อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 96 ท่านแม่ ข้าจะปกป้องท่านเอง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ ตอนที่ 96 ท่านแม่ ข้าจะปกป้องท่านเอง
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกลัว หยวนเป่าโตแล้ว ข้าจะปกป้องท่านเอง!”
หยวนเป่าเช็ดน้ำตาให้นางอย่างแผ่วเบา มือเล็กอวบอ้วนตบไหล่ของนางเบา ๆ ทำสีหน้าที่แน่วแน่
หยุนหว่านหนิงร้องไห้เศร้ายิ่งกว่าเดิม “ฮือออออออ…”
ทั้งชีวิตนี้นางโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่มีลูกชายอย่างหยวนเป่า ฮึกฮือ นับได้ว่าเป็นเทพยดาที่ตกลงมายังแดนมนุษย์ ฮือออ…
หยุนหว่านหนิงส่งหยวนเป่าไปตระกูลกู้ด้วยตัวเอง
ระหว่างทาง นางและหยวนเป่าได้ทำข้อตกลงร่วมกัน
แม้ว่าหยวนเป่าจะรู้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร และรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเต๋อเฟย แต่ก่อนเรื่องนี้จะแดงขึ้น เขาจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับท่านแม่
สองแม่ลูกร่วมกันเป็นหนึ่ง ปิดปากเงียบ!
รู้ว่าเมื่อลูกชายเทียบกับเด็กที่อายุเท่ากันแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่จิตใจมั่งคงหนักแน่นเป็นพิเศษ หยุนหว่านหนิงจึงรู้สึกวางใจ
ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารลูกชายมาก
ตั้งแต่หยวนเป่าเด็ก ก็เติบโตมาโดยไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง
ไม่มีพ่อ…พอสามปีต่อมา โม่เยว่ถึงได้ปรากฏตัวขึ้น ชดเชยความรักของพ่อที่ขาดหายไป
แต่ช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา พวกเขาติดค้างหยวนเป่ามากเกินไป
ช่วงนี้ หยุนหว่านหนิงและโม่เยว่ก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขา
ดังนั้นอยู่ที่ตระกูลกู้แล้วกู้ป๋อจ้งกับกู้หมิงทำของเล่นมากมายให้เขา หยวนเป่ามีความสุขจนไม่อยากกลับจวนอ๋อง
พอมาถึงตระกูลกู้กำชับกับกู้ป๋อจ้งและ กู้หมิงโดยเฉพาะ พ่อลูกคู่นี้ ก็เดาพื้นเพของหยวนเป่าออกตั้งแรกแล้ว แต่หยุนหว่านหนิงไม่พูด พวกเขาก็ไม่ถาม
กลับกัน สายเลือดตระกูลกู้ก็ไหลเวียนอยู่ในร่างหยวนเป่าเช่นกัน
ไม่สนว่าตระกุลโม่จะรับรู้หรือไม่ แต่ตระกูลกู้พวกเขาล้วนรับรู้!
เพราะงั้นสองพ่อลูกหยุนหว่านหนิงกับกู้ป๋อจ้งก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
นางกลับไปอย่างวางใจ
ทันที่เพิ่งกลับจวนอ๋อง ก็เห็นรถม้าของโม่เยว่จอดอยู่ตรงประตู บ่าวเด็กชายผู้เฝ้าประตูยืนกลัวตัวสั่นงันงกอยู่หน้ารถม้า กำลังรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงกลับมาแล้ว เขารีบตะโกนว่า “พระชายาขอรับ ท่านอ๋องกลับมารับท่านเข้าวังขอรับ!”
พระชายาผู้นี้ราวกับจะเป็นเทวดาเดินดินองค์หนึ่งแล้ว
ไม่เป็นที่โปรดปรานมาสี่ปี อยู่จวนอ๋องราวกับเป็นคนไร้ตัวตน
ใครจะไปคิดว่าหลังจากสี่ปี จู่ๆ ก็ “กลับมาโปรดปราน” แล้วกัน
ท่านอ๋องตื่นแต่เช้าและตรงเข้าไปในวังโดยไม่รอนาง เดิมที่นางพูดว่า “รอท่านอ๋องกลับมารับ” เป็นเพียงการพูดส่งเดชไป
ใครจะคิดว่าไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี ท่านอ๋องจะกลับมารับนางจริง ๆ !
