อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 401 แย่งตำแหน่ง พายุก่อตัวขึ้น
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 401 แย่งตำแหน่ง พายุก่อตัวขึ้น!
ในคืนนี้ คนเหล่านี้เป็นอะไรไปกันหมด?
แต่ละคนเดินทางมาจวนอ๋องหมิงราวกับรีบเร่งมาก
ประตูจวนอ๋องหมิงของเขา คิดจะเข้ามาได้ง่ายๆ หรือ?
โม่เยว่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นมัว แววตาดูไร้ความอดทน
“น้องเจ็ด เจ้าเป็นอะไรไป?”
โม่ฮั่นอี่ว์ยิ้มแล้วเดินผ่านเขาไป ตรงเข้าไปข้างในห้องโถง “ชานี้ยังร้อนอยู่ใช่หรือไม่? ข้าดูแล้วยังมีควันอยู่”
เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มจนหมด
เป็นถ้วยที่โม่เยว่สาดใส่หน้าโม่เหว่ยเมื่อครู่……
“มีธุระงั้นหรือ?”
โม่เยว่เดินกลับมานั่งลง
โม่ฮั่นอี่ว์พยักหน้า “มีสิ! หากมิมีเรื่องใด ข้าจะเดินทางมาที่จวนอ๋องหมิงของเจ้าในยามดึกดื่นเช่นนี้หรือ?”
โม่เยว่นิ่งเงียบไร้คำพูด
เขาเองก็อยากรู้ว่าโม่ฮั่นอี่ว์มีเรื่องรีบร้อนใจอันใดกัน จึงได้เดินทางมาหาเขายามดึกดื่นเช่นนี้ หากมิใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญละก็ เขาจะโยนออกไปจากจวนบัดเดี๋ยวนี้!
โม่เหว่ยมีร่างกายอ่อนแอ แต่โม่ฮั่นอี่ว์นั้นจะทำมิได้เชียว?!
“ไปเอาของว่างและอาหารมาให้ข้ารองท้องสักหน่อยก่อน!”
โม่ฮั่นอี่ว์มิคิดว่าตนเป็นคนนอกแม้แต่น้อย
เขาตะโกนออกไปข้างนอกประตูว่า “ทำอาหารง่ายๆ มาสองสามอย่างก็พอ! มิต้องให้พระชายามาลงมือทำอาหารให้ข้าด้วยตนเองหรอก……”
ยังมิทันกล่าวจบ โม่เยว่ก็ได้เตะไปที่เขา
โม่ฮั่นอี่ว์ตกตะลึง “เจ้าเจ็ด เจ้าเตะข้าทำไม?”
“พระชายาของข้า ต้องทำอาหารให้เจ้ากินด้วยงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าตนเป็นใครกัน?”
“โม่เยว่ทำสีหน้าเยือกเย็น
“ข้าคือพี่รองไงเล่า”
โม่ฮั่นอี่ว์กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ข้ากำลังกำชับบ่าวรับใช้อยู่นี่ไงว่ามิต้องให้ชายาเจ้ามาลงมือเอง”
“ไปเร็วเข้า เอาอาหารมา ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางของเขาที่ดูหิวโหยดั่งสัมภเวสี โม่เยว่ก็กล่าวอย่างรังเกียจว่า “เจ้ามิได้กินอาหารเย็นหรือ? เสด็จพ่อมิได้ห้ามหรือจำกัดมื้ออาหารของเจ้านี่?”
“ข้ากินแล้ว แต่ข้าหิวอีกแล้ว!”
จากจวนอ๋องฮั่นเดินมาจวนอ๋องหมิง เขาก็รู้สึกหิวเมื่อเขาเดินไป
โม่ฮั่นอี่ว์ไม่ถ่อมตน “เจ้าเจ็ด เจ้าต้องกระตือรือร้นมากกว่านี้เมื่อมีแขกมาที่จวนเจ้า”
“ข้ากระตือรือร้นอยากจะตัดศีรษะเจ้ามิไหว!”
โม่เยว่เหลือบมองไปทางเขาด้วยแววตาอันเยือกเย็น โม่ฮั่นอี่ว์รู้สึกว่าศีรษะของตนเย็นวาบ
เขารีบยกมือขึ้นกุมศีรษะและคอของตนเองเอาไว้ แล้วยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็เพียงแค่กินอาหารของเจ้ามิกี่จานมิใช่หรือไร จวนอ๋องหมิงของเจ้าขาดแคลนอาหารอย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าทำตัวขี้เหนียวไปหน่อยเลย เรามากินอาหารทางสนทนาเรื่องจริงจังกันเถอะ”
ในมิช้าบ่าวรับใช้ก็นำอาหารมาวาง โม่ฮั่นอี่ว์กินอาหารพลางกล่าวถึงจุดประสงค์ที่เดินทางมาดึกดื่นในครั้งนี้
“เจ้าต้องการจะยึดครองค่ายห้ากองพลหรือ?”
โม่เยว่หรี่ตาลง “คนอ้วนมักจะใจกว้างจริงสินะ”
ชายอ้วนหวังจะฮุบชายอ้วน…… ช่างกล้าหาญจริง!
