อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 405 กั๋วกงขอเข้าพบ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 405 กั๋วกงขอเข้าพบ
การที่ให้หยุนธิงหลานแต่งเข้าไปในจวนของท่านอ๋องสาม นอกจากจะให้เป็นสายสืบให้นางแล้ว……
ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการที่หยุนหว่านหนิงจะลงโทษนาง
ในตอนนั้นนอกจากหยุนหว่านหนิงจะทำความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหยุนธิงหลานแล้ว นางก็ยังเป็นพันธมิตรกับโม่หุยเฟิงด้วย
หากจะเรียกว่าพันธมิตร ……
แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนควบคุมจากหยุนหว่านหนิงเพียงฝ่ายเดียว โม่หุยเฟิงถูกบีบบังคับจนต้องตอบตกลงว่าอีกครึ่งชีวิตนี้เขาจะทรมานหยุนธิงหลานให้นางยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“มิน่าเล่า ในตอนนั้นที่พี่สามถูกเสด็จพ่อส่งไปยังเขาซีเซียงเจ้าได้ส่งคนไปจับตามองเขา เพื่อมิให้เขาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนนี่เอง”
โม่เยว่ก็ได้ส่งคนไปคอยติดตามเขาแล้วเช่นกัน
เพียงแต่ว่าหลังจากที่โม่หุยเฟิงได้ประสบกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ทั้งสองหนนั้นแล้ว บัดนี้เขาก็ดูกลายเป็นคนที่สงบนิ่งและระมัดระวังมากขึ้น
คนของโม่เยว่มิอาจเข้าใกล้เขาได้เลย
ดังนั้นสิ่งที่เขารู้จึงมิได้ชัดเจนเท่ากับสิ่งที่หยุนธิงหลานรู้
“มิน่าเล่า ในตอนที่พี่สามเดินทางออกจากเมืองหลวง จึงได้กล่าวว่าเจ้าจะให้หยุนธิงหลานไปที่เขาซีเซียงด้วย”
โม่เยว่ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “หนิงเอ๋อร์ หมากเกมนี้เจ้าได้กุมไว้ในมือตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนเข้าไปอยู่ในกระดานหมากของเจ้าโดยที่มิมีใครรู้ตัว ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชมหยุนหว่านหนิงจากใจจริง
ก่อนหน้านี้เขาตาบอดไปแล้วหรือไรกัน?
เหตุใดเขาจึงเกลียดโกรธหยุนหว่านหนิง ทั้งๆ ที่นางมีความสามารถถึงเพียงนี้
“เจ้าชมกันเกินไปแล้ว”
หยุนหว่านหนิงยิ้มแล้วโบกมือขึ้น “หากเจ้าชมข้าต่อไปเช่นนี้ข้าคงจะเขินยิ่งนัก”
“แต่ในเมื่อบัดนี้โม่หุยเฟิงรู้เรื่องการมีอยู่และตัวตนของหยวนเป่า ต่อจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือปกป้องบุตรชายอย่างมิอาจผ่อนคลายได้แม้แต่นิดเดียว”
สีหน้าของนางดูจริงจังขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าเข้าใจดี เจ้าจงวางใจเถอะ”
โม่เยว่พยักหน้า เมื่อเห็นว่าบัดนี้นางดูอารมณ์ดีมิน้อย โม่เยว่จึงรีบเอ่ยถามว่า “หนิงเอ๋อร์ เรื่องที่เราจะมีลูกคนที่สอง……””
“หุบปากเสีย!”