บ่าวเด็กชายมองหยุนหว่านหนิงอย่างตกตะลึง แล้วมีท่าทีเคารพต่อนางมากยิ่งขึ้น
หยุนหว่านหนิงกอดอกยืนอยู่หน้ารถม้า “ใครบางคนตื่นแต่เช้าแล้วหายไปไว้กว่าผู้อื่นไม่ใช่หรือ ตอนนี้ยังกลับมารับอะไรกันเล่า”
คำนวณเวลาแล้ว ตอนนั้นควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่
โม่เยว่กลับมารับนางโดยตั้งใจ เข้าวังไปจับชีพจรให้โม่จงหราน
แต่ขอโทษนะ!
นางไม่ไปแล้ว!
หยุนหว่านหนิงเอนหลังพิงเสา ด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย “จับชีพจรให้เสด็จพ่อ?เจ้ามีความสามารถขนาดนั้นทำไมเจ้าไม่ไปจับชีพจรให้เสด็จพ่อเองเล่า”
“หยุนหว่านหนิง ข้าให้โอกาสเจ้าอีกคราวเดียว”
หรูยี่เปิดม่านรถม้าด้วยความกลัวจนตัวสั่น ใบหน้าเฉยเมยปรากฏตรงหน้านาง “ขึ้นมา”
“ข้าไม่ขึ้น!”
หยุนหว่านหนิงตะคอกอย่างเย็นชา พูดหยอกอยากแง่งอน “วันนี้ข้าร่างกายไม่สบาย จึงเข้าวังไม่ได้”
“ร่างกายไม่สบายงั้นหรือ”
จู่ ๆ โม่เยว่ก็ยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว “เจ้าแกล้งทำเป็นป่วยต่อหน้าข้า?ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสถึง ความรู้สึกที่เจ็บป่วยจริง ๆ !”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แค่ขู่นาง รู้ว่าหากชายปากหมาผู้นี้จนตรอกแล้ว ล้วนทำได้ทุกวิถีทาง
หยุนหว่านหนิงอดไม่ได้ที่จะยืนตัวตรง “เจ้าขู่ข้า?”
“ข่มขู่หรือไม่ เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ”
โม่เยว่หุบรอยยิ้มบนใบหน้า เหลือบมองนางอย่างเย็นชา ยื่นมือไปตบที่ข้าง ๆ “ขึ้นมา”
หยุนหว่านหนิงผวาทันที
“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่า เหมือนจะไม่ได้ไม่สบายตรงไหน”
นางขึ้นรถม้าอย่างฉับไว นั่งลงข้าง ๆ โม่เยว่
แต่ถูกเขาจูงจมูกเช่นนี้ มันน่าขายหน้าจริง ๆ หยุนหว่านหนิงตะคอกเสีบงเบา “ข้าแค่จะเข้าวังไปจับชีพจรให้เสด็จพ่อ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย”
“ความปลอดภัยของเสด็จพ่อเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
เมื่อนางนั่งลงข้าง ๆ เขาแล้ว รถม้าก็เข้าสู่วังอย่างช้า ๆ
โม่เยว่ที่อยู่ด้านไม่ได้พูดอะไร
แต่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ในนัยน์ตาของเขามีรอยยิ้มทอประกาย
……
เมื่อคืนที่โม่เฟยเฟยกลับวังก็ดึกแล้ว
เมื่อวานตอนไปจวนอ๋องหมิง ช่างเป็นการไปที่ไม่เสียเปล่าแก่นางจริง ๆ ไม่เพียงแต่รู้ว่าหยุนหว่านหนิงมีฝีมือทำอาหาร ยังได้เจอเสี่ยวหยวนที่เหมือนกับพี่เจ็ดทุกกระเบียดนิ้ว!
ไม่รู้ว่าเสด็จแม่รู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่…
โม่เฟยเฟยตื่นแต่เช้าตรู่
เดิมทีต้องการไปพบเต๋อเฟยโดยตรง เล่าเรื่องหยวนเป่า
ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะได้ออกประตู ฉินซื่อเสวียก็เข้ามา
“เฟยเฟย นี่เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ”
นางมีสีหน้าห่วงใย ส่งน้ำแกงโสมคนในมือให้โม่ลี่ “ตื่นแต่เช้าต้มน้ำแกงโสมคน เพิ่งสั่งให้จื่อซูส่งไปตำหนักหย่งโซ่วแล้ว เลยเอามันมาให้เจ้าด้วย”
“ขะ…ขอบคุณมาก พี่สะใภ้สาม”
สีหน้าโม่เฟยเฟยไม่เป็นธรรมชาติ
ในอดีตนางถือว่าฉินซื่อเสวียเป็นพี่สะใภ้แท้ ๆ จากใจจริง แม้กระทั้งปฏิบัติดั่งพี่สาว
แต่ตอนนี้หลังได้ไปมาหาสู่กับหยุนหว่านหนิงแล้ว ถึงนางอธิบายความรู้สึกนั้นไม่ได้ แต่สบายใจกว่ากับการอยู่กับฉินซื่อเสวีย!
