อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 391 เสด็จแม่ของข้าร้ายกาจมากเลยล่ะ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 391 เสด็จแม่ของข้าร้ายกาจมากเลยล่ะ
“ก็ได้! เช่นนั้นก็ตรวจสอบเถอะ!”
นางหันหน้าไปมองโม่จงหราน “เสด็จพ่อ ในเมื่อพระชายาฉู่เอาแต่พูดว่าหม่อมฉันวางยาพิษนาง เช่นนั้นก็ทำตามความต้องการของนางไปเถอะ”
“นางท้องอยู่นางใหญ่ที่สุด! นางอยากให้ตรวจสอบอย่างไร ข้าก็พร้อมให้ความร่วมมือจนถึงที่สุด”
เดิมทีเต๋อเฟยคิดจะหยุดนาง เพราะกลัวว่านางอาจจะตกหลุมพรางของหนานกงเยว่ได้ แต่โม่จงหรานเข้ามาหยุดนางไว้
เขาพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ความสามารถของลูกสะใภ้เจ้า เจ้ายังไม่ไว้ใจอีกหรือ?”
ในเมื่อหยุนหว่านหนิงกล้าพูดเช่นนี้ ก็แปลว่านางจะต้องคิดหาวิธีตอบโต้เอาไว้เรียบร้อยแล้วแน่ ๆ
ตอนนี้เอง เต๋อเฟยถึงพยักหน้าตอบรับ “จริงด้วย!”
หยวนเป่าจับมือเต๋อเฟย นั่งนิ่ง ๆ ในอ้อมแขนของนางอย่างเชื่อฟัง “เสด็จย่าวางใจเถอะ เสด็จแม่ของข้าร้ายกาจมากเลยล่ะ!”
“ได้ ๆ ๆ ข้าวางใจแล้ว”
เต๋อเฟยยิ้มแย้มพลางปอกองุ่นลูกหนึ่งให้หยวนเป่า
เมื่อเห็นโม่จงหรานพยักหน้า หยุนหว่านหนิงก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านหลังของโม่เยว่ เข้าไปหาหนานกงเยว่ใกล้ ๆ “พระชายาฉู่อยากจะตรวจสอบไม่ใช่หรอกรึ? นางกำนัลคนที่ยกของว่างกับน้ำชามาส่งให้เจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ไปพาตัวมา ข้ามีคำถามที่อยากจะถามนาง!”
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะพูดกับซูปิ่งซ่าน แต่ดวงตาของหยุนหว่านหนิงกลับจ้องมองไปที่หนานกงเยว่
นับตั้งแต่ที่นางเดินเข้ามาใกล้ หนานกงเยว่ก็ตกใจจนต้องก้าวถอยหลังไปแล้ว นางแข้งขาอ่อนจนต้องเอนตัวไปพิงโม่หุยเหยียนเอาไว้
นางเอาแต่รู้สึกว่า สายตาที่หยุนหว่านหนิงจ้องมองมาตอนนี้ มันดูแล้วออกจะน่ากลัวอยู่หน่อย ๆ
เห็นว่าใบหน้าของนางดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับเย็นชาไม่แยแส…..
หนานกงเยว่ก็ถูกบังคับจนตกอยู่ในสภาพจนตรอกแล้ว
ในเวลาปกติ นางเองก็รู้ดีว่าหยุนหว่านหนิงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ต่อให้คิดจะลากนางลงน้ำไปด้วยกัน ก็ต้องแอบวางแผนให้แยบยล แล้วค่อย ๆ ดำเนินไปทีละขั้นทีละตอน
บางทีอาจเป็นเพราะนางท้องหนึ่งครั้งจึงโง่ไปสามปี* ( คำอธิบายเพิ่มเติม เป็นเหมือนคำพูดเสียดสีในทำนองที่ว่าหลังจากที่ผู้หญิงท้องครั้งหนึ่ง ก็จะสูญเสียความทรงจำ หลงลืมสิ่งต่าง ๆ รวมถึงความสามารถในการรับรู้ด้อยลง)
หรืออาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของหยวนเป่าในคืนนี้ ไปกระตุ้นหนานกงเยว่เข้า
นางทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว!
