อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 404 เป็นพันธมิตรกับ หยุนธิงหลาน
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 404 เป็นพันธมิตรกับ หยุนธิงหลาน
“จดหมายของข้าหรือ?”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกสับสน “ใครกันเขียนจดหมายให้ข้า?”
คนที่นางรู้จักทุกคนล้วนอยู่ในเมืองหลวง นอกเสียจากเสวียนซันเซียนเซิง…… แต่ท่านอาวุโสดุจดั่งเทพผู้นี้มีความสามารถสูงส่งทั้งยังเย่อหยิ่ง คงมิเขียนจดหมายมาหานางอย่างแน่นอน
“เป็นจดหมายมาจากเขาซีเซียง”
หรูเยียนตอบด้วยความหนักแน่น
เพียงแค่ประโยคหนึ่ง หยุนหว่านหนิงก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร
นางมองไปทางโม่เยว่จากนั้นก็ก้มลงกล่าวกับหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกแม่ เจ้าและเสด็จพ่อไปเล่นกันก่อนนะ แม่จะไปที่ลานหลังบ้านสักหน่อย”
“ลูกเข้าใจแล้วเสด็จแม่”
หยวนเป่าเดินจูงมือโม่เยว่ไป
เดิมทีโม่เยว่ต้องการจะเอ่ยถามว่าใครกันที่เขียนจดหมายมาให้นาง
เขาซีเซียง
นั่นเป็นภูเขาที่โม่หุยเฟิงทำการคุ้มกันอยู่มิใช่หรือ
แต่เมื่อเห็นว่าหยุนหว่านหนิงหันหลังเดินจากไปโดยมิหันกลับมา หยวนเป่าก็ดึงชายเสื้อเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ลูกอยากเล่นตะกร้อ”
โม่เยว่จึงได้สติกลับคืนมา
เพียงคำว่า “ท่านพ่อ” ก็ทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ จึงตอบกลับด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มว่า “ตกลง พ่อจะเล่นตะกร้อกับเจ้า”
เขาตะโกนเรียกหรูโม่และหรูอวี้ จากนั้นก็แบ่งกันเป็นกลุ่ม โม่เยว่และหยวนเป่าอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งสี่คนเล่นกันอย่างสนุกสนาน
หรูเยียนเดินตามหยุนหว่านหนิงกลับไปที่เรือนชิงหยิ่ง บรรทัดใหม่ “พระชายาเพคะ เป็นจดหมายที่ส่งมาจากพระชายารองหยุนใช่หรือไม่?”
“อืม”
หยุนหว่านหนิงมิได้ตั้งใจจะปิดบัง นางจุดไฟแล้วเริ่มอ่านจดหมาย
จดหมายฉบับนี้ยังมิเคยถูกใครเปิดมาก่อน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่หยุนธิงหลานส่งจดหมายมาให้นาง โม่หุยเฟิงมิทันได้สังเกต
หลังจากอ่านจดหมายแล้ว นางก็โยนมันลงไปในเตาอั้งโล่และเผาจนเป็นเถ้าถ่าน
เดิมทีหรูเยียนต้องการจะเอ่ยถามว่าหยุนธิงหลานกล่าวอย่างไรบ้าง…… แต่เมื่อเห็นท่าทางอันครุ่นคิดของหยุนหว่านหนิง นางจึงทำได้เพียงกลืนความสงสัยไว้ในใจ
“คืนนี้ข้าจะลงมือทำอาหารด้วยตนเอง”
หยุนหว่านหนิงกำชับกับนางว่า “เจ้าจงไปบอกคนในครัว ข้าต้องการวัตถุดิบสักหน่อย”
หรูเยียนรับคำและจากไป
หยวนเป่ามิได้กินหม้อไฟมาตั้งนานแล้ว ระหว่างเดินทางออกมาจากวัง เขาก็ได้ร้องขอให้หยุนหว่านหนิงทำให้กิน
ด้วยเหตุนี้เองขณะที่สองพ่อลูกกำลังเล่นตะกร้อกันอยู่นั้น หยุนหว่านหนิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปในครัว เริ่มจัดเตรียมวัตถุดิบในการทำน้ำซุป
ใช้เวลามิถึงหนึ่งชั่วโมง หม้อที่มีน้ำเดือดก็ถูกตั้งวางไว้บนเตา
โม่เยว่และหยวนเป่าเข้ามาในลานบ้าน
“ไปล้างมือให้สะอาดเสีย”
หยุนหว่านหนิงกำลังยุ่งอยู่กับการปรุง
บางทีหยวนเป่าอาจจะเล่นเสร็จจนหิว เมื่อเข้ามาข้างในก็สูดจมูกขึ้นกล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกมิได้กลิ่นหม้อไฟเช่นนี้มานานแล้ว ช่างหอมเหลือเกิน I like it!”