“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีอะไรต้องเกรงใจกันนี่”
ฉินซื่อเสวียยิ้มอย่างอ่อนโยน จูงมือนางเดินเข้าประตูด้วยกัน “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าไปจวนอ๋องหมิงหรือ พระชายาหมิงได้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือเปล่า”
ที่แท้ นางรู้ว่านางไปจวนอ๋องหมิงมา วันนี้เลยเข้าวังมาเจอนางโดยเฉพาะ
คิดถึงสิ่งที่หยุนหว่านหนิงพูดก่อนหน้านี้…
สี่ปีก่อน นางถูกฉินซื่อเสวียปองร้าย โม่เฟยเฟยก็ดึงมือทันที
มือฉินซื่อเสวียว่างเปล่า ใบหน้าแข็งทื่อ “เฟยเฟย เจ้าเป็นอะไรไป”
“นางอยู่ดี ๆ จะรังแกข้าไปทำไม”
น้ำเสียงโม่เฟยเฟยเย็นชาขึ้นหนึ่งส่วน “พี่สามจากเมืองหลวงก็ครึ่งเดือนแล้วใช่ไหม ช่วงนี้พี่สะใภ้สามคุ้นเคยแล้วหรือยัง พี่สามได้ส่งจดหมายกลับมาหรือไม่”
เห็นท่าทีนางวันนี้ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเย็นชาขึ้นไม่น้อย
แต่ในคำพูด ก็ดูเหมือนห่วงใยนาง…
ระหว่างนั้น ฉินซื่อเสวียก็ยังมองใจนางไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
นางใช้รอยยิ้มกลบความสงสัยในแววตา “มีอะไรให้คุ้นเคยหรือไม่กัน ข้ากับพี่สามเจ้าล้วนเป็นคู่เก่าคู่แก่แล้ว!ตลอดทั้งวันข้าดูแลลูก ก็ไม่มีเวลาคิดถึงพี่สามเจ้าแล้ว”
“คำนวณเวลา ท่านอ๋องคงถึงชายแดนแล้ว จดหมายทางบ้านน่าจะส่งกลับมาเร็ว ๆ นี้”
ขณะพูด ทั้งคู่แยกกันนั่งที่ โม่เฟยเฟยก็สั่งให้คนยกชามา
ในเมื่อฉินซื่อเสวียก็มาแล้ว นางคงจะพูดลำบากว่าจะไปตำหนักหย่งโซ่ว
ไม่รู้ว่านางรู้ถึงตัวตนของหยวนเป่าหรือไม่…
แต่ตอนนี้โม่เฟยเฟยแอบเข้าข้าง ไปทางหยุนหว่านหนิงกับหยวนเป่า กลัวว่าสตรีนางนี้รู้เข้าจะคิดทำมิดีมิร้ายลับหลัง
นางเลยเอาเรื่องที่อยู่ในใจเก็บลงไป “ไม่รู้ว่าวันนี้ พี่สะใภ้สามมาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ”
เห็นท่าทีนางยังคงเย็นชาอยู่ ในใจฉินซื่อเสวียก็แน่วแน่ว่า ต้องเป็นนังคนชั้นต่ำหยุนหว่านหนิง ที่พูดถึงนางไม่ดีต่อหน้าโม่เฟยเฟย!
เมื่อคืนนางพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ กลัวว่าเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนจะถูกเปิดเผยออกมา
ที่จริงแล้วหยุนหว่านหนิงในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม นางยังเคยข่มขู่นางอย่างชัดเจน บอกว่าหากกล้าคิดทำมิดีมิร้ายต่อนางอีก นางก็จะเอาเรื่องทั้งหมดของเมื่อสี่ปีก่อนออกมาพูด
ฉินซื่อเสวียไม่กล้าที่จะเสี่ยง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของนางกับโม่หุยเฟิงขุ่นเคืองกัน แล้วโม่เยว่ก็ไม่ยอมแม้แต่เหลือบมองนาง
ดังนั้น ฉินซื่อเสวียจึงฝืนยิ้ม แสดงใบหน้าผิดหวังเล็กน้อย “เฟยเฟย พระชายาหมิงได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้าต่อหน้าเจ้าหรือเปล่า”
“ช่วงนี้ เจ้ากับท่านพี่เยว่เปลี่ยนไปมาก เหมือนจะปฏิบัติต่อข้าอย่างเย็นชาเลย”
น้ำเสียงของนางแฝงความหยั่งเชิงหลายส่วน…