อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่223 เจ้าเจ็ดต่ำต้อยมาก
เดิมทีนางคิดว่าซ่งจื่ออวี๋มา
แต่หลังจากคิดดูอีกที คนรับช้ของตระกูลกู้ไม่รู้จักซ่งจื่ออวี๋สักหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติ?
หยุนหว่านหนิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินกู้ป๋อจ้งพูดว่า “ในเมื่อเป็นแขกผู้มีเกียรติ ยังไม่รีบเชิญเข้ามา?ดึกดื่นเช่นนี้ จะให้แขกผู้มีเกียรติยืนเป่าลมหนาวนอกประตูหรือ? ”
“นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของตระกูลกู้หรือ?”
“ขอรับ นายท่าน”
ในเวลานี้ ก็ได้ยินกู้หมิงพูดว่า “ในเมื่อมาหาหนิงเอ๋อร์ งั้นพวกข้าก็หลบหลีกหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไร! ท่านลุงพวกท่านนั่งก่อน ข้าออกไปดูหน่อยว่าเป็นใคร”
หยุนหว่านหนิงกลัวว่าผู้ที่มาจะทำให้หยวนเป่าตื่น และรู้ด้วยว่ากู้ป๋อจ้งกับกู้หมิงไม่ชอบพบเจอคนนอก ดังนั้นจึงลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกไป
ข้างนอกมีลดพัด มีความหนาวเย็นเล็กน้อย
ทันทีที่หยุนหว่านหนิงเดินไปถึงที่หน้าประตู คนรับใช้ก็นำ “แขกผู้มีเกียรติ” เข้ามาแล้ว
แขกผู้มีเกียรติท่านนี้สวมหมวก คลุมหน้าไว้ ซึ่งดูลึกลับยิ่งนัก
แต่ดูรูปลักร่างกายก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก “แขกผู้มีเกียรติ” ก็ได้เดินมายันตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว จับมือของนาาง “พี่สะใภ้เจ็ด เจ้าให้ข้ารอนานยิ่งนัก!”
โม่เฟยเฟยถอดผ้าคลุมหน้าและหมวกออก
“เฟยเฟย?เจ้ามานี่ได้อย่างไร? ”
หยุนหว่านหนิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เจ้าทำตัวลึกลับเช่นนี้ทำไม?”
“วันนี้ข้าแอบออกจากวัง”
โม่เฟยเฟยมองดูรอบๆอย่างระมัดระวัง จับมือของหยุนหว่านหนิงแล้วเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ก่อน “พี่สะใภ้เจ็ดข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า พวกข้าไปคุยกันได้ในเถอะ”
เมื่อเห็นนางพลิกจากสถานะแขกมาเป็นเจ้าบ้าน แถมยังทำท่าทางเหมือนวัวสันหลังหวะ หยุนหว่านหนิงเพียงรู้สึกตลก
หลังจากเข้าไปในห้องโถงใหญ่ โม่เฟยเฟยจึงค่อยพบว่า ข้างในยังมีคนนั่งอยู่หลายคน
ในอ้อมแขนของเขาโม่เยว่กำลังอุ้มหยวนเป่าที่หลับสนิทไปแล้วไว้ ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงนั้นเป็นกู้ป๋อจ้ง ที่ด้านล่างขวาเป็นกู้หมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็น……
เมื่อเห็นกู้หมิง ดวงตาทั้งคู่ของโม่เฟยเฟยก็เบิกกว้างทันที
“เฟยเฟย เจ้ามาหาข้าดึกดื่นนี้ทำอะไร?”
หยุนหว่านหนิงถาม
โม่เฟยเฟยไม่ตอบกลับ ท่าทางเหมือนดวงวิญญาณออกจากร่าง
หยุนหว่านหนิงเดินไปตรงหน้าหล่อนด้วยความสงสัย ก็เห็นหล่อนกำลังจ้องมองกู้หมิง……นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เอื้อมมือออกไปและโบกไปมาตรงหน้าหล่อน “เฟยเฟย? ”
“เป็นอะไรไปนี่ เห็นผีหรือ?”
โม่เฟยเฟยไม่ตอบ เพียงจับมือนาง และดึงมันลง
สายตายังคงจับจ้องไปที่กู้หมิง อย่างละสายตาออกไม่ได้
สภาพนี้ ยิ่งทำให้หยุนหว่านหนิงอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
ไม่เคยเห็นคนนั่งรถเข็นหรือ?
