อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 44 ศึกพลิกวิกฤตอย่างสวยงาม
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 44 ศึกพลิกวิกฤตอย่างสวยงาม
คำพูดนี้หยุนหว่านหนิงฟังจนเลี่ยนแล้ว
สี่ปีก่อน ฉินซื่อเสวียบงการเขาให้หักหลังหยุนหว่านหนิง จนเกือบทำลายความบริสุทธ์ของโม่เฟยเฟย
สี่ปีให้หลัง ฉินซื่อเสวียยังบงการเขาให้ทำอะไรอีก?
หยุนหว่านหนิงหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาวาบประกายคมปลาบผ่าน “ฉินซื่อเสวียบงการเจ้าให้ทำอะไร? ข้าความอดทนน้อย ทางที่ดีเจ้าพูดให้จบในครั้งเดียว”
ระยะนี้ โหยวเอ้อได้รู้ถึงความร้ายกายของพระชายาหมิงผู้นี้แล้ว
มองดูใบหน้างามล่มชาติล่มเมือง เดิมคิดว่าเป็นสตรีอ่อนแอแทบจะพริ้วไหวไปตามลมผู้หนึ่ง
แต่ความจริงแล้ว เป็นแมวป่าที่เก็บกรงเล็บแหลมคมเอาไว้ตัวหนึ่ง!
พอเห็นประกายเย็บเยียบวาบผ่านในดวงตานาง โหยวเอ้อสะท้านเยือกอย่างกลั้นไม่อยู่ พูดปากสั่นๆ
ที่แท้ ไม่เพียงแค่เรื่องเมื่อสี่ปีก่อนที่ฉินซื่อเสวียเป็นคนบงการ
ในสี่ปีนี้ โหยวเอ้อคอยรับใช้ทำงานให้ฉินซื่อเสวียมาตลอด!
“ข้าว่าละ หลายคนที่มากับเจ้าล้วนโดนฉินซื่อเสวียกำจัดทิ้งหมดแล้ว แต่เจ้าไม่เพียงหนีรอดมาได้ และยังกล้าอยู่ในเมืองหลวงต่ออีก”
หยุนหว่านหนิงยิ้มเย็น
ถึงโหยวเอ้อผู้นี้จะอยู่ในวัดร้างทางทิศตะวันออกของเมือง แต่มักออกมาเดินเล่นอยู่บนถนนบ่อยครั้ง
หากโดนฉินซื่อเสวียตามฆ่าจริง คงจะแอบหลบซ่อนกระมัง?
ใครจะทำตัวเด่นเหมือนเขากัน?
โหยวเอ้อกลืนน้ำลายเอื๊อก “พระชายาหยิงค้นพบนานแล้วว่า ท่านแอบตระเตรียมทำเรื่องนั้น ดังนั้นเลยปล่อยร่องรอยของข้าออกไป เพื่อล่อให้ท่านติดเบ็ด”
มิน่าล่ะ ในวัดร้างวันนั้น กลับมีนักฆ่าปรากฏออกมา
นักฆ่าเหล่านั้นท่าทางดุร้าย พุ่งมายังหัวของหยุนหว่านหนิงเลย
ที่แท้ ฉินซื่อเสวียวางแผนมานานแล้วนี่เอง
พอหันมามองโหยวเอ้ออีกครั้ง หยุนหว่านหนิงมาถึงขั้นโกรธจัดจนยิ้มเย็นแล้ว “ยังมีอีกรึไม่?”
“ยังมี ยังมี…”
เห็นเขาตะกุกตะกัก หยุนหว่านหนิงหมดความอดทน
เธอหยิบมีดสั้นออกมาจากฝัก ปักลงบนโต๊ะอย่างแรง “พูด! ตะกุกตะกักอีก ข้าจะปักมีดสั้นลงบนลิ้นเจ้า!”
โหยวเอ้อตกใจจนดึงลิ้นกลับปิดปากสนิท
รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาก็รีบตอบว่า “พระชายาหยิงบอกว่า”
“ครั้งนี้ให้ข้าช่วยแสดงละครเป็นเพื่อนท่านก่อน จากนั้นก้าวออกมาพลิกลิ้นกลับมาใส่ร้าย และยืนกรานว่าท่านพูดเท็จ จงใจใส่ร้ายปรักปรำพระชายาหยิง!”
“เหอะ”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเสียงต่ำ
ฉินซื่อเสวียผู้นี้ ความเจ้าเล่ห์ดูจะมากกว่าเมื่อสี่ปีก่อนเสียอีก!
