อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 429 เจ้านายน้อยปรนนิบัติยากจริงๆ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 429 เจ้านายน้อยปรนนิบัติยากจริงๆ
เมื่อเทียบกับใบหน้าที่ซีดเซียวไร้สีเมื่อครู่นี้ เวลานี้มันค่อยๆ ดีขึ้น
ลมหายใจของนางก็แข็งแรงขึ้นมา โม่เยว่สามารถรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่มั่นคงและทรงพลังของนางได้อย่างชัดเจน
การค้นพบนี้ทำให้โม่เยว่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง อดที่เข้าไปใกล้หูของนางแล้วกระซิบสองคำไม่ได้ “หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์? เจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม?”
น่าเสียดาย หยุนหว่านหนิงยังคงไม่สามารถตอบสนองได้
โม่เยว่เงยหน้ามองดูผิวน้ำ และตัดสินใจในทันที “ออกเดินทางทันที!”
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะให้นางอยู่เคียงข้าง
นางคิดถึงลูกจนป่วย
โม่เยว่ให้นางได้พบกับหยวนเป่าในนาทีแรกเลย!
……
ชายร่างใหญ่ที่ลักพาตัวหยวนเป่าไประมัดระวังตัวอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่ระวังตัวจากหยวนเป่าแล้ว แต่กลับคนอื่นๆ ก็ยังคงรักษาความตื่นตัวในระดับสูงเอาไว้
เดิมทีเรือสามารถลอยไปถึงปากทางแม่น้ำโดยตรง จากนั้นขึ้นฝั่งไปก็คือทางเข้าประตูเมืองของเมืองเซียง
แต่เขาดันพายทวนน้ำกลางทางพอดี ขึ้นฝั่งแล้วก็โยนเรือเอาไว้ในพุ่มหญ้า พาหยวนเป่าข้ามน้ำข้ามภูเขาต่อไป
ข้ามภูเขาลูกนี้ไป ด้านหลังก็คือเมืองเซียงแล้ว
พายเรือมาทั้งคืน เขาก็เหนื่อยล้าเล็กน้อยเช่นกัน
เขาหันไปมองหยวนเป่าครู่หนึ่ง เห็นเพียงเขาหน้าม่อยคอตกเล็กน้อย ใบหน้าเล็กก็ซีดขาวเล็กน้อยเช่นกัน
คิดถึงว่าเจ้าหมอนี่ต้องไม่เคยนั่งเรือมาก่อนแน่ ดังนั้นจึงนอนหลับได้ไม่สนิททั้งคืน หลังเที่ยงคืนยังเมาเรือเล็กน้อย เวลานี้ถึงได้ดูอ่อนเพลียเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?”
เขารู้อยู่แก่ใจยังแกล้งทำเป็นถาม
หยวนเป่าเหลือบมองเขาอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้พูดอะไร
“หิวไหม?”
ชายร่างใหญ่ยื่นติ่มซำที่อยู่ในมือให้เขา
หยวนเป่าไม่รับ ทำท่าทาง “ข้าไม่อยากสนใจเจ้า”
เห็นเขาหันกลับไปด้วยความโกรธ หันหลังใส่เขา ไม่เอ่ยปากอย่างหยิ่งทะนง ชายร่างใหญ่ยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก “เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ยังมาทำเป็นโกรธข้าอีกหรือ?”
“ท่านเป็นคนลักพาตัวข้ามาไม่ใช่หรือ?”
เขาใช้นิ้วเขี่ยติ่มซำออกมาหนึ่งชิ้น ขณะที่กินก็พูดไปด้วยว่า “ข้าก็ปรนนิบัติเจ้าเหมือนเจ้านายน้อยไม่ใช่หรือ?”
“ตลอดทางมานี้ข้าให้เจ้ากินไม่ดีหรือให้เจ้าดื่มไม่ดีหรือ? เจ้านายน้อยอย่างเจ้าปรนนิบัติยากจริงๆ!”
หยวนเป่าก็ยังไม่พูดอะไร
เขาคิดถึงท่านแม่มากจริงๆ!
สายตาของเขามองไปทางแม่น้ำกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ตรงเชิงเขาสายนั้นอย่างหดหู่
ตลอดทางมานี้ถึงแม้เขาจะทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ท่านแม่และคนอื่นๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นหรือไม่ หากเดินทางบนภูเขาตลอด เขายังสามารถทิ้งเบาะแสต่อไปได้อีก
แต่หากยังต้องข้ามแม่น้ำ…..