ทำให้นางรีบร้อนลงมือกับหยุนหว่านหนิงอย่างบุ่มบ่าม แม้แต่หนทางถอยก็ยังคิดแบบลวก ๆ ไม่ได้วางแผนไว้ให้รอบคอบ!
ดังนั้นเมื่อได้เผชิญกับแววตาของหยุนหว่านหนิง นางจึงตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อนระทวยไปหมด!
เพียงไม่นาน นางกำนัลก็ถูกพาตัวมา
“เงยหน้าขึ้นมา”
หยุนหว่านหนิงเดินเข้ามาใกล้ มองดูนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น น้ำเสียงเย็นชา
แม้ว่านางกำนัลจะนึกกลัวอยู่ในใจ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงออกทางสีหน้า นางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหยุนหว่านหนิง เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่ดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ไม่กล้ามองประสานสายตากับอีกฝ่าย
หยุนหว่านหนิงโน้มตัวเข้าไปหา ยื่นนิ้วออกไปเชยคางของนางขึ้น “เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าน้อย ข้าน้อยชื่อหงเหลียนเจ้าค่ะ”
นางกำนัลสองมือกำแน่น แต่กลับอดลอบมองหนานกงเยว่จากมุมหางตาไม่ได้
สายตาของหนานกงเยว่มองนางกลับไปเป็นเชิงเตือนว่า: อย่ามองข้า!
นี่กลัวว่าหยุนหว่านหนิงจะไม่สงสัยมาถึงนางหรืออย่างไร? !
หงเหลียนจึงรีบเบือนสายตาหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลุบตาลง
“หงเหลียน? เจ้าบอกกับพระชายาฉู่ว่า เป็นข้าที่สั่งให้เจ้ายกน้ำชากับของว่างไปให้นางอย่างนั้นรึ?”
เมื่อเห็นว่าหงเหลียนพยักหน้า หยุนหว่านหนิงก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าพูดกับเจ้าเมื่อไหร่ พูดที่ไหน พูดอะไรกับเจ้าบ้าง ถึงสั่งให้เจ้ายกน้ำชากับของว่างไปให้พระชายาฉู่?”
“แล้วเป็นของว่างอะไร ของว่างเหล่านั้นมีทั้งหมดกี่ชิ้น น้ำชาที่ให้ยกไปส่งเป็นชาอะไร?”
คำถามถูกยิงออกมาเป็นชุด ถามอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก ๆ
หงเหลียนคิดไม่ถึงว่า หยุนหว่านหนิงจะถามคำถามแบบนี้
แม้แต่หนานกงเยว่ก็ยังตกตะลึงไปชั่วขณะ
แต่เพียงไม่นานนางก็เข้าใจว่าหยุนหว่านหนิงคิดจะทำอะไร จึงมองไปที่หงเหลียนอย่างกระวนกระวาย ส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้นางรีบตอบคำถามโดยเร็ว….. เพราะถ้ามัวอึกอักลังเลนานเกินไป จะกลายเป็นการไปกระตุ้นให้คนอื่นเกิดความรู้สึกสงสัยแทน!
หงเหลียนตอบอย่างรวดเร็วว่า “เป็น เป็นยามโหย่วกับอีกสามเค่อเจ้าค่ะ!”
“ที่นอกตำหนักไท่เหอ! พระชายาหมิงกล่าวว่าเพื่อจะรักษาความมั่นคงของตำแหน่งหลานชายคนโตของราชวงศ์ จะต้องกำจัดเด็กในครรภ์ของพระชายาฉู่เจ้าค่ะ”
ดวงตาของนางเป็นประกายหม่นอย่างร้อนตัว “ให้ข้าน้อยส่งขนมซิ่งเหรินซู กับชาข้าวสาลีบัควิทไปให้พระชายาฉู่!”
“พระชายาหมิงยังบอกด้วยว่า พระชายาฉู่ตั้งครรภ์อยู่ไม่สามารถดื่มชากับพวกเหล้าผลไม้อื่น ๆ ได้ ชาข้าวสาลีบัควิทนี้จะไม่สร้างความสงสัยให้กับพระชายาฉู่แน่ จากนั้นจึงสั่งให้ข้าน้อยยกไปส่งให้เป็นพิเศษ!”