“เจ้าเป็นไรไป? ห่านสมองทื่อ? ”
หยุนหว่านหนิงยื่นนิ้วออกไป และจิกหน้าผากของหล่อนเบาๆ โม่เฟยเฟยจึงค่อยเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ได้สติและหันมองนาง “พี่สะใภ้เจ็ด ท่านนี้คือ?”
“นี่คือลุงของข้า กู้หมิง”
หยุนหว่านหนิงยักคิ้วขึ้นและถามว่า “มีอะไรหรือ?”
“เปล่า ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเขาเหมือนคนคนหนึ่ง……”
โม่เฟยเฟยเกาหัว
กู้หมิงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “องค์หญิงเก้า”
กู้ป๋อจ้งก็ลุกขึ้น และคารวะนาง “องค์หญิงเก้า”
“นายท่านกู้ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”
โม่เฟยเฟยยิ้ม เดินถอยหลังสองก้าวและนั่งลง โดยไม่ได้สนใจโม่เยว่ และยังคงมองดูกู้หมิงอย่างสงสัย “ที่แท้เจ้าก็คือท่านรองกู้ในข่าวลือนี่เอง?”
“ในข่าวลือ?”
คำเปรียบเทียบนี้ทําให้รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้หมิงลึกซึ้งยิ่งขึ้น “ไม่ทราบว่าองค์หญิงเก้า ฟังข่าวลือของใครมา?”
“ข้าลืมไปแล้ว”
โม่เฟยเฟยส่ายหัว
นางครุ่นคิดดีๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นโม่ลี่พวกนาง มักจะพูดนินทาข้างหูนางมาโดยตลอด
บอกว่าท่านรองกู้ของตระกูลกู้ เป็นบุรุษรูปงามที่หายากในเมืองหลวง
ตอนนั้นนางกู้แม่ของหยุนหว่านหนิง ก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเช่นกัน
โดยรวมแล้ว ตระกูลกู้มักมีแต่คนงาม
หญิงงาม บุรุษรูปงามล้วนเป็นเช่นนี้
แต่น่าเสียดาย ท่านรองกู้นี้ป่วยเป็นโรคมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แทบไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเลย มีคนส่วนน้อยนักที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
ดังนั้นโม่เฟยเฟยจึงมีความประทับใจเล็กน้อย
ตอนนี้มองดูอีกที……
แม้ว่าท่านรองกู้จะใหญ่กว่านาง แต่หน้าตาดูหล่อเหลา ออร่าอ่อนโยน
แม้จะนั่งรถเข็นทำอะไรไม่สะดวก แต่ใบหน้านี้ และออร่าบนกายนี้ ก็เพียงพอที่จะทําให้ผู้คนหลงระเริงไปกับมันแล้ว
เขาเหมือนดั่งสระน้ำแร่
ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ สามารถนําความอบอุ่นมาให้กับผู้คนได้
ต่อให้จะจมน้ำตายในนั้น ก็เต็มใจยิ่งนัก
สายตาของโม่เฟยเฟย มีความหลงใหลเล็กน้อย
กู้หมิงก็ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคย “ข่าวลือนั้นกู้หมิงมิมิบังอาจน้อมรับ ข้าเพียงป่วยเป็นโรคเก่า จึงกระจายข่าวลือลึกลับเหล่านั้นออกมาเท่านั้น”
หยุนหว่านหนิงจิบชาไปคำหนึ่ง
“เฟยเฟย เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าตกลงเจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องอะไร?”
นางหันไปมองโม่เฟยเฟย “หามาถึงตระกูลกู้ได้อย่างไร?มีเรื่องเร่งด่วนอะไรจริงหรือ? ”
โม่เฟยเฟยรีบละสายตาออก
ตอนนี้ในเมื่อถือหยุนหว่านหนิงพี่สะใภ้คนนี้เป็นพี่สาวแท้ๆแล้ว เช่นนั้นตาของหล่อนก็เป็นตาของนางเช่นกัน
ลุงของหลอน ก็เป็นลุงของนาง!
โม่เฟยเฟยกล่าวว่า “ก็ต้องมีเรื่องสําคัญอยู่แล้ว! ข้ารอเจ้าในจวนอ๋องหมิงตั้งแต่ยามโหย่ว แต่เจ้าไม่กลับมา สักที คนรับใช้บอกว่าเจ้ากับพี่เจ็ดมารับหยวนเป่าที่ตระกูลกู้ ข้ารอไม่ไหวจึงมาหาเจ้า”
“หากสายกว่านี้ ประตูวังก็จะล็อกแล้ว!”