หยวนเป่าก็มีความหวังว่าจะโชคดี ถึงได้ทิ้งเรือกระดาษกับนกกระเรียนกระดาษพวกนั้นเอาไว้
หวังเพียงว่าท่านแม่และคนอื่นๆ จะเห็นเรือกระดาษกับนกกระเรียนกระดาษพวกนั้น
หยวนเป่าถอนหายใจเงียบๆเฮือกหนึ่ง บนใบหน้าเล็กแฝงไปด้วยความเศร้าหมองที่ไม่เข้ากับอายุของเขา
“เจ้าไม่กินจริงหรือ?”
ชายร่างใหญ่ตบไหล่ของเขาเบาๆ
“ไม่กิน”
หยวนเป่ากล่าวอย่างดื้อรั้น
เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง และเริ่มวาดภาพขึ้นมาอีกครั้ง……ชายร่างใหญ่มองดูก้อนหินอย่างค่อนข้างสนใจ “ที่เจ้าวาดคือตัวอะไร?”
“ช้าง”
หยวนเป่าดูไม่มีความสุข
“สวยมากเลย”
ชายร่างใหญ่ยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขามองไปทางป่าครู่หนึ่ง จู่ก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้ากินติ่มซำจนเบื่อแล้วใช่ไหม? อยากกินอย่างอื่นเพื่อเปลี่ยนรสชาติดูไหม?”
หยวนเป่าถึงได้กระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย “ถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ ข้าสามารถกินอะไรได้?”
“กินเปลือกไม้หรือ?”
ชายร่างใหญ่: “……เจ้าอยากกินข้าก็จะขูดเปลือกไม้ให้เจ้า”
“ข้าไม่อยาก”
หยวนเป่าก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
ชายร่างใหญ่กลอกลูกตาเล็กน้อย “อยากกินกระต่ายย่างไหม?”
หยวนเป่าเริ่มกลืนน้ำลายอย่างไม่เอาไหน แต่ก็ยังปากแข็ง “กระต่ายน่ารักขนาดนั้น ท่านกินมันได้อย่างไร?”
ชายร่างใหญ่มีความสุข “เช่นนั้นเจ้าแทะเปลือกไม้ไปแล้วกัน!”
“ไม่ ข้ากิน!”
หยวนเป่าวาดหางของช้างเสร็จแล้ว ก็โยนทิ้งไปบนพื้น ตบบั้นท้ายเล็กน้อยแล้วก็ลุกขึ้นมา “แต่ว่าเราจะไปจับกระต่ายที่ไหน?”
“นี่ยังไม่ง่ายอีกหรือ?”
ชายร่างใหญ่ช้อนตัวเขาขึ้นมาจากพื้น แล้วแบกเอาไว้บนบ่า
ฤดูใบไม้ผลิ ทุกสรรพสิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่
กระต่ายที่จำศีล ก็เริ่มออกหาอาหารเช่นกัน
ชายร่างใหญ่วิทยายุทธสูงส่ง พริบตาเดียวก็จับกระต่ายได้สองตัวแล้ว
หลังจากที่จัดการกับกระต่ายแล้ว เขาก็ก่อไฟและเริ่มย่างขึ้นมา
อาจเป็นเพราะใกล้จะถึงเมืองเซียงแล้ว ดังนั้นคนทั้งคนของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มองไปที่หยวนเป่าที่นั่งวาดรูปอยู่บนพื้นเป็นระยะๆ “หนอนหนังสือ!”
“ท่านเป็นคนไม่มีการศึกษา!”
หยวนเป่าตอกกลับเขา “ไม่รู้หนังสือสักตัว มีแต่ใช้กำลังแก้ไขปัญหา”
ชายร่างใหญ่ยักไหล่ ไม่ได้โกรธอะไร “เจ้าเด็กน้อย รอให้เจ้าโตแล้วถึงจะรู้ว่า สามารถให้กำลังแก้ไขปัญหา คือเรื่องที่สุดยอดแค่ไหน”
“ท่านสู้ท่านพ่อของข้าไม่ได้หรอก”
หยวนเป่ากล่าวขึ้นมากะทันหัน
ระหว่างทางมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชายร่างใหญ่ได้ยินเขาเอ่ยถึงท่านพ่อของเขา
เขาเลิกคิ้ว “ทำไมเจ้าไม่พูดถึงแม่เจ้าแล้ว?”
“ท่านแม่ของข้าไม่มีวิทยายุทธ! แต่ท่านพ่อของข้าวิทยายุทธสูงส่ง ท่านสู้เขาไม่ได้แน่นอน”
หยวนเป่ามองดูเขาอย่างจริงจัง
เขาจินตนาการในใจ รอให้โม่เยว่ไล่ตามพวกเขาทัน ก็จะกดชายร่างใหญ่เอาบนพื้น ซ้อมจนแม่ของเขาก็ยังจำไม่ได้!