พูดจบ หงเหลียนก็เสริมอีกประโยคว่า “อ้อ! จริงด้วย พระชายาหมิงยังกำชับข้าน้อยด้วยว่า”
“ว่าปกติพระชายาฉู่จะระแวดระวังรอบตัวอยู่เสมอ จึงไม่ให้ข้าน้อยมีพิรุธ เพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาฉู่จับได้!”
หลังจากฟังคำพูดของนางจบ หยุนหว่านหนิงกลับไม่ปฏิเสธ แค่ถามต่อไปว่า “แล้วมีขนมซิ่งเหรินซูทั้งหมดกี่ชิ้น?”
มีทั้งหมดกี่ชิ้น?
หงเหลียนก้มหน้าลง ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
“พูดมา!”
หยุนหว่านหนิงตวาดสั่งเสียงต่ำ ทำให้นางตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็วแบบไม่มีเวลาคิดแล้วว่า “มีทั้งหมดสี่ชิ้น! พระชายาฉู่กินไปแค่คำเล็ก ๆ เท่านั้น!”
“แล้วถาดที่ใส่ขนมซิ่งเหรินซูไป เป็นถาดแบบไหน?”
หยุนหว่านหนิงถามขึ้นอีกครั้ง
คำถามนี้หงเหลียนคิดคำตอบไม่ออกแล้ว
นางจะไปทันสังเกตดูถาดเสียที่ไหนล่ะ?!
“ตอบไม่ได้แล้วล่ะสิ?”
หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง เสียงหัวเราะนั้นทำให้หัวใจของหงเหลียนถึงกับเย็นวาบ
“ข้าน้อย ข้าน้อย…..”
“เจ้าพูดโกหก”
หยุนหว่านหนิงเก็บมือกลับ จ้องมองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทุกคำที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดโกหก ข้าจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้งเดียวเพื่อยอมรับความผิดของตัวเอง แต่ถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ไปล่ะก็…..”
“ข้าจะให้เจ้าร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่สมหวังแน่!”
หงเหลียนตื่นตระหนกจนขวัญหาย รีบหันไปมองหนานกงเยว่ทันที….
รับเงินของหนานกงเยว่มาแล้ว ก็เท่ากับผิดฐานเก็บรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบ
แต่ถ้าตอนนี้ นางไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่หยุนหว่านหนิงพูด ด้วยการอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยของเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ก็เท่ากับต้องเอาชีวิตไปทิ้งสถานเดียว!
สีหน้าของหนานกงเยว่เปลี่ยนไปทันที หันไปมองหยุนหว่านหนิงด้วยใจที่กระสับกระส่าย แต่กลับได้เผชิญเข้ากับแววตาที่ดูเหมือนจะยิ้ม แต่ก็เหมือนไม่ยิ้มของนาง
นางกัดฟันหันไปพูดกับโม่จงหรานว่า “เสด็จพ่อท่านดูสิเพคะ! พระชายาหมิงทั้งที่อยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ก็ยังกล้าใช้อำนาจข่มขู่คุกคามชีวิตของหงเหลียนได้ถึงขนาดนี้”
“ไม่รู้ว่าถ้าลับหลังไป จะยิ่งบ้าคลั่งกว่านี้สักแค่ไหน!”
“ข้าบ้าคลั่งได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่าพระชายาฉู่ก็รู้เรื่องนี้ดีตั้งนานแล้วหรอกรึ? ตอนนี้อยากจะเห็นเองกับตาอีกสักครั้งหรือไม่ล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้น
หนานกงเยว่พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กัดริมฝีปากล่างแน่น
โม่จงหรานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นท้าวหน้าผากคุยกับเต๋อเฟยอย่างออกรส พลางหยอกล้อหยวนเป่าจนส่งเสียงหัวเราะ “เอิ้ก ๆ ๆ “ดังลั่นไม่หยุด
เมื่อเห็นว่าหนานกงเยว่พูดอะไรไม่ออก หยุนหว่านหนิงก็พลิกฝ่ามือแล้วตบหน้าหงเหลียนเข้าไปฉาดใหญ่ ๆ!
เสียง”เพี๊ยะ” ดังสนั่นคมชัดกลางอากาศ ตบจนถึงกับทำให้หงเหลียนตะลึงอึ้งค้างไปเลย!