หยุนหว่านหนิงเตะเข้าให้ทีหนึ่ง “หากเจ้ายังพูดมากอีกล่ะก็ เชิญไสหัวกลับไปที่เรือนทิงจู่ได้เลย”
โม่เยว่จึงทำได้เพียงเงียบปากลง
……
ตอนนี้ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว วันเกิดของหยุนเจิ้นซงกำลังจะมาถึงในมิช้า
ในช่วงนี้วังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง
และเป็นเทศกาลที่หยุนหว่านหนิงชื่นชอบมากที่สุด
โดยเฉพาะในยุคสมัยเช่นนี้ เทศกาลตรุษจีนนับว่าคงไว้ซึ่งความหมายและวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี บัดนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่สิบกว่าวัน นางจึงได้กำชับคนในจวนทำความสะอาดให้เรียบร้อย
มิว่าจะเป็นการตัดกระดาษสีแดงและติดคำเป็นสิริมงคลต่างๆ ทุกอย่างนางกำชับอย่างถี่ถ้วน
และวันนี้อากาศดียิ่งนัก
หิมะที่ตกอยู่ในเมืองหลวงบัดนี้ก็เริ่มละลาย บนท้องถนนเต็มไปด้วยน้ำซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะ ผู้คนกำลังเก็บกวาดหิมะและตุ๊กตาหิมะปั้น เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไปวิ่งมาพร้อมกับส่งเสียงเป็นกำลังใจ
เด็กๆ เหยียบลงไปที่แอ่งน้ำ กระเซ็นขึ้นสูง
มีทั้งเสียงตำหนิด่าทอ มีทั้งเสียงร้องเรียก มีทั้งเสียงพ่อค้าแม่ค้า ……
ตามท้องถนนทุกตรอกซอกซอย แต่ละครอบครัวพากันยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมงานปีใหม่นี้
พ่อค้าหาบเร่ที่ข้างถนนก็ได้ทำการขายสิ่งประดับประดาต่างๆ สำหรับเทศกาล
เมืองหลวงที่ยังคงปกคลุมไปด้วยสีขาวเงินเมื่อหลายวันก่อน บัดนี้กลับกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีแดงสดใส
หยวนเป่าเดินทางเข้าไปในวังพร้อมกับโม่เยว่ ส่วนหยุนหว่านหนิงกำลังนั่งกินแอปเปิ้ลอยู่
นางถือแอปเปิ้ลไว้ในมือแล้วเดินไปตรวจสอบการประดับประดาทั่วจวน ว่าแต่ละคนดำเนินการไปถึงขั้นใดแล้ว
โดยมีหรูเยียนอยู่ที่ด้านหลังนาง คอยเกลี้ยกล่อมอย่างไร้หนทางว่า “พระชายาเพคะ ท่านเสวยแอปเปิ้ลมาจนถึงสองวันแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายจะรับมิไหวเอานะเพคะ”
“บ่าวขอร้องเถอะนะเพคะ เสวยอาหารอื่นสักคำเถอะ”
หากว่าในมือของนางถือชามข้าวอยู่ล่ะก็ ฉากนี้คงมิต่างอันใดกับแม่ที่คอยวิ่งไล่ป้อนอาหารลูก
ช่างน่าหนักใจเหลือเกิน
“ข้ามิกิน”
หยุนหว่านหนิงปฏิเสธขึ้นอย่างทันควัน “มิว่าเทศกาลใดก็ตามข้าล้วนน้ำหนักขึ้นมาห้าหกกิโลกรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศกาลตรุษจีน มีแต่อาหารการกินดีๆ หากตอนนี้ข้ามิลดน้ำหนักลง ตอนปีใหม่ข้าคงจะอ้วนเป็นหมูนะสิ!”
หรูเยียน “……ตามปกติแล้วท่านก็กินดื่มอยู่ในจวนอ๋องมิได้ย่ำแย่นักนี่เพคะ”
นางกล่าวราวกับว่าจวนอ๋องหมิงแห่งนี้ปฏิบัติต่อนางอย่างย่ำแย่อย่างไรอย่างนั้น
“อีกอย่างท่านก็มิได้อ้วนสักนิด”
หรูเยียนยังคงพูดพล่ามต่ออย่างมิหยุดว่า “ทรงดูแม่นมจางสิเพคะ รูปร่างของนางอ้วนกลมอย่างไร้ที่ติ แต่นางก็มิได้กังวลใจแม้แต่น้อย”
“เจ้าเอาข้าไปเปรียบกับแม่นมจางได้อย่างไร! เจ้ามิเอาข้าไปเปรียบกับแม่หมูในเล้าเสียเลยเล่า เจ้าหาเรื่องอยู่ใช่หรือไม่!”
