อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 92 ถูกอาหารเลิศรสปราบราบคาบ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ ตอนที่ 92 ถูกอาหารเลิศรสปราบราบคาบ
ไม่นาน โม่เฟยเฟยก็เข้ามาในเรือนชิงหยิ่ง
หยุนธิงธิงกล่าวว่าตนเองถือเป็นคนนอก คงจะไม่ดีถ้าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของพวกนาง ดังนั้นจึงกลับไปเรือนปีกข้าง มื้อกลางวันวันนี้ มีเพียงหยุนหว่านหนิงและโม่เฟยเฟยสองคนพี่สะใภ้น้องสามีเท่านั้น
ตอนนี้ถือว่ามีดจ่ออยู่ที่คอแล้ว
หยุนหว่านหนิงขณะสั่งให้ย้ายเตาถ่านไปที่ทางเดินนอกประตู ก็เตรียมวัตถุดิบไปด้วย
จุดหลักของเนื้อย่างก็คือเนื้อสัตว์
เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู เนื้อปลาและอื่น ๆ ย่างเนื้อสัตว์ได้ทุกประเภท!
อีกทั้งผัก และน้ำผลไม้ก็เป็นสิ่งจำเป็น
ตอนโม่เฟยเฟยเข้ามา หยุนหว่านหนิงก็กำลังทำน้ําแอปเปิ้ลฮอว์ธอร์นรสกลมกล่อม
หลังกินเนื้อย่างแล้วดื่มน้ําแอปเปิ้ลฮอว์ธอร์น ลดเลี่ยนและเจริญอาหาร
เนื้อหมักแล้ว แม่นมจาง และสาวใช้หลายคนกำลังเตรียมผัก ขณะที่หยุนหว่านหนิงนำน้ําแอปเปิ้ลฮอว์ธอร์นออกมา โม่เฟยเฟยก็โผล่หน้าเข้ามา
“นี่คืออะไร”
เมื่อเห็นเครื่องดื่มสีแปลกประหลาด นางก็ขมวดคิ้ว “เจ้าคงไม่ได้คิดฉวยโอกาสวางยาฆ่าข้าใช่ไหม”
หยุนหว่านหนิง “…”
น้องสาวสามีผู้นี้มีอคติต่อนาง เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่เปลี่ยนแปลง
นางหยิบขึ้นจิบ ใช้การกระทำยืนยันว่านี่ไม่มีพิษ
มองดูคนรับใช้ทำงานยุ่งวุ่นวายที่เข้าๆ ออกๆ โม่เฟยเฟยมองอย่างสงสัย “นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมต้องเอาเตาถ่านออกมาข้างนอก ไม่ต้อนรับข้าเข้ามานั่งในเรือนรึ”
“องค์หญิงเก้า คิดเรื่องทุกอย่างในแง่ดีได้ไหม”
หยุนหว่านหนิงอธิบายอย่างหมดหนทาง “ข้าวางแผนจะทำเนื้อย่าง จะเชิญเจ้ามาร่วมชิมพอดี”
“เนื้อย่าง?มันคืออะไร”
ทั้งใบหน้าโม่เฟยเฟยระแวง
หยุนหว่านหนิงไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เพียงใช้มือยึดตะแกงย่างเอาไว้
ที่นี่ไม่มีตะแกงย่างโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงหาลวดหนามมาทำความสะอาดแล้วใช้งานแทน
นางทาน้ำมันไว้ด้านบน แล้วนำเนื้อที่หั่นเรียบร้อยวางด้านบน เนื้อวัวที่หมักแล้วก็ตามขึ้นไป น้ำมันกระทบกับไฟ ไม่นานก็ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาดโชยออกมา
โม่เฟยเฟยตะลึงงัน!
นางรู้ว่า ตัวเองไม่ใช่องค์หญิงที่เห็นแก่กิน
ปกติก็กินแต่อาหารมังสวิรัติ พวกอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่ได้สนใจนัก
แต่ตอนนี้ได้กลิ่นหอมหวนที่ทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทานได้ นางเกิดความใคร่อยากกินเนื้อเป็นครั้งแรก!
นางอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ นั่งลงตรงข้ามกับหยุนหว่านหนิง “มันคืออะไร”
“มันคือเนื้อย่าง รับรองเลยว่าเจ้ากินแล้วจะลืมรสชาตินี้ไม่ลง”
หยุนหว่านหนิงทำหน้าภาคภูมิใจ
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ทักษะการทำอาหารที่ติดตัวนางมาจากศตวรรษที่ 21 แม้กระทั่งโม่เยว่ก็ไม่อาจต้านทานจนกลายเป็นนักกิน ยิ่งไม่ต้องพูดโม่เฟยเฟยล่ะ
“ไม่มีทาง”
โม่เฟยเฟยยังคงยึดมั่นใน “ไม่ล้ำเส้น” ของตนเอง
นางไม่ชอบกินเนื้อ อย่างไรก็ไม่มีทางกินเนื้อ!
แม้ว่ากลิ่นนี้จะเย้ายวน…
ไม่นานหยุนหว่านหนิงก็ย่างเสร็จแล้วหนึ่งจาน นางส่งจานให้หรูเยียนสั่งให้ส่งไปให้หยุนธิงธิง
หยุนธิงธิงยังต้องพักฟื้นร่างกาย ไม่อาจกินอาหารมัน ๆ เผ็ด ๆ มากเกินไปได้ นางได้สั่งให้คนเตรียมโภชนบําบัดให้นางแล้ว แต่ให้กินเพียงเล็กน้อยเพื่อลิ้มรสชาติ
เมื่อหันหน้ามา ก็เห็นโม่เฟยเฟยเริ่มขยับตัวเอง
แต่เพราะร้อนเกินไปจนแทบลวกลิ้น นางจึงรีบวางตะเกียบลง ขมวดคิ้วมองเนื้อในจาน
เมื่อเห็นว่าถูกหยุนหว่านหนิงจับได้ นางก็ยิ้มอย่างเขินอาย
ท่าทางเช่นนั้นก็ค่อนข้างน่ารักทีเดียว
หยุนหว่านหนิงยิ้มเบา ๆ หยิบใบผักกาดหอมที่ล้างแล้วข้าง ๆ มา ใช้ตะเกียบคีบเนื้อจิ้มลงในน้ำจิ้ม แล้ววางลงกลางใบผักกาดหอม
นางม้วนใบผักกาดหอม แล้วส่งให้โม่เฟยเฟย “ลองชิม”
“นี่ ใบผักนี่ดิบไม่ใช่หรือ กินได้รึ”
โม่เฟยเฟยรับมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ระหว่างจะถาม หยุนหว่านหนิงม้วนเนื้ออีกชิ้นแล้ว
นางยังคงตอบคำถามโม่เฟยเฟย เหมือนตอนน้ําแอปเปิ้ลฮอว์ธอร์นว่ามีพิษหรือไม่ โดยการเอาเข้าปากตรง ๆ
ใช้การกระทำแทนคำตอบ เป็นการอธิบายที่ตรงที่สุด
เนื้อย่างเข้าไปในปาก กลิ่นหอมกรุ่น เคล้าความสดชื่นของใบผักกาด หยุนหว่านหนิงอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง ใบหน้าเพลิดเพลิน
นางไม่ได้กินเนื้อย่างมานานแล้ว
วันนี้สมใจแล้ว!
เมื่อเห็นนางเพลิดเพลินกับการกินเช่นนั้น โม่เฟยเฟยมองเนื้อย่างในมือ ค่อย ๆ เอาเข้าปาก
นางกัดคำเล็ก ๆ เตรียมรับมือกับอาหารที่ทำออกมาไม่อร่อย…
แต่แล้ว กลิ่นหอมประหลาดทำให้นางไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้อีกต่อไป!
โม่เฟยเฟยมองหยุนหว่านหนิงด้วยความตกตะลึง “นี่มันไม่อร่อยเกินไปหรือ พี่สะใภ้ เจ้าเรียนวิธีการกินเช่นนี้มาจากใคร ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่ายังสามารถกินเนื้อเช่นนี้ได้”
“แล้วยังผักนี่อีก กินดิบก็ได้หรือ”
“เกรงว่าพ่อครัวหลวงในวัง ก็ไม่อาจทำรสชาติเช่นนี้ได้”
“พี่สะใภ้ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ ! ไม่ใช่เพราะว่าเหตุผลอื่นแล้วแต่เป็นเพราะความมีฝีมือการทำอาหารของเจ้า!”
โม่เฟยเฟยลืมความหยิ่งผยองและสูงศักดิ์ในตอนปกติไปแล้ว เริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
ขณะกินอย่างตะกละตะกลาม ก็กล่าวอย่างอู้อี้ว่า “ไม่แปลกใจเลยที่พี่เจ็ดของข้าจะหลงเจ้า คงเพราะถูกฝีมือการทำอาหารของเจ้ากำราบเข้าแล้วล่ะสิ!”