หลายปีมานี้หยุนหว่านหนิงสอนภาษาอังกฤษให้เขามิน้อย
น้ำเสียงของหยวนเป่าออกได้ชัดเจน แต่เมื่อได้ยินไปถึงหูของโม่เยว่กลับเหมือนพูดภาษาที่แปลกๆ
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เขาตกตะลึงเล็กน้อย เป็นความหมายว่าฟังมิออก
หยวนเป่าถูไถมือไปมา “ท่านพ่อฟังมิออกน่ะสิ นี่คือ……”
“นี่คือสิ่งที่ชาวตะวันตกใช้สนทนากัน”
หยุนหว่านหนิงเข้ามาร่วมสนทนาด้วย
“สิ่งที่ชาวตะวันตกใช้สนทนางั้นหรือ?”
โม่เยว่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ชาวตะวันตก?
“ใช่แล้ว คนจากประเทศฝั่งตะวันตก นอกจากทั้งสี่แคว้นแล้ว อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ของเรายังมีประเทศอยู่อีก เพียงแค่พวกเรามิค่อยได้เห็นพวกเขา”
หยุนหว่านหนิงกล่าวขึ้นโดยมิได้เงยหน้าว่า
“เหตุใดข้าจึงมิรู้เรื่อง?”
โม่เยว่เช็ดมือของเขา
“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย เจ้าจะรู้ไปหมดทุกเรื่องได้อย่างไร?” สี่บรรทัดใหม่
หยุนหว่านหนิงแขวะเขา
ที่จริงแล้วประโยคนี้ของนางก็พูดเรื่องจริง
แต่นางลืมปัญหาอย่างหนึ่งไป…… ในใจของโม่เยว่นางเป็นเพียงคุณหนูในจวนหยุนกั๋วกงแห่งเมืองหลวงเท่านั้น มิได้เป็นหยุนหว่านหนิงที่เดินทางไปรอบโลกมาจากศตวรรษที่ 21
ในยุคนี้ มีใครที่รู้เรื่องการดำรงอยู่ของประเทศทางตะวันตก?
และมีใครรู้จักชาวตะวันตกบ้าง?
อีกทั้งยังพูดภาษาชาวตะวันตกได้?
“หนิงเอ๋อร์……”
โม่เยว่ทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยถามนางว่า “เจ้ายังรู้เรื่องอะไรอีก?”
เมื่อมองเห็นความสงสัยในแววตาเขา ท่าทีของหยุนหว่านหนิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ให้ตายสิ
นางพลาดท่าเข้าแล้ว!
แต่ทักษะการแสดงนั้นนางค่อนข้างจะตีบทแตกเสมอมา หยุนหว่านหนิงเอ่ยเรื่องไร้สาระได้ดูจริงจังมากกว่า “ข้ายังรู้อีกว่าชาวตะวันตกนั้นกินอาหารแบบตะวันตกด้วยส้อมและมีด”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
โม่เยว่เริ่มกดดันนาง
“เสวียนซันเซียนเซิงบอกกับข้านะสิ”
หยุนหว่านหนิงทำสีหน้าไร้เดียงสา “ซ่งจื่ออวี๋เดินทางไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศทางตะวันตกด้วย”
“จากนั้นเขาก็เดินทางกลับมาเล่าให้เสวียนซันเซียนเซิง และเสวียนซันเซียนเซิงก็อยากจะโอ้อวดความรู้เหล่านี้ จึงได้สอนข้าพูดภาษาชาวตะวันตกด้วย ทั้งยังเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องประเทศทางตะวันตก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ความสงสัยในใจของโม่เยว่ก็คลายลงมิน้อย
ในเมื่อเป็นคำพูดของเสวียนซันเซียนเซิงและซ่งจื่ออวี๋แล้วก็ค่อยน่าเชื่อหน่อย
เขามิรู้ว่าตอนนี้เสวียนซันเซียนเซิงอยู่ที่ใด แต่บัดนี้ท่าทีที่มีต่อซ่งจื่ออวี๋…… เย็นชามิน้อย
เป็นไปมิได้ที่เขาจะเอ่ยถามถึงเสวียนซันเซียนเซิง และมิกล้าถาม หรือเผชิญหน้ากับซ่งจื่ออวี๋
ดังนั้นจึงมิได้คิดสงสัยอีก
“เอาละ ไปกินข้าวกันเถอะ”
หยุนหว่านหนิงพาหยวนเป่านั่งลงแล้วยื่นชามตะเกียบให้กับเขา “อากาศเช่นนี้ การที่ได้นั่งกินหม้อไฟรอบเตาไฟ ช่างมีความสุขยิ่งนัก แม้จะมิมีเตาไฟ เป็นแค่เตาอั้งโล่ก็ยังดี”
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่กำลังจะเอ่ยถามคำถามอื่น หยุนหว่านหนิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “เตาอั้งโล่เป็นเตาประเภทหนึ่งของทางตะวันตก”
นางต้มเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หยวนเป่าชิ้นหนึ่ง ยื่นให้โม่เยว่ชิ้นหนึ่ง “กินเถอะ”
จากนั้นจึงหยุดปากของโม่เยว่เอาไว้ได้
เมื่อทั้งสามคนกินอิ่มแล้วก็เดินย่อยอาหาร
ในเวลาสามทุ่ม หยวนเป่าก็เข้าพักผ่อน
จังหวะนี้เอง โม่เยว่จึงมีโอกาสถามถึงจดหมายฉบับนั้นว่า “หนิงเอ๋อร์ จดหมายนั้นใครเขียนให้เจ้ากันแน่?”
