อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 409 จีบภรรยา หาทางอีกไกลนัก
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 409 จีบภรรยา หาทางอีกไกลนัก
“ท่านป้ารองของเจ้ามาให้แม่ดูอาการให้ กล่าวว่าท้องของนางมิมีการเคลื่อนไหวเลย เกรงว่าอาจมิสามารถให้กำเนิดบุตรได้”
หยุนหว่านหนิงก็มิได้ปิดบังเรื่องนี้ต่อหยวนเป่า
หยวนเป่าแม้จะยังเด็กแต่ก็รู้เรื่องราวมากมาย บางครั้งยังสามารถตัดสินใจแทนนางได้ด้วย
“แต่แม่รู้สึกว่า……”
นางชะงักลงเล็กน้อยแล้วก้มหน้าถอนหายใจ “ท่านป้ารองของเจ้านั้นร่างกายมิได้ผิดปกติ แม่เกรงแต่ว่าปัญหานี้จะเกิดจากตัวของท่านลุงรองของเจ้า”
“ท่านลุงรองหรือ?”
หยวนเป่ากะพริบตาเป็นความหมายว่าเขาสามารถช่วยแบ่งเบาความกังวลใจของมารดาได้ “ท่านแม่ เรื่องนี้มิมีสิ่งใดให้น่ากังวลใจหรอก ลูกไปจับชีพจรให้กับท่านลุงรองก็ได้”
หากเขามิกล่าว บางทีนางอาจจะลืมไปแล้ว บุตรชายของนางศึกษาทักษะทางการแพทย์ด้วยตนเองจากหนังสือ
เจ้าหนูน้อยคนนี้มีความสามารถพิเศษ มิว่าอ่านสิ่งใดเขาล้วนจำได้ทั้งสิ้น
และก่อนหน้านี้หากเขาว่างก็จะคิดค้นยาขึ้นมามิน้อย
เมื่อเขากล่าวดังนี้ ดวงตาทั้งคู่ของหยุนหว่านหนิงก็เป็นประกาย
ในมิช้าดวงตาแวววาวคู่นั้นก็มืดมนลง “ความตั้งใจดีของเจ้าแม่รับรู้แล้ว แต่ถึงอย่างไรลูกก็ยังเป็นเด็ก หากเกิดอาการล้มหมอนนอนเสื่อยังมิเท่าไหร่ แต่เรื่องของการให้กำเนิดบุตรนี้เจ้าจะรักษาได้หรือ?”
“มีอะไรที่ทำมิได้กันเล่า ลูกเพียงแค่จับชีพจรดูก็รู้ได้”
หยวนเป่ากล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ท่านแม่วางใจเถิด วันพรุ่งนี้ลูกจะไปจับชีพจรให้แก่ท่านลุงรองเอง”
เขายังเป็นเด็ก แน่นอนว่าโม่ฮั่นอี่ว์คงมิปล่อยให้เขาจับชีพจรได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาวิธีสักหน่อย……
หยวนเป่าเล่นของเล่นพลางทำท่าทีครุ่นคิด
หยุนหว่านหนิงยกมือขึ้นพยุงไปที่แก้ม แล้วเริ่มคิดถึงเรื่องระหว่างโจวหยิงหยิงและโม่ฮั่นอี่ว์
ร่างกายของโจวหยิงหยิงมิมีปัญหาใด นางมิควรที่จะเจอปัญหาที่มิอาจตั้งครรภ์ได้
สิ่งที่นางเป็นกังวลนั้นก็คือโม่ฮั่นอี่ว์
เจ้าหมอนี่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า
หากว่าไปหยิบอึของสุนัขขึ้นมาผสมใส่เครื่องปรุงรสลงไป คาดว่าเขาชิมแล้วยังรู้สึกว่าเลิศรส เพียงแค่มิบอกเขา รับประกันว่าเขาต้องกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
ช่วงก่อนหน้านี้ โม่ฮั่นอี่ว์น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนเกือบถึงหนึ่งร้อยกิโลกรัม