พูดอย่างนั้น นางก็เหลือบมองกู้ป๋อจ้งกับกู้หมิง
“แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสําคัญ แต่ท่านตากับท่านลุงไม่ใช่คนนอก ดังนั้นข้าจึงขอพูดตรงๆเลย”
อีนังหนูนี้พูดอย่างกับเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว
“ท่านตา” “ท่านลุง” เรียกได้สนิทกว่าหยุนหว่านหนิงอีก!
กู้ป๋อจ้งรีบโบกมือ “องค์หญิงเก้า ข้าน้อยมิบังอาจน้อมรับ”
เขาลุกขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้ามีเรื่องจะคุยกัน เช่นนั้นข้าก็หลบหลีกหน่อยดีกว่า”
เดิมทีกู้หมิงก็อยากจากไปเช่นกัน แต่กลับถูกโม่เฟยเฟยเรียกไว้ “ท่านลุงท่านอยู่ต่อได้! พวกข้าต่างก็เป็นวัยรุ่นกัน ไม่มีอะไรน่าหลบหลีก”
กู้ป๋อจ้งที่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู: “……”
แท้งใจยิ่งนัก!
ดังนั้นเพียงเพราะเขาเป็นชายชราคนหนึ่ง องค์หญิงเก้าจึงไม่คิดที่จะรั้งเขาเอาไว้?
ช่างเถอะ ช่างเถอะ เรื่องของวัยรุ่น เขาก็ไม่สามารถพูดแทรกไรได้!
กู้ป๋อจ้งเอามือไขว้หลังเดินเข้าในความมืด
กู้หมิงจึงต้องอยู่ต่อ และฟังโม่เฟยเฟยพูดด้วยความอดทน
“พี่สะใภ้เจ็ด คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ เมื่อคืนข้าไปร้องเรียนกับเสด็จพ่อ บอกว่าซุนตายิ่งอีนังแพศยานั้น มันคิดจะใส่ร้ายข้า และคิดจะดึงข้าลงคลุกโคลน? ” (ดึงลงคลุกโคลน=ถูกชักจูงไปทำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ตนมิชอบ)
ทันทีที่โม่เฟยเฟยเอ่ยปาก ก็ระบายความในใจออกมาอย่างเต็มที่
“ซุนตายิ่งถูกตี แต่ก็ยังคงไม่ยอมบอกชื่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมา”
“ข้าโกรธมาก! ข้าจึงพัวพันเสด็จพ่อ และขอให้เขาต้องให้คำตอบแก่ข้า”
หยุนหว่านหนิงอับอายจนเหงื่อตก “แล้วไงต่อ? ”
“จากนั้นเสด็จพ่อก็ตีซุนตายิ่งอีกครั้ง! เจ้ารู้หรือไม่ว่าอีนังแพศยานั้นมันพูดอะไร? ”
โม่เฟยเฟยกํามือแน่นด้วยความโกรธจัด นางทำหน้าหงิกหน้างอ
หยุนหว่านหนิงถูกกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น “พูดอะไร?”
“นางบอกว่า ไม่มีคนบงการนาง! นางเพียงแค่คิดแค้นเสด็จแม่เท่านนั้น คิดว่าข้าโง่ที่สุด และหลอกง่ายที่สุด ดังนั้นจึงทําเช่นนี้! ”
โม่เฟยเฟยทุบโต๊ะอย่างโกรธจัด ถ้วยน้ำชาก็ดัง “เปรี๊ยะ”
หยวนเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่เยว่ตกใจ เขาก็รีบกอดเขาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม
เขาเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจ
สายตานั้นกำลังโทษนางอยู่ชัดๆ
ในใจของโม่เยว่คิดว่า น้องสาวโตขนาดนี้แล้ว เมื่อทําผิดแล้วตีสักหน่อยก็ได้อยู่
เขาอุตส่าห์ได้อุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน หากถูกปลุกตื่นขึ้นมาลูกชายจะเอาแต่แม่ไม่เอาเขา……
ลูกชายจะถูกปลุกตื่นไม่ได้!
——เจ้าเจ็ดถ่อมตนยิ่งนัก
โม่เฟยเฟยแลบลิ้น รีบเก็บมือและลดเสียงลง “พี่สะใภ้เจ็ด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อลงโทษซุนตายิ่งอย่างไร?”