“หยุนธิงหลาน”
หยุนหว่านหนิงกล่าวโดยมิลังเลว่า “หยุนธิงหลานบอกกับข้าว่าโม่หุยเฟิงรู้เรื่องของหยวนเป่าแล้ว จากนั้นก็โมโหเดือดดาลเสียจนทำให้ตนถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ”
การที่โม่หุยเฟิงรู้เรื่องตัวตนของหยวนเป่า โม่เยว่มิแปลกใจเลย
แต่การที่หยุนธิงหลานเขียนจดหมายถึงหยุนหว่านหนิง เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของโม่หุยเฟิงนั้น…… ดูแปลกไปหน่อย
“เจ้าแตกแยกกับนางตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?”
โม่เยว่หรี่ตาลง “เจ้าและหยุนธิงหลานกลายเป็นพันธมิตรกันตั้งแต่เมื่อไร?”
ความสัมพันธ์ระหว่างสตรี เหตุใดจึงน่าประหลาดใจนัก?
วินาทีก่อนยังเกิดความขัดแย้งอยากจะฆ่าอีกฝ่ายเสียให้ตาย
แต่วินาทีต่อมากลับกลายเป็นพันธมิตรกันได้เสียอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้โม่เยว่ตกใจเหลือเกิน
“ช่างง่ายดาย หยุนธิงหลานอยากจะขึ้นตำแหน่งพระชายาอ๋องสาม และต้องการจะตั้งครรภ์บุตรของโม่หุยเฟิง แต่ตอนนี้จวนหยุนกั๋วกงมิสนใจนาง นางจึงทำได้เพียงหันมาพึ่งข้า”
อีกอย่างนางและหยุนธิงหลานก็มีจุดหมายเดียวกันนั่นก็คือฉินซื่อเสวีย
เมื่อมีเป้าหมายร่วมกัน ดังนั้นจึงสามารถกลายเป็นพันธมิตรกันได้
มีอยู่ประโยคหนึ่งกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของเรา
จวบจนกระทั่งบัดนี้ สองพี่น้องก็ยังนับว่าเป็นศัตรูกัน……
“เพียงเท่านี้หรือ?”
โม่เยว่ดูมิอยากจะเชื่อ
ดูเหมือนสมองและความคิดของหยุนธิงหลานจะมิค่อยดีนัก
เนื่องจากการที่บัดนี้นางมาเป็นพันธมิตรกับหยุนหว่านหนิงเพื่อจัดการโม่หุยเฟิง เมื่อถึงเวลาที่โม่หุยเฟิงล้มลง พระชายารองหยุนคนนี้จะมีจุดจบอย่างไรเล่า?
นางมองเพียงสถานการณ์ปัจจุบัน แต่มิมองในระยะไกล……
หยุนธิงหลานช่างเป็น‘อัจฉริยะ’ ในความโง่มาแต่กำเนิดเสียจริง
“เจ้าและหยุนธิงหลานมีข้อตกลงกันเช่นไร?”
โม่เยว่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
หยุนหว่านหนิงเม้มริมฝีปากขึ้นแล้วหัวเราะว่า “ข้าได้สัญญากับนางเอาไว้ มิว่านางอยากได้อะไรข้าจะให้ทุกประการ ภายใต้เงื่อนไขว่านางจะต้องอยู่ข้างกายโม่หุยเฟิงและคอยเป็นสายสืบให้ข้า บอกทุกการกระทำของโม่หุยเฟิงให้แก่ข้า”
และนี่ก็คือเหตุผลที่หยุนหว่านหนิงยื่นเงื่อนไขให้หยุนธิงหลานแต่งงานกับโม่หุยเฟิง ทั้งยังร้องขอโม่จงหรานให้ประทานการแต่งงานนี้ให้ด้วย
นอกเสียจากให้เป็นสายสืบแก่นางแล้วก็ยังมีอีกวัตถุประสงค์หนึ่ง ……