หยุนหว่านหนิงแทะลูกแอปเปิ้ลนั้นอยู่อีกสองสามหนแล้วโยนมันออกไป
หรูเยียนรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “พระชายาเพคะ บ่าวเพียงแค่ยกตัวอย่าง”
“ตัวอย่างของเจ้านี้มิเหมาะสมสักนิด เหตุใดเจ้ามิเอาข้าไปเปรียบเทียบกับวังอี๋เหนียงแห่งจวนอ๋องฉู่เล่า? ไปเปรียบเทียบกับแม่นมจาง คิดว่าข้าจะภูมิใจหรือ?”
หยุนหว่านหนิงกลอกตามอง “นางพ่ายแพ้ ยินยอมต่อน้ำหนักกายของนางแล้ว!”
“นางคงมิยอมหยุดหากว่าน้ำหนักมิถึงหนึ่งร้อยโล แต่ข้าจะยอมถดถอยเช่นนั้นได้เชียวหรือ?”
ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้นก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่า “หยุนกั๋วกงขอเข้าพบ”
“เขามาที่นี่ทำไม?”
หยุนหว่านหนิงโบกไม้โบกมือขึ้นด้วยความรำคาญใจ “มิพบ”
“แต่ว่าพระชายาเพคะ หยุนกั๋วกงกล่าวว่าหากท่านมิยอมเข้าพบ เขาก็จะมิเดินทางไปไหน มิเข้าใจเสียจริงว่าเขาเป็นถึงกั๋วกงผู้สง่างาม แต่กลับใช้วิธีการอันงี่เง่าเพียงนี้ ขาข้างหนึ่งของเขาอยู่ในธรณีประตูอีกข้างหนึ่งอยู่ด้านนอกประตู”
“บ่าวมิมีทางเลือกอื่น จึงได้กล่าวต่อไปว่า จงเลือกเอาว่าจะหักขาเข้าให้เป็นท่อนๆ หรือจะกลับมารายงานพระชายา ขอร้องให้เขาได้เข้าพบ
บ่าวรับใช้ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างทำตัวมิถูก
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วกอดอกขึ้น “เช่นนั้นหรือ?”
คิดมิถึงว่าหยุนเจิ้นซงจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้
ดูเหมือนกับว่า ก่อนหน้านี้ที่หยุนหว่านหนิงทำตัวไร้เหตุไร้ผล นั่นก็เป็นเพราะยีนในร่างกายของหยุนเจิ้นซงที่ถ่ายทอดมาสินะ
“เขาได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าเดินทางมาที่นี่ทำไม?”
“หม่อมฉันมิทราบ”
บ่าวรับใช้ส่ายหน้า “แต่จากที่มองฉันดูแล้ว เสื้อของเขาดูบวมขึ้นมาราวกับว่าด้านในมีอะไรใส่เอาไว้”
“อ้อ”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกประหลาดใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไปพบเขาสักหน่อย”
“ให้บ่าวไปเชิญท่านหยุนกั๋วกงมานั่งรอหรือไม่เพคะ?”
บ่าวรับใช้รีบเอ่ยถาม
“นั่งทำไมกัน?”
ดูเหมือนหยุนหว่านหนิงจะไร้ความอดทนแล้ว “ธรณีประตูนั้นใหญ่จะตาย บั้นท้ายเขามิอาจนั่งลงได้หรือ ด้านนอกประตูมีบันไดมากมาย เขานั่งมิพอหรือไรกัน ให้เขารออยู่ด้านนอกนั่นแหละ”
หรูเยียนชะงักลงเล็กน้อย “พระชายาเพคะ นี่อาจมิค่อยเหมาะสมกระมัง?”