ไม่พูดถึงอย่างอื่น ไม้นี้มันได้ผลอยู่
อย่างน้อย ก็ได้ผลกับโม่เยว่
ถ้าเรื่องนี้ดำเนินไปตามแบบที่โหยวเอ้อพูดจริง โม่เยว่คงแค้นเธอนัก
คนที่ทำเลวเมื่อสี่ปีก่อนคือเธอ
สี่ปีให้หลัง คนที่ยังไม่ยอมอยู่เฉย กลับทำเลวให้ร้ายป้ายสีคนอื่นยังเป็นเธออีก!
ขอแค่โม่เยว่ยังมีใจแก่ฉินซื่อเสวียอยู่บ้าง คงลงมือฆ่าหยุนหว่านหนิงเองกับมือแน่ แต่เขายังรักฉินซื่อเสวียอยู่หรือเปล่าน่ะ?
น่าจะมีนะ
เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นรักแรกที่ลืมไม่ลงของเขานี่นา
หยุนหว่านหนิงครุ่นคิดอยู่ข้างเดียว
แต่ฉินซื่อเสวียกลับไม่ได้คิดไปถึงเรื่องหยุนติงหลาน
ในเวลาเดียวกับที่นางใช้โหยวเอ้อให้ร้ายหยุนหว่านหนิง หยุนหว่านหนิงก็ใช้หยุนติงหลานทำร้ายนาง!
ครั้งนี้ฉินซื่อเสวียล้มเหลว
ไม่เพียงทำร้ายหยุนหว่านหนิงไม่ได้ ยังโดนหยุนติงหลานใส่เข้าให้หนึ่งดอก โดนกักบริเวณเลย
กระทั่งอาศัยความช่วยเหลือทางอ้อมของนาง โม่เยว่เลยเชื่อในตัวหยุนหว่านหนิง และชะล้างความเคียดแค้นที่มีต่อเธอ
ไม่อย่างนั้น สองวันนี้ในวังน่ากลัวจะครึกครื้นน่าดู
ฉินซื่อเสวียต้องจับเรื่องนี้ไว้มั่นอย่างไม่ยอมปล่อยและไปฟ้องต่อหน้าฮ่องเต้ฮองเฮาแน่ บอกว่าหยุนหว่านหนิงจงใจใส่ร้ายนาง สี่ปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนหว่านหนิงทำศึกพลิกวิกฤตได้อย่างสวยงาม!
ครั้งนี้นางทำเลวไม่สำเร็จ กลับทำตนเองเสียหายแทน….
“พระชายาหมิง เรื่องทั้งหมดข้าสารภาพหมดเปลือกแล้ว ตอนนี้มิมีสิ่งใดปิดบังอีกแล้ว” โหยวเอ้อโขกศีรษะด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาน้ำมูก “ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถอะ! หากมิได้จริงๆ ท่านฆ่าข้าก็ได้ อย่าทรมานข้าอีกเลย!”
อย่าให้ยัยแก่นั่นมาทรมานเขาอีกเลย!
โหยวเอ้อยอมตายดีกว่าโดนแม่นมจางลบหลู่ต่อไป
“ตาย? ข้าเก็บเจ้าไว้ยังมีประโยชน์ จะให้เจ้าตายได้อย่างไร?”
หยุนหว่านหนิงดึงมีดสั้นออกมา วางเล่นไปมาในมือ “แม่นมจาง เอาเขาไปขังไว้ในห้องเก็บฟืน” แม่นมจางรีบรับคำ ตอนกำลังจะลากโหยวเอ้อที่มีสีหน้าสิ้นหวังไป ก็ได้ยินเธอกำชับอีกว่า “ต่อไปแค่ขังเท่านั้น อย่าแตะต้องเขา”
“อย่าให้เขาตายล่ะ”
พอได้ยินคำนี้ ในดวงตาสิ้นหวังราวปลาตายของโหยวเอ้อกลับมีประกายแสงขึ้นมาเล็กน้อย
ยังดียังดี ไม่โดนทรมานก็ดีแล้ว
แม่นมจางเบ้ปาก “เพคะ พระชายา”
ความสุขของนางไม่มีแล้ว
นางพึ่งจะพาโหยวเอ้อไป เจ้าก้อนแป้งก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ “ท่านแม่ท่านแม่ เมื่อครู่ตาทวดชมข้าล่ะ! บอกว่าข้าเขียนบทความได้ดีมาก วันนี้เลยให้เลิกเรียนเร็ว”
เขาเหมือนกับวิ่งมาเร็วมาก ใบหน้าน้อยแดงก่ำ
อากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว เขาเลยใส่เสื้อผ้าอัดแน่น
ตอนวิ่งเข้ามา เหมือนหัวแครอทกลมดิกลูกหนึ่งกลิ้งเข้ามา
เขาพุ่งเข้าอ้อมกอดหยุนหว่านหนิงทันที
เธอช่วยจัดปอยผมให้เขา ถามอย่างแปลกใจว่า “หือ? เจ้าเขียนบทความอะไรรึ?
