝ้าตอนนี้มีธุระอะไรหรือขอรับ ฝ่าบาทกำลังฉลองพระองค์อยู่ ประเดี๋ยวก็จะเสด็จไปตำหนักฉินเจิ้งแล้ว”
“ข้ามีธุระ ต้องการหารือกับเสด็จพ่อ”
ระหว่างพูด สายตาของก็มองรถม้าที่จอดอยู่ข้างนอกลอยๆ…
โม่หุยเหยียนสายตาลุ่มลึก “รถม้าคันนี้ใช่ของจวนอ๋องหมิงหรือไม่”
“ขอรับ ท่านอ๋อง”
เหลียงเสี่ยวกงกงเริ่มใจเต้นตุบๆ
โม่หุยเหยียนหัวเราะเสียงนุ่ม “น้องเจ็ดกำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว! ใช่จะไม่รู้กฎของในวัง กลับกล้านั่งรถม้าเข้าถึงห้องทรงพระอักษรได้”
“นี่มิรนหาที่ด่าหรือ”
เหลียงเสี่ยวกงกงไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงหัวเราะอย่างอีหลักอีเหลือ “บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ”
เมื่อสืบข่าวจากเหลียงเสี่ยวกงกงไม่ได้ โม่หุยเหยียนจึงได้แต่เอ่ย “เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าเข้าไปรายงานหน่อย ข้ามีธุระต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
“ขอรับ ท่านอ๋อง”
เหลียงเสี่ยวกงกงก้มหน้าเดินเข้ามา
โม่จงหรานกระแอมกระไอ “ข้าได้ยินแล้ว ไม่ต้องพูดอีก ให้เขาเข้ามาเถอะ”
เหลียงเสี่ยวกงกงก้มหน้าออกมาอีกครั้ง ราวกับเป็นมนุษย์เครื่องกล “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทเชิญให้ท่านเข้าไปสนทนาขอรับ”
โม่หุยเหยียนกวาดมองรถม้าแวบหนึ่งด้วยหางตา แล้วเข้าห้องทรงพระอักษรอย่างหัวก็ไม่หัน
เมื่อเข้าประตูมา ก็เห็นหยุนหว่านหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง กำลังร้องไห้กระซิกอยู่
ส่วนโม่เยว่กำลังยืนอยู่ปากประตูตำหนักชั้นในห้องทรงพระอักษรแต่โดยดี
ต่างจากจักรพรรดิองค์ก่อนๆ หากไม่พักผ่อนอยู่กับนางสนมตำหนักหลัง ก็พำนักที่ตำหนักหย่างซิน
โม่จงหรานคือเจ้าแห่งความแตกต่าง
ไม่เพียงแต่ไม่มีตำหนักหย่างซิน ตำหนักฉินเจิ้งและห้องทรงพระอักษรต่างมีตำหนักชั้นใน ถ้าต้องตรวจฎีกาหรือพบปะกับขุนนางจนดึกเกินไป เขาก็จะพักผ่อนอยู่ที่นั่นตามอัธยาศัย
เมื่อคืนตรวจฎีกาอยู่ในห้องทรงพระอักษรจนดึกดื่น ดังนั้นจึงพักที่ตำหนักชั้นใน
เมื่อเห็นโม่หุยเหยียนมา โม่เยว่กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ส่งเสียง
ดูท่าทางหน้าบูดบึ้ง ราวกับกำลังถูกตำหนิ
เขาไม่ได้คำนับพี่ใหญ่ของเขาผู้นี้ก่อน และโม่หุยเหยียนก็ไม่ได้โกรธ ทั้งยังทักทายเขาก่อนด้วย “น้องเจ็ด มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเช้าอย่างนี้เลยหรือ”
“ฮึ”
โม่เยว่ฮึออกมาจากจมูก ไม่ตอบ
โม่จงหรานเดินออกมาจากตำหนักชั้นใน
ซูปิ่งซ่านตามอยู่ด้านหลัง จัดชุดมังกรให้เขาพลางตามพูด “ไอ้หยาฝ่าบาท! กริ้วแต่เช้าจะเสียพระพลานามัยได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องของอ๋องหมิงและพระชายาหมิง ก็ให้พวกเขาแก้ไขกันเองเถอะ!”
“จะทรงคิดมากเสียพระพลานามัยไปไย”
สีหน้าโม่จงหรานยังคงโกรธอยู่ “เจ้าตัวบัดซบ! ปกติหว่านหนิงทำกับเจ้าอย่างไร ข้าบอกกี่หนแล้ว ให้เจ้าดีต่อนางมากๆ รักนางมากๆ แล้วนี่เจ้าทำอะไรลงไป”
ถ้อยคำนี้กำลังตำหนิโม่เยว่อยู่ชัดเจน
โม่หุยเหยียนเลิกคิ้ว คาดเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อกี้ตอนที่เขาเข้าวังก็ได้ยินเหล่าขุนนางกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ว่ารถม้าของจวนอ๋องหมิงเคลื่อนเข้ามาที่ห้องทรงพระอักษรเลย
เดิมยังนึกว่าเป็นข่าวลือ แต่คนที่เห็นกับตามีจำนวนมาก
ดังนั้นเขาจึงนึกสงสัย
ปกติไม่ว่าโม่เยว่จะกำแหงอย่างไร ก็ไม่ละเมิดกฎวังหลวงอย่างโจ่งแจ้งเด็ดขาด โดยเฉพาะในเวลาที่บรรดาขุนนางเข้าวังและจะเห็นเข้าพอดี
แม้แต่หยุนเจิ้นซงก็อยู่ในกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วย
โม่หุยเหยียนคิด หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ดังนั้นจึงเจาะจงมาสืบความ
แต่หยุนหว่านหนิงกำลังปิดหน้าร้องไห้ โม่เยว่ถูกตำหนิ โม่จงหรานยังโกรธ แล้วยังการเตือนของซูปิ่งซ่านนั่นอีก…
เขาพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไร
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก โม่จงหรานก็ถีบไปทางโม่เยว่อีก “ตัวบัดซบ ยังไม่รีบไปขอขมาภรรยาเจ้าอีก!”