หากมิใช่เพราะโม่จงหรานสั่งกักบริเวณเขาเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกันมานี้ ก็คงมิอาจทำให้เขาน้ำหนักลงมาเหลือเพียงแค่เก้าสิบกิโลกรัมได้
แต่ในบัดนี้น้ำหนักของเขาเกือบจะถึงร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัมอยู่แล้ว
โม่ฮั่นอี่ว์ที่มิถูกกับบริเวณก็เริ่มกินอย่างมูมมามตะกละ ราวกับอดอยากมาจากที่ใด……หยุนหว่านหนิงเกรงเหลือเกินว่าการที่เขากินทุกอย่างซึ่งมิเลือกนี้จะทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แต่เรื่องนี้นางจะบอกกับโจวหยิงหยิงต่อหน้ามิได้
เพราะหากกล่าวออกไปแล้ว อาจจะทำให้จวนอ๋องอี่ว์เกิดความอลหม่านขึ้นก็ย่อมได้
“ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก”
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจออกมายืดยาว
หยวนเป่าที่กำลังเล่นตัวต่อไม้ของเขาอยู่ ก็ครุ่นคิดว่าจะต่อตัวต่อเช่นไรด้วยความตั้งใจพลางกล่าวว่า “น่าปวดหัวยิ่งนัก”
เมื่อเห็นตัวต่อไม้ข้างกายเขาเหล่านั้น หยุนหว่านหนิงก็กล่าวก็นึกถึงคำของบ่าวรับใช้จวนอ๋องว่า
ตัวต่อไม้เหล่านี้นายท่านตระกูลเฉินเป็นคนทำด้วยตนเองจากมือของเขา
ช่วงนี้โม่เหว่ยมีความเคลื่อนไหวมิเบา
เขาเดินทางมาที่จวนอ๋องหมิง และเดินทางไปที่ตระกูลเฉิน อีกทั้งยังเดินทางไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาด มิรู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดอยู่กันแน่ หรือเขาต้องการประกาศว่า เขาอ๋องโจวสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติแล้ว
แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว โม่เหว่ยมิเคยเดินทางเข้าไปในวังเพื่อเยี่ยมเยี่ยมเยือนโม่จงหรานเลย
ด้วยเหตุนี้เอง ภายในวังจึงมิมีความเคลื่อนไหวใด
หยุนหว่านหนิงตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะเดินทางเข้าวังแต่เช้าและสนทนาหารือกับโม่จงหรานในเรื่องนี้
ค่ำคืนนี้เองพวกเขาทั้งสามคนเต็มไปด้วยเรื่องหนักใจ หยุนหว่านหนิงเป็นกังวลเรื่องของโม่ฮั่นอี่ว์และโจวหยิงหยิง และกังวลว่าโม่เหว่ยคิดจะทำอะไรอยู่หรือไม่ ดังนั้นนางจึงนอนมิหลับทั้งคืน
หยวนเป่านอนพลิกตัวไปมา แล้วครุ่นคิดว่าวันพรุ่งนี้จะหาเหตุผลใดอ้างในการจับชีพจรให้แก่โม่ฮั่นอี่ว์
หลังจากครุ่นคิดและพลิกตัวไปมาสักพัก ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็กจึงได้เล่นจนเหนื่อยและหลับไป
ส่วนโม่เยว่เป็นกังวลใจเรื่องในราชสำนัก ทั้งยังอยากจะมีลูกคนที่สอง……
เมื่อปิดไฟนอนได้สักพัก เขานับว่าค่อนข้างที่จะสงบ แต่ต่อมามือไม้ของเขาก็เริ่มซุกซน
คิดมิถึงว่าหยุนหว่านหนิงที่นอนหันหลังให้แก่เขานั้น นางมิได้นอนหลับตาเลย
“เจ้าจะทำอะไร?”