ชายร่างใหญ่ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่โพล่งออกมาว่า “ก็ไม่เสมอไป! ถ้าหากท่านพ่อของเจ้ามีวิทยายุทธ์ไร้เทียมทานจริงๆ ก็ไม่ถึงกับเวลานี้แล้วยังหาเราไม่เจอหรอก”
“นั่นเป็นเพราะท่านเจ้าเล่ห์ไง!”
หยวนเป่าแก้ต่างแทนท่านพ่อของตัวเอง “ถ้าหากท่านยืนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อของข้า เขาจะต้องทุบตีท่านจนกลายเป็นหัวหมูแน่นอน!”
ชายร่างใหญ่ไม่ได้พูดต่ออีก
เขายื่นขากระต่ายที่ย่างเสร็จแล้วให้กับหยวนเป่า “กินซะ กินเสร็จก็เดินทางต่อ”
หยวนเป่าไม่ทำให้ท้องของตัวเองลำบากหรอก
กระต่ายย่างนี่กลิ่นหอมมาก!
ขณะที่เขากำลังกินก็กล่าวขึ้นมาอย่างคลุมเครือ “ท่านแม่ของข้าบอกว่า มีเวลาก็จะพาข้าไปเดินเล่นในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเราก็ปิ้งย่างกันริมแม่น้ำ”
“ข้าก็ถือว่าได้มีประสบการณ์ก่อนล่วงหน้าแล้ว เดินเล่นในฤดูใบไม้ผลิกับปิ้งย่าง แล้วก็ผจญภัย!”
“การเดินทาง” ในครั้งนี้ ก็คือการผจญภัยช่วงสั้นๆครั้งหนึ่ง
เขาเชื่อมั่นว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องรีบหาพวกเขาให้เจอโดยเร็วที่สุดแน่นอน
ชายร่างใหญ่นิ่งเงียบต่อไป หลังจากที่ทั้งสองคนกินอิ่มแล้ว หยวนเป่ายังคงใช้วิธีเดิม คว้าดินโคลนที่เปียกชื้นโรยไปบนกองไฟ ถึงได้จากไปพร้อมกับชายร่างใหญ่
เดินอยู่ในป่าครึ่งวัน จู่ๆชายร่างใหญ่ก็เปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง
หยวนเป่าเห็นเขาเปลี่ยนใจอีกแล้ว รีบร้อนเรียกเขา “เท้าข้าเจ็บมาก เราพักสักครู่ค่อยเดินทางเถอะ”
ชายร่างใหญ่ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่โน้มตัวลงแล้วอุ้มเขาขึ้นมา นั่งอยู่บนบ่าของเขา
กลยุทธ์ประวิงเวลาล้มเหลว!
เขาจับผมของชายร่างใหญ่เอาไว้ มองดูกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะ……
“รอเดี๋ยวก่อน! มีรังนกอันหนึ่ง!”
หยวนเป่าตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น รีบร้อนยื่นมือออกไปพับกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะให้กลายเป็นลักษณะของรังนก ชี้ไปที่รังนกที่อยู่บนกิ่งไม้ให้ชายร่างใหญ่มองดู
“ที่แท้รังนกก็หน้าตาเช่นนี้นี่เอง? ฝนตกน้ำไม่รั่วหรือ?”
เขาพูดจ้อกแจ้กจอแจอยู่เหนือศีรษะ เหมือนนกกระจอกตัวน้อยมากจริงๆ
“ไม่เคยเห็นรังนกหรือ?”
ชายร่างใหญ่เงยหน้ามองดูครู่หนึ่ง ยิ้มเย้นหยันออกมา “ช่างเป็นเตี้ยนเซี่ยน้อยผู้สูงส่งจริงๆ!”
พระนัดดาองค์โตเตี้ยนเซี่ย เดิมก็สูงส่งอยู่แล้ว
ในเวลาปกติไม่เคยได้ออกจากประตูเมืองเลย แล้วจะเคยเห็นรังนกได้อย่างไร? !
ชายร่างใหญ่ก็เลย “แสดงเมตตาจิต” ยืนอยู่กับที่ ให้เขาดูให้พอใจ
หยวนเป่าพับรังนกติดต่อกันหลายอัน ถึงได้ตบไปยังศีรษะของเขาเบาๆ “ไปเถอะ! ข้ามองจนพอใจแล้ว!”
ชายร่างใหญ่เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเดินไปสองสามก้าว เงาร่างหนึ่งก็ลงมาจากฟากฟ้า ขวางอยู่ตรงหน้าของพวกเขาเงียบๆ……