“ถึงอย่างไรหยุนกั๋วกงก็เป็นบิดาของท่าน ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตั้งมากมายหากเห็นภาพนี้เข้าละก็……”
ใบหน้าของนางดูขัดแย้ง “คาดว่าเมื่อถึงเวลาคนจะมีคนมากมายนำไปว่าต่อ และเมื่อถึงเวลานั้นหม่อมฉันเกรงว่าชื่อเสียงของพระชายาจะเสื่อมเสีย”
“เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ?”
หยุนหว่านหนิงทำท่าทีเฉยเมย “ข้ายังต้องกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกหรือไร?”
นางมิได้สนใจชื่อเสียงหน้าตาตั้งนานแล้ว นางต้องกลัวอะไรกันอีกเล่า
ผู้ใดก็ตามที่ใจกล้าหน้าด้าน ล้วนมิมีศัตรูในใต้หล้า
และนางรู้สึกว่าตัวนางในตอนนี้ก็ไร้ซึ่งศัตรู
ผู้ใดที่ไร้ยางอาย ก็ไร้ซึ่งแรงกดดัน
เมื่อพบว่ามิอาจเกลี้ยกล่อมได้ หรูเยียนก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา พระชายาของนางนั้นมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร นางจะมิรู้เชียวหรือ……อีกอย่าง หยุนกั๋วกงก็ไร้ยางอายจริงๆ
ในวันนี้พระชายาคงจะจัดการกับนางเสียให้ละอายใจบ้าง
หยุนหว่านหนิงยังคงเดินตรวจตราไปรอบๆ จวนอย่างสบายใจ “จากนั้นก็ตั้งใจจะเดินทางไปที่ประตูเพื่อพบกับหยุนเจิ้นซง”
บัดนี้หยุนเจิ้นซงรอคอยอย่างไร้ความอดทนแล้ว
ว่ากันว่าตอนหิมะตกนั้นมิหนาว แต่ยามละลายแล้วจะค่อนข้างหนาว ทว่าบัดนี้เขาตื่นแต่เช้าแล้วสวมเสื้อผ้าหนาเตอะถึงสามชั้น แดดก็กำลังสาดส่องมา
แสงแดดฤดูหนาวสู้ฤดูร้อนคงมิได้ แต่การที่เขาถูกเสื้อผ้าห่อหุ้มเอาไว้อย่างมิดชิดก็ทำให้เหงื่อออกไหลซึม
เขาเช็ดเหงื่อจากหน้าผากแล้วเอ่ยถามผู้เฝ้าประตูว่า “พระชายาของพวกเจ้าทำอะไรอยู่ ปาเข้าไปเท่าไหร่แล้วยังมิเดินทางมาหาข้า?”
“หยุนกั๋วกง พระชายาของพวกเรายินดีที่จะมาพบท่าน โปรดรออีกสักหน่อยเถิด”
บ่าวรับใช้เอนกายพิงไปที่ประตูอย่างเกียจคร้าน “ท่านก็มิใช่ว่าจะมิรู้ พระชายาของพวกเราเกลียดการถูกเร่งเร้า”
“หากท่านยังคงรบเร้าอยู่เช่นนี้เกรงว่าพระชายาของพวกเราคงมิอยากพบท่านเสียแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้หยุนเจิ้นซงกล่าวมิออก
เขาเป็นถึงท่านกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่ แต่ต้องคอยดูสีหน้าของบ่าวรับใช้เฝ้าประตูคนนี้
เมื่อครู่เขาถูกเจ้าหมอนี่เหยียดหยามเอางั้นหรือ
ในขณะเดียวกันร่างของหยุนหว่านหนิงก็ปรากฏกายขึ้น…… เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง หยุนเจิ้นซงก็อดมิได้ที่จะระแวดระวังตัวขึ้น เดาได้ทันทีว่าหยุนหว่านหนิงกำลังจะก่อเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
หยุนเจิ้นซงตื่นตระหนกตกใจ เขาคิดขึ้นมาทันทีว่าหากหนีไปเสียตอนนี้จะทันหรือไม่?
หากหนีไปเสียตอนนี้จะทันหรือไม่……