“ท่านแม่”
เสียงกู้ป๋อจ้งดังขึ้นที่หน้าประตู
“ท่านตา”
หยุนหว่านหนิงรีบเข้าไปรับ สั่งให้หรูเยียนยกชามา
“ไม่ดื่มชาละ! เมื่อครู่คนรับใช้มารายงานว่า เกิดเรื่องที่จวนเล็กน้อย ข้าจะรีบกลับไปดูสักหน่อย ข้าส่งหยวนเป่ามาให้เจ้าแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก”
สีหน้ากู้ป๋อจ้งดูเคร่งเครียด “หากมีอะไร ระยะนี้ข้าคงมาไม่ได้”
เห็นเขาสีหน้าเคร่งเครียด หยุนหว่านหนิงเดาว่าคงเกิดเรื่องใหญ่
“ท่านลุงเจ้าเกิดเรื่องแล้ว”
…..
ถึงกู้ป๋อจ้งจะอายุปูนนี้แล้ว แต่ร่างกายแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่ว
พอเข้าประตูตระกูลกู้ คนรับใช้ก็ตามมาข้างๆตอบคำว่า “นายท่าน ตอนท่านรองรับอาหารกลางวันยังดีๆอยู่เลย ใครจะรู้พอตอนนอนกลางวัน กลับอาเจียนเป็นเลือดหลายคำ”
“ตอนนี้สลบไม่ได้สติเลย!”
“เชิญท่านหมอมาหรือยัง?”
กู้ป๋อจ้งเดินไปทางเรือนกู้หมิง
“เชิญแล้วขอรับ แต่ท่านหมอก็ทำอะไรไม่ได้ หาสาเหตุไม่เจอเลย”
“ท่านตาอย่าร้อนใจไป ให้ข้าดูท่านลุงหน่อย”
เสียงใสกระจ่างเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
คนรับใช้หันไปตามเสียง ถึงเห็นสตรีอ่อนเยาว์คนหนึ่งกำลังจูงมือเด็กน้อยท่าทางแข็งแรงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากทางประตู ตามหลังกู้ป๋อจ้งมา
เมื่อครู่ตอนลงจากรถม้า รองเท้าของหยวนเป่าหลุดไปข้างหนึ่ง
หยุนหว่านหนิงกำลังใส่รองเท้าให้เขา กู้ป๋อจ้งเป็นห่วงกู้หมิง เลยเข้ามาก่อน
ดังนั้นคนรับใช้จึงเห็นแค่เขาเข้ามาคนเดียว
ได้ยินหยุนหว่านหนิงเรียกเขาว่าท่านตา เรียกกู้หมิงว่าท่านลุง…
สายตาคนรับใช้มีแววตกใจ ทนไม่ไหวร้องออกมาว่า “พระชายาหมิง?”
หยุนหว่านหนิงผงกหัวรับไม่ได้พูดอะไร จูงหยวนเป่าตามติดกู้ป๋อจ้ง ทั้งสามคนเดินไปทางเรือนด้านหลัง
ยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้กลิ่นยาแรงมาก
ปลายจมูกเธอขยับฟุดฟิด พบว่ายานี่ใช้รักษาโกรธจัดแทงหัวใจ
พอเข้าไป กู้หมิงสลบไสลไม่ได้สตินอนอยู่บนเตียง ท่านหมอหลายคนรายล้อมรอบเตียงปรึกษากันเสียงต่ำ ยามสาวใช้ยกถ้วยชาผ่านร่างหยุนหว่านหนิงไป กำลังจะเข้าห้องก็โดนเธอสกัดไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“เอายาให้ข้า”
กู้ป๋อจ้งรีบหันมาถามเธอ “หนิงเอ๋อร์ ยามีปัญหารึ?”