โม่ฮั่นอี่ว์กินอย่างเอร็ดอร่อย เขากล่าวอย่างมิชัดเจนนักเนื่องจากมีอาหารในปาก “ข้าทำไปก็เพื่อเจ้ามิใช่หรือ?”
“บัดนี้ความลับถูกเปิดเผยแล้ว จวนอ๋องหมิงได้ให้กำเนิดพระนัดดาองค์โตขึ้น ตอนนี้ใครเล่าที่มิคาดเดาว่าตำแหน่งไท่จื่อต่อไปจะเป็นใคร?”
“แต่ตอนนี้ ทุกคนก็คงรู้ดีว่าเสด็จพ่อคงจะให้เจ้าแน่นอน”
สีหน้าของโม่เยว่ดูจริงจังขึ้นมา
เรื่องนี้เขาเองมิเคยคิดมาก่อน
จะว่าไปแล้วตอนนี้ผู้ที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อก็มีอยู่เพียงแค่สองคน นั่นก็คือโม่หุยเหยียนและโม่หุยเฟิง
บัดนี้โม่หุยเหยียนมองไปอาจจะมิได้กระตือรือร้นเข้ามาแย่งชิง แต่แท้จริงแล้วเขาได้จัดการหาม้าและทหาร แสร้งทำเป็นหมูที่รอเขมือบเสือ
ส่วนโม่หุยเฟิง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ต่อกรกันและพ่ายแพ้อยู่หลาย ถึงกระนั้นเขาก็ยังมิได้ละทิ้งความพยายามที่จะขึ้นครองตำแหน่งไท่จื่อ
โม่ฮั่นอี่ว์……
สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดก็คือการกิน การที่เขาโดนเข้ามาอยู่ร่วมในกระแสนี้ได้ นั่นก็เพราะโม่หุยเฟิง
เขาโกรธเหยียบอีกฝ่ายหนึ่งมาก มิอยากให้โม่หุยเฟิงได้สมหวังดังปรารถนา ดังนั้นจึงได้คอยขัดขวางอยู่ตลอดเวลา
โม่หุยเหยียนมีตงจวิ้นอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลก็ตามแต่ ถึงกระนั้นหนานกงเยว่ก็ยังเป็นองค์หญิงตงจวิ้น
ส่วนโม่หุยเฟิงนั้นมีความมั่นใจในอำนาจของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเบื้องหลังของเขายังมีฮองเฮาจ้าวและจวนเฉิงเซี่ยงคอยสนับสนุน
ส่วนโม่ฮั่นอี่ว์แม้ว่าพลังการต่อสู้นั้นมิค่อยมีมากนัก แต่ผู้ที่อยู่ด้านหลังก็คือตระกูลโจว จะมองข้ามไปมิได้
ส่วนเขาโม่เยว่……
เดิมทีเขามิได้มีจิตใจอยากจะแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อ แต่หยุนหว่านหนิงที่กล่าวไว้ก็มิผิด
มิว่าเขาคิดจะแย่งชิงตำแหน่งหรือไม่ นับตั้งแต่เขาได้ค่ายเสินจีมาครอง เขาก็ตกอยู่ในวังวนแห่งนี้ บัดนี้หยวนเป่าได้ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคนแล้ว ยิ่งทำให้จวนอ๋องหมิงของเขาก็คงจะเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตี……
โม่หุยเหยียนและโม่หุยเฟิงสองคนพี่น้องนี้คงจะร่วมมือกันมาจัดการเขาอย่างแน่นอน
“เหตุใดจึงกล่าวว่าทำเพื่อข้า?”
เขามองไปทางโม่ฮั่นอี่ว์ที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้าก็รู้ดีว่าตั้งแต่เล็กข้าก็มิค่อยเฉลียวฉลาดนัก ตำแหน่งไท่จื่อนี้ ต่อให้มอบให้ข้า ข้าก็มิเหมาะสมหรอก ส่วนเจ้านั้นช่วยข้ามาหลายครั้งหลายครา ดังนั้นข้าจึงเป็นพวกเดียวกันกับเจ้า”
โม่ฮั่นอี่ว์พูดจามิค่อยชัดเจนนักเนื่องจากมีอาหารอยู่ในปาก
เขาคายกระดูกไก่ออกมาแล้วกล่าวว่า “เจ้ามีค่ายเสินจี ส่วนข้ามีค่ายห้ากองพล”
“หากสองพี่น้องเราร่วมมือกันล่ะก็ ผู้ใดเล่าจะกล้าหาเรื่องพวกเรา?”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ในใจของโม่เยว่ก็รู้ดีว่าโม่ฮั่นอี่ว์มิสามารถจัดการดูแลค่ายห้ากองพลได้ต่างหาก
ค่ายห้ากองพลนั้นเดิมทีอยู่ในความดูแลของโม่หุยเฟิง
จากนั้นโม่หุยเหยียนและโม่ฮั่นอี่ว์ก็ร่วมมือกันดูแลจัดการ แต่พี่ชายคนนี้มัวแต่สนใจเรื่องอาหารการกิน จึงมิได้พัฒนาอำนาจในมือของตนเท่าไหร่นัก บัดนี้ค่ายห้ากองพลล้วนเป็นคนของโม่หุยเหยียน
ต่อให้ได้ค่ายห้ากองพล โม่ฮั่นอี่ว์จะทำอะไรได้?