ฝ่ามือนี้ของหยุนหว่านตบได้ออกจะไม่ไว้ไมตรีเลยจริง ๆ ฝ่ามือของนางถึงกับแสบร้อนผ่าว ๆ จนชาดิก ที่มุมปากของหงเหลียนก็ถึงกับมีเลือดไหลออกมาเลยทีเดียว
“พระชายาหมิง?”
หงเหลียนร้องอุทานขึ้นมาเสียงหนึ่ง!
มีบางคนที่อยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงสูดปากดัง “ซี้ด”ออกมา
พระชายาหมิงผู้นี้บ้าคลั่งอย่างที่คิดจริง ๆ!
นางถึงขั้นกล้าตบหน้านางกำนัลอย่างเปิดเผย ภายในงานเลี้ยงวันเกิดของเต๋อเฟยทั้งที่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กับเต๋อเฟยเลยทีเดียว!
โม่เฟยเฟยยืนขึ้น “พี่สะใภ้เจ็ดตบได้ดีนัก! ผู้หญิงต่ำช้าเช่นนี้ควรตบให้หนัก ๆ! ถ้านางยังกล้าทำตัวปากสุนัขไม่อาจคายงาช้างออกมาได้*อีกล่ะก็ ข้าว่าเราสมควรจะฉีกปากนางออกแล้วตัดลิ้นทิ้งไปซะเลย!” (*เป็นคำอุปมาว่าคนเลวย่อมไม่สามารถพูดสิ่งที่ดี ๆ ออกมาได้)
ทุกคนต่างก็รู้ว่า คนที่โม่เฟยเฟยด่าก็คือหงเหลียน
แต่คำพูดเหล่านี้ พอมาเข้าหูของหนานกงเยว่แล้ว มันช่าง…..
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าโม่เฟยเฟยตีวัวกระทบคราด แอบใส่ความด่าว่าร้ายนางอยู่ลับหลัง !
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จับมือของโม่หุยเหยียนแน่น
โจวหยิงหยิงก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้วเหมือนกัน “หนิงเอ๋อร์ ถ้าให้ข้าออกความเห็นล่ะก็ ข้าว่านังผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ สมควรจะลากตัวออกไปทุบตีด้วยไม้กระบองให้ตายไปเลย! ถึงตอนนั้นเดี๋ยวความจริงก็จะถูกเปิดเผยเองนั่นแหล่ะ!”
หนานกงเยว่ฝืนระงับความโกรธของตัวเอง “พระชายาฮั่น นี่ไม่ใช่การบังคับให้ยอมรับผิดเพราะทนถูกทรมานไม่ไหวหรอกรึ?!”
“หา! พี่สะใภ้ใหญ่ช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วจริง ๆ ! เมื่อครู่ยังเรียกข้าว่าหยิงหยิงอยู่เลย มาตอนนี้กลับเรียกข้าว่าพระชายาฮั่นเสียแล้ว?”
สีหน้าของโจวหยิงหยิงเปลี่ยนไปทันที จู่ ๆ ก็ร้องคร่ำครวญขึ้นมาว่า “มิตรภาพระหว่างพวกเราพี่น้องสะใภ้ที่มีต่อกันมาตั้งหลายปี พอบทจะขาดกันก็ขาดกันแบบนี้เลยรึ? หรือว่าที่จริงแล้วตลอดหลายปีมานี้ ที่เจ้าทำกับข้ามันก็เป็นแค่การหลอกลวง ไม่ได้มีความจริงใจให้กันเลยอย่างนั้นสินะ?
หนานกงเยว่: “…..”
ต่อหน้าทุกคน นางได้แต่รู้สึกว่าคำพูดของโจวหยิงหยิง เหมือนตบลงบนหน้าของนางเต็ม ๆ ฉาด!
สีหน้าของหนานกงเยว่ประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีแดง ประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่นางไม่มีเวลาไปใส่ใจโจวหยิงหยิง
เป้าหมายที่นางคิดจะจัดการ ตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงหยุนหว่านหนิงคนเดียวเท่านั้น…..
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง พยายามดึงหัวข้อกลับมา “พระชายาหมิง เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าหงเหลียนโกหก เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานมายืนยันหรือไม่?!”
“หลักฐาน?”
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย้ยหยันเย็นชา “ถ้าข้าเอามันออกมาได้ พระชายาฉู่จะว่าอย่างไรล่ะ?”