นางดูเหมือนจะลืม ความขัดแย้งระหว่างหยุนหว่านหนิงไปแล้ว
ตอนนี้แต่ละคำก็ “พี่สะใภ้” เรียกหาอย่างสนิทสนมอย่างยิ่ง
เห็นชัดเลยว่า โม่เฟยเฟยถูกอาหารเลิศรสกำราบเข้าแล้ว
“นี่นับเป็นอะไร”
หยุนหว่านหนิงส่งเสียงหึเบา ๆ คุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย “ในเมื่อข้ากล้าพูดว่าตนเองมีฝีมือการทำอาหาร ย่อมต้องสามารถทำอาหารอร่อยยิ่งกว่าเนื้อย่างนี้ได้”
“เจ้าไม่เคยกินหม้อไฟใช่ไหม หม้อไฟเนื้อแกะก็ไม่รู้จัก สเต็ก พิซซ่า เบอร์เกอร์เจ้าก็ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อนล่ะสิ”
ของเหล่านี้โม่เฟยเฟยย่อมต้องไม่เคยได้ยินมาก่อน!
นางมองหยุนหว่านหนิงอย่างตื่นตะลึง ใช้เวลาครู่หนึ่งถึงยกนิ้วโป้งให้ “พี่สะใภ้สมแล้วที่เป็นพี่สะใภ้ สุดยอด!”
“วันหน้า ให้ข้าลองชิมด้วยได้ไหม”
ลองชิมของเหล่านี้ที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน อาหารเลิศรสแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
“ไม่มีปัญหา!”
หยุนหว่านหนิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “อันที่จริงตอนนี้เรายังขาดบรรยากาศอย่างนั้นอยู่นิดหน่อย หากมีเอ้อร์โกโถวหรือซาวตาวจื่อ… อย่างน้อยก็ เบียร์หรือเหล้าองุ่นก็ยังดี!”
ตามคำพูดของนาง พวกเหล่าสุราก็ปรากฏในช่องว่าง
แต่นางกลัวว่าองค์หญิงผู้อ่อนช้อยผู้นี้ดื่มจนเมา แล้วเต๋อเฟยจะไม่ละเว้นนางอีก
ความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้นั้น ยิ่งผูกมัดกันแน่นแฟ้น
ดังนั้นนางเพียงคิดแล้วปล่อยวาง วางแผนในใจว่าวันหน้าตอนนางกับโม่เยว่สองคนกินเนื้อย่าง ต้องให้เขาได้ชิมสุราเลิศรสเหล่านี้
โม่เฟยเฟยมองแววตานาง ก็ตื่นตระหนกมากขึ้น
อีกทั้งพาดผ่าน ความชื่นชมที่ยากจะมองออก
นั่นคือแววตาหลังจากถูกอาหารเลิศรสกำราบ…
วันนี้เนื้อย่างมื้อนี้ ถือเป็นการคลี่คลายความไม่สบายใจระหว่างนางกับโม่เฟยเฟย
หยุนหว่านหนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เนื้อย่างมื้อนี้ระหว่างสองพี่สะใภ้และน้องสาวสามี กินอย่างไม่ทันตั้งตัวตั้งแต่เที่ยงถึงบ่าย ทั้งสองคนอายุใกล้เคียงกัน การพูดคุยกันทั่วไปก็ดึงระยะห่างให้แคบลงอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นเดือนอ้าย แต่ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดลง ก็มีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
โคมไฟใต้ชายคาสว่างขึ้น เกล็ดหิมะที่โปรยปรายภายใต้แสงโคม งดงามมาก
หรูเยียนเดินเข้ามาพร้อมโคมกระดาษ “พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องและคุณชายน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณชายน้อย?”
โม่เฟยเฟยกินจนสองแก้มแดงระเรื่อ ได้ยินว่า “คุณชายน้อย” สามคำนี้ มองหยุนหว่านหนิงอย่างสงสัย “เจ้าให้กำเนิดลูก ของข้ารับใช้จริง ๆ หรือ”
นางได้รู้เรื่องนี้ จากปากของฉินซื่อเสวีย กับเต๋อเฟย
แต่สิ่งที่เรียกว่า “ลูกนอกสมรส” นั้น นางยังไม่พบเจอด้วยตาตัวเอง
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นโม่เยว่อุ้มหยวนเป่าเข้ามาเรือนชิงหยิ่ง
หลังจากเห็นหน้าตาของหยวนเป่า โม่เฟยเฟยตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ตะเกียบในมือร่วงลงพื้นดัง “ตึง” !