หยุนหว่านหนิงตะคอกออกมา จากนั้นเตะเขาลงไปจากเตียงโดยมิลังเลแม้แต่น้อย หากเจ้าเป็นเช่นนี้นอนดีๆ มิได้ ก็จงกลับไปที่เรือนทิงจู่เสีย ข้ากำลังปวดหัวอยู่เชียว!”
โม่เยว่ทำได้แต่เพียงสลดหดหู่
เมื่อครู่เขามิทันได้ตั้งตัว ดังนั้นจึงถูกนางถีบเสียจนตกเตียงจริงๆ
เขารีบปีนขึ้นจากเตียง หมอบอยู่บริเวณขอบเตียงหายใจเหนื่อยหอบ “หนิงเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่กัน? คิดอะไรอยู่เล่า บอกให้ข้าฟังสิ บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”
“หากเจ้าช่วยได้แล้วข้าจะมัวครุ่นคิดเพื่อสิ่งใด?”
แต่บัดนี้นางก็ขาดคนสนทนาพอดี
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่ยังมิหลับ หยุนหว่านหนิงจึงได้สนทนาเรื่องราวในใจกับเขา
“ที่แท้เจ้ากำลังหงุดหงิดคิดแทนคนอื่นนั้นหรือ หนิงเอ๋อร์ คิดไปก็ปวดหัวเปล่า สู้พวกเรามา……”
กล่าวไปกล่าวมาโม่เยว่ก็นอกเรื่องอีกแล้ว
หยุนหว่านหนิงพูดมิออกจริงๆ “……โม่เยว่ น้ำอสุจิเจ้าแล่นขึ้นสู่สมองหรืออย่างไร!”
มิรู้ว่าชายผู้นี้ถูกอะไรไปกระตุ้นเข้า ช่วงนี้ข่าวมักจะกล่าวถึงเรื่องต้องการมีลูกคนที่สองอยู่เสมอ “หากเจ้าแน่จริงก็ให้ไปคลอดเอาเองสิ!”
โม่เยว่ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ทั้งสองแต่งงานกันมาได้ห้าปีแล้ว
พวกเขาได้มีความสัมพันธ์กันในคืนแต่งงาน อีกทั้งยังได้นางมาครองด้วยความเข้าใจผิด ดังนั้นจึงได้มีหยวนเป่าเท่านั้น
ตลอดห้าปีมานี้ พวกเขาในฐานะชายหนุ่มร่างกายกำยำแข็งแกร่ง เขาอดทนมามากขนาดไหนแล้วรู้หรือไม่
ก่อนหน้านี้เป็นเขาที่มิอยากแตะต้องนาง
บัดนี้กลับเป็นเขาเองที่มัวแต่ครุ่นคิดทุกวัน ครุ่นคิดอยู่ทุกช่วงเวลา……
เมื่อเห็นร่างของนางเดินไปมาอยู่ด้านหน้าเขา ต่อให้เสื้อผ้าของนางสวมใส่อย่างรัดกุมมิดชิด เขาก็อยากจะเข้าไปฉีกเสื้อผ้าของนางออกเหลือเกิน
แต่แม่นางน้อยคนนี้กลับมิยอมให้เขาแตะต้องนางเลย
“ข้าเป็นชายปกติทั่วไปและเจ้าเป็นภรรยาของข้า พวกเราร่วมหมอนนอนเตียงเดียวกัน หากว่าข้ามิมีความคิดอยากจะมีความสัมพันธ์กับเจ้า เจ้าลองกลับไปครุ่นคิดดูว่าเจ้าคงเป็นหญิงที่ไร้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูด”
ในสายตาของคนอื่น อ๋องหมิงนั้นเป็นผู้ที่สูงส่งยิ่งนัก ทั้งเยือกเย็น เคร่งขรึมหนักแน่น
ทุกคำที่ออกจากปากเขา หากมิใช่คำสั่งอันดุดันก็เป็นการกระทำฆ่าผู้คน
แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหยุนหว่านหนิง……
สิ่งที่ออกมาจากปากเขานั่นคือคำหวานหยดย้อยอย่างไรซึ่งยางอาย……
มิรอให้หยุนหว่านหนิงตอบกลับมา เขาก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แล้วยิ้มขึ้นว่า “การที่ข้ามีความต้องการในตัวเจ้าเช่นนี้ เจ้าควรจะรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้ามีเสน่ห์มากเพียงใด”