“วันนี้พี่สี่เดินทางมาที่จวนหมิงอ๋อง”
จู่ๆ โม่เยว่ก็กล่าวขึ้น
“มาก็มาสิ มีอะไรน่าตกใจเล่า…… ว่าอย่างไรนะ เจ้าว่าใครมา?”
โม่ฮั่นอี่ว์เงยหน้าขึ้นมองไปทางโม่เยว่ด้วยความตกตะลึง “พี่สี่ของเจ้า น้องสี่ อ๋องโจว โม่เหว่ยหรือ? น้องสี่ที่ป่วยและเก็บตัวอยู่ในจวนมิเคยออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียวนั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว”
โม่เยว่พยักหน้า
น่องไก่ในมือของโม่ฮั่นอี่ว์หลงหล่นลงสู่จานดัง “ตุ๊บ”
อาหารที่อยู่ตรงหน้าจู่ๆ ก็ดูมิอร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เขามองไปด้วยสายตาอันประหลาดใจ “น้องสี่เดินทางออกมาข้างนอกได้แล้วหรือ?”
“อืม หนิงเอ๋อร์เป็นคนรักษาเขาให้หายเอง”
โม่เยว่มิได้ตั้งใจจะปิดบัง
ในเมื่อวันนี้โม่เหว่ยปรากฏกายต่อหน้าทุกคน คาดว่าคงจะมีคนมิน้อยหลังจากที่รู้เรื่องนี้แล้วออกมาเคลื่อนไหว ในเวลานี้เขาบอกเรื่องนั้นกับโม่ฮั่นอี่ว์ก็มิใช่ว่าเป็นไปอย่างมิเหมาะมิควร
“โอ้สวรรค์!”
โม่ฮั่นอี่ว์กลืนน้ำลายลงคอ “ชายาของเจ้านั้นเป็นเทพธิดาหรืออย่างไร?”
“นางทำเป็นทุกอย่าง เหตุใดจึงเก่งกาจเช่นนี้”
“ถูกต้องแล้ว!”
โม่เยว่ส่งเสียงเหอะๆ ออกมาด้วยท่าทางอันภาคภูมิใจ
หากว่าเขาเป็นหมาป่าละก็ บัดนี้คงมิต่างอันใดกับหมาป่าที่กำลังขยับหางของตนไปมาด้วยความหยิ่งผยอง
“น้องสี่มาหาเจ้าทำไมกัน?”
โม่ฮั่นอี่ว์เลียน้ำมันที่ปลายนิ้วของตน
“ข้ามิรู้ เขาสนทนากับหนิงเอ๋อร์ แต่ข้ามิได้ฟัง”
เขามิได้กล่าวว่าตนนั้นถูกบีบบังคับให้ออกไปจากการสนทนาออกมา “พี่รอง หากว่าพี่สี่รักษาร่างกายจนหายดีจริง ข้าคิดว่าให้พี่สี่ไปจัดการกับค่ายห้ากองพลคงจะเหมาะสมกว่า”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?!”
โม่ฮั่นอี่ว์รีบปฏิเสธ “ค่ายห้ากองพลนั้นเป็นของข้า!”
“ต่อให้น้องสี่หายป่วยแล้วก็จริง คาดว่าหลังจากเพิ่งหายป่วยคงมิอาจจัดการธุระใดๆ ได้มากนัก อีกทั้งยังมิรู้ว่าน้องสี่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าหรือไม่”
เขากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าลองคิดดูสิ ตระกูลเฉินคอยสนับสนุนน้องสี่ไว้”
บัดนี้แม้ว่าตระกูลเฉินจะออกไปอยู่อย่างสันโดษ แต่หากว่าปรากฏการณ์ต่อสาธารณะละก็……
“น้องสี่ให้กำเนิดโดยเฉินกุ้ยเฟย และในตอนนั้นที่เฉินกุ้ยเฟยเจ็บป่วยจนจากโลกนี้ไป ได้ทำให้ตระกูลเฉินเกิดมิพึงพอใจเป็นที่สุด หากว่าพี่ใหญ่และน้องสามล้วนพ่ายแพ้หรือถดถอย ตระกูลเฉินคงจะออกมาบีบบังคับให้น้องสี่ลุกขึ้นยืน”
โม่ฮั่นอี่ว์ทำสีหน้าจริงจัง ซึ่งนานๆ ทีจะเป็นเช่นนี้ “เมื่อถึงเวลานั้นน้องสี่มิเพียงแต่จะมิช่วยเจ้า”
“มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่าเขาอาจจะเป็นศัตรูที่คอยแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อกับเจ้าด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของโม่เยว่ก็ตกตะลึง
นั่นสิ ต่อให้เหว่ยมิได้มีจิตใจอยากจะแย่งชิงตำแหน่ง
แต่เบื้องหลังของเขายังมีตระกูลเฉินอยู่ด้วย……