โม่เยว่หลบ
เขาแก้ตัวอย่างไม่ยินยอม “เสด็จพ่อ เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ผิดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ถูกต้อง ไม่กล้าบอกว่าท่านอ๋องผิดหรอก! เพราะท่านอ๋องไม่ได้เป็นคนพูดถ้อยคำเหล่านั้น”
หยุนหว่านหนิงปิดหน้าร้องไห้ต่อ สะอึกสะอื้นอยู่เนืองๆ “หรือว่าข้ายังจะไปไต่ถามกับเสด็จแม่ได้หรือ ถ้าเจ้าไม่ได้ทำจริง แล้วจะมีคนจับได้ได้อย่างไร”
“ตอนนี้ท่านอ๋องกลับมาโทษข้าหรือ”
ว่าแล้วนางก็หมอบกับโต๊ะเสียเลย ร้องไห้โฮออกมา!
โม่จงหรานเอามือนวดขมับ “น่าโมโหชะมัด! เช้ามาพวกเจ้าก็จะทำให้ข้าโมโหตายแล้วหรือ”
เมื่อเห็นท่าทางปวดเศียรเวียนเกล้าของเขาแล้ว โม่หุยเหยียนก็รีบเข้าไปถาม “เสด็จพ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โม่จงหรานบ่ายโบก ไม่อยากพูดกับเขา เพียงแต่ตำหนิโม่เยว่แบบกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ปกติข้าอบรมพวกเจ้าอย่างไร เจ้าดูพวกพี่ชายของเจ้าสิ ใครบัดซบเหมือนเจ้าบ้าง!”
“ต่อให้ตอนนี้เจ้าสามมีชายารองแล้ว แต่อย่างน้อยก็ไม่ออกไปสำมะเลเทเมาข้างนอก!”
“แล้วดูเจ้าสิ…”
ถ้อยคำนี้ โม่หุยเหยียนฟังได้เบาะแสมาเล็กน้อย
หรือว่าโม่เยว่จะหาเศษหาเลย!
ฉะนั้นหยุนหว่านหนิงจึงร้องห่มร้องไห้เข้าวังมาฟ้อง มาให้เสด็จพ่อเข้าข้าง?
นางร้องไห้จนเป็นแบบนี้ สมแล้วที่ไม่กล้าลงจากรถม้า ดังนั้นจึงนั่งรถม้าเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรโดยตรง…
การอธิบายนี้สมเหตุสมผล
เพียงแต่เมื่อกี้หยุนหว่านหนิงพูดว่าไปไต่ถามกับเสด็จแม่ หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกับเสด็จแม่ด้วย!
เมื่อเห็นว่าการประชุมเช้าวันนี้ต้องสายแล้ว โม่หุยเหยียนก็ไม่มีใจสืบเรื่องทางโม่จงหรานอีก วางแผนไปตำหนักคุนหนิงถามฮองเฮาจ้าวสักหน่อย
หากสอดคล้องกับคำพูดของฮองเฮาจ้าว เช่นนั้นวันนี้ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว
เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว จึงเตรียมจะกลับ
โม่จงหรานตำหนิโม่เยว่พักหนึ่ง พอเห็นโม่หุยเหยียนยังยืนอยู่กับที่ จึงถามอย่างหงุดหงิด “จริงสิ เจ้ามีเรื่องอะไร”
ครั้นเห็นชัดเจนว่าเขาอารมณ์ไม่ดี กลัวว่าจะเดือดร้อนมาถึงตน โม่หุยเหยียนจึงรีบตอบ “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมได้ยินว่าเสด็จพ่อตื่นบรรทมเช้าปวดพระเศียร ก็เลยเป็นห่วงมาเยี่ยมเสด็จพ่อน่ะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าไม่เป็นไร”
โม่จงหรานไม่ได้เปิดโปงเขา
ตื่นเช้าปวดหัว?
เขาเพิ่งทำเป็นปวดหัวเมื่อกี้นี้เองไหม!
คำโป้ปดนี้พูดไม่แนบเนียนสักนิด!
“เสด็จพ่อต้องถนอมพระวรกายมังกรนะพ่ะย่ะค่ะ! เช่นนั้นหม่อมฉันไม่รบกวนเสด็จพ่อแล้ว หม่อมฉันทูลลา”
“ไปเถอะ”
พอไล่โม่หุยเหยียนที่ราวกับแมลงวันไปได้แล้ว โม่จงหรานจึงโล่งอก เหลียงเสี่ยวกงกงอยู่ตรงปากประตูชะเง้อชะแง้ กระซิบตอบ “ท่านอาจารย์ อ๋องฉู่ไปไกลแล้วขอรับ”
ซูปิ่งซ่านหมุนตัว “ฝ่าบาท อ๋องฉู่ไปไกลแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าบัดซบนี่ ถึงกลับมาสืบความถึงข้าได้! ข้าต้องตัดมือเขาสักวันแน่!”
มือของโม่หุยเหยียน ยื่นออกมายาวมากขึ้นทุกที (*หมายถึงแทรกแซง)!
โม่จงหรานอารมณ์เสีย
เหมี่ยวต่อมาก็เห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าพลัน ยิ้มหน้าระรื่นเข้าตำหนักชั้นใน “หยวนเป่าสุดที่รัก มาให้เสด็จปู่อุ้มเร็วเข้า!”