หยุนหว่านหนิงถูกเขารบเร้าเสียจนรำคาญ แต่ก็เกรงว่าหยวนเป่าจะตกใจตื่นขึ้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงหยิบมีดออกมาจากใต้หมอน……
ฉากต่อมา โม่เยว่ที่สวมเสื้อผ้าบางๆ ก็ได้หยิบหมอนของตนขึ้น เดินหิ้วรองเท้าวิ่งออกไปจากเรือนชิงหยิ่งทันที
จากนั้นหรูอวี้กับหรูโม่สองพี่น้องก็ปรากฏกายขึ้น
“นายท่าน ดึกดื่นเช่นนี้ สภาพของท่านเป็นเช่นนี้ ถูกพระชายาขับไล่ออกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หรูอี้มิกลัวตาย เอ่ยถามอย่างกล้าหาญ
โม่เยว่เหลือบมองเขา ครั้งนี้มิต้องให้เขากำชับ หมัดของหรูโม่ก็ซัดเข้าทันที
หรูอี้ถูกต่อยเข้าอย่างจัง
หลังจากที่โม่เยว่คลายความโมโหได้แล้วเขาก็กลับไปที่เรือนทิงจู่ นอนพลิกตัวไปมาแต่ก็มิอาจหลับลง นอนอย่างกระสับกระส่าย
เขาเคยชินกับการที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกับสองแม่ลูก เมื่อกลับมายังเรือนทิงจู่อีกครั้งก็รู้สึกว่าห้องนี้ช่างกว้างเหลือเกิน ห้องอันว่างเปล่า แม้ว่าภายในห้องจะมีกองไฟเผาลุกโชนและมีผ้าห่มหนา
แต่เขาก็รู้สึกว่าทุกที่ช่างเยือกเย็น
เมื่อผ่านเข้าไปในสายตา แล้วก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก
เขาเป็นถึงผู้ฝึกวิทยายุทธเชียว!
โม่เยว่เอนกายลงที่เตียง จากนั้นเรียกหรูอวี้กับหรูโม่เข้ามาสนทนาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์
หัวข้อสนทนาในครั้งนี้นั่นก็คือจะทำอย่างไรจึงสามารถคว้าหัวใจของหยุนหว่านหนิงมาได้ในเร็ววัน
จวบจนกระทั่งฟ้าเริ่มสางหรูอวี้กับหรูโม่ก็เริ่มหาวออกมา จากนั้นโม่เยว่ก็ทำการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเดินทางเข้าไปในราชสำนัก
ก่อนเดินทางออกไป หรูอวี้ได้ร้องเพลงเปล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “เกล็ดหิมะปลิว ลมเหนือพัดโชย……”
ครั้งนี้โชคดีเหลือเกินที่โม่เยว่มิได้ต่อยเขา แต่กลับเดินออกไป พึมพำพูดว่า “ยามรังแกนางช่างดูสดชื่น ผลที่ตามมาช่างน่าสังเวช ท่านอ๋องหนอท่านอ๋อง หนทางการจีบภรรยานั้นยังอีกยาวไกล……”
โม่เยว่หยุดชะงักลง
ช่างเถอะช่างเถอะ จะว่าไปเจ้าสองคนนี้ก็มิได้กล่าวผิด
ใครใช้ให้ในครานั้นเขาปฏิบัติต่อหนิงเอ๋อร์อย่างโหดเหี้ยมก่อนเล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เขาจำเป็นต้องยอมรับมัน
ต่อให้ทั้งชีวิตนี้หนิงเอ๋อร์มิให้อภัยเขาอีกแล้ว แต่เขาก็ยินดีที่จะพยายามไปตลอดชีวิต เพียงแค่ให้ได้หัวใจของหยุนหว่านหนิงมา
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้น ……