อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 106 ไม่ไหวก็ต้องไหว
ตอนที่ 106 ไม่ไหวก็ต้องไหว
กลับถึงบ้าน เย่ว์จือเหิงและคนตระกูลตี้ก็รีบเข้ามารุมล้อมสอบถามพวกเขาด้วยความเป็นห่วงทันที
“เสี่ยวเยาเยา หนูไม่เป็นไรใช่ไหมจ๊ะ” ย่าตี้ดึงมู่เถาเยาเข้ามายืนใกล้ๆ และมองเธอขึ้นลงหลายรอบเพื่อสำรวจ
เดิมทีเวลานี้ควรจะเป็นเวลางีบพักกลางวันของทุกคน แต่พวกเขาเป็นห่วงเธอมากจนนอนไม่หลับ
แม้จะรู้ว่าเธอสบายดีจากข่าวที่แจ้งมาก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้นึกหวาดกลัวในภายหลัง
“ย่าตี้คะ หนูสบายดีค่ะ แค่วิ่งไปช่วยคน หนูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
“ดีจ้ะ ดีแล้ว พวกเรากลัวกันแทบตายแน่ะ”
“น้องสาว พี่ให้คนคอยดูอินเทอร์เน็ตไว้แล้ว ถ้ามีคนโพสต์วิดีโอ วิดีโอนั้นจะถูกลบออกทันที”
น้องสาวเรียกพ่อว่าพ่อ ถ้าศัตรูที่ลักพาตัวน้องสาวไปเมื่อสิบแปดปีก่อนรู้ว่าเธอยังไม่ตาย ไม่แน่พวกมันอาจกลับมาทำร้ายเธออีก
เป็นความจริงที่พวกเขาต้องการลากไอ้ชั่วที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดออกมา แต่มันต้องไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของน้องสาวเขา!
พวกเขาไม่อนุญาตให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก!
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย ทางฉันเองก็สั่งคนเอาไว้แล้วเหมือนกันและได้ติดต่อสถานีตำรวจไปแล้ว วิดีโอนั้นจะไม่ถูกเผยแพร่ออกไป”
เขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของประเทศ การจับตาดูเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก
ค้นหาผู้ที่ถ่ายวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือจากกล้องวงจรปิด แฮก จากนั้นก็ลบทิ้ง
สถานการณ์ที่น่าสลดใจในตอนนั้น มีไม่กี่คนหรอกที่มีกะจิตกะใจถ่ายรูปหรืออัดวิดีโอไว้
สำหรับบุคลากรพิเศษบางคน งานนี้ไม่ยาก ภาระงานก็ไม่หนัก
“ขอบคุณค่ะ” อันที่จริงเธอไม่กลัวสักนิด
เธอไม่สนใจว่าศัตรูเป็นใครหรือมีจุดประสงค์อะไร ตราบใดที่อีกฝ่ายกล้าเคลื่อนไหว เธอก็ไม่รังเกียจที่จะส่งพวกมันไปลงนรกทั้งหมด!
แค่กระบวนท่าเดียว เธอก็ฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายๆ แล้ว!
การปล่อยให้อีกฝ่ายกระโดดโลดเต้นไปมามันก็น่ารำคาญเหมือนกัน
ดูสิว่าแต่ละวันเธอยุ่งแค่ไหน ไม่มีเวลาไปเล่นเกมกับอีกฝ่ายอย่างช้าๆ หรอกนะ!
“น้องสาว คราวหน้าคราวหลังอย่าได้ทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีกนะ” เย่ว์จือเหิงยังคงมีสีหน้าที่เคร่งเครียด
รถกำลังจะระเบิด แต่เธอก็รั้นวิ่งเข้าไปช่วยคน ถ้าไม่ทัน เธอคงจะ…
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เย่ว์จือเหิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก
“…อ้อ” ตราบใดที่ไม่เจอซึ่งหน้า เธอก็จะไม่ทำอีกอย่างแน่นอน
“ซาลาเปาน้อย บ่ายนี้เธอยังต้องกลับไปเรียนหรือเปล่า”
เย่ว์หลั่งและเย่ว์จือเหิงพร้อมใจกันมองไปที่ลูกสาว น้องสาวของพวกเขาเป็นตาเดียว
พวกเขาจะไปจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้แล้วจึงต้องการใช้เวลากับเธอให้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะนั่งเฉยๆ ไม่ได้คุยกัน ตราบใดที่พวกเขายังมองเห็นเธอทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น มันก็เพียงพอแล้วจริงๆ
“ไม่ไปแล้วค่ะ ไม่มีธุระอะไรมากด้วย” นักเรียนที่ต้องส่งเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกเสร็จแล้ว
พรุ่งนี้ค่อยหาเวลาทำการบ้านที่ยังค้างอยู่
“ซาลาเปาน้อย วันนี้อากาศดีมาก ตอนเย็นต้องมีเมฆหลากสีแน่ๆ เราออกไปจับปลามาปิ้งกินกันดีไหม” ตี้อู๋เปียนแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
เย่ว์หลั่งและเย่ว์จือเหิงมองไปที่เขาราวกับต้องการจะควักเนื้อเขาออกมา
ให้ตายเถอะ!
ไปทางไหนก็เห็นแต่หมอนี่อยู่ทุกที่!
ทำตัวเป็นแจกันดอกไม้ที่เงียบสงบไม่ได้หรือไง!
พ่อกับพี่ชายยังไม่ได้พูดเลย ถึงตานายต้องพูดแล้วไหม
ช่างไม่รู้ความ!
ตี้อู๋เปียนทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของชายสองคนที่จับจ้องมาที่เขา
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาอดใจไม่ไหวอยากคุยกับซาลาเปาน้อยให้มากขึ้นล่ะ
มู่เถาเยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงถุงลมน้อยที่เอาแต่คิดเรื่องการจับปลาตลอดทั้งวัน เธอก็พยักหน้า
“งั้นทุกคนขึ้นไปนอนพักกันก่อนสักงีบเถอะค่ะ” ถุงลมน้อยยังงัวเงียไม่ตื่นดีเลย
ย่าตี้ยิ้มและพูดว่า “ได้จ้ะ งั้นพวกเราขอตัวไปนอนก่อน อาหลั่ง อาเหิง เสี่ยวเยาเยา อู๋เปียน พวกเธอเองก็ไปพักด้วยนะ”
หลายคนพยักหน้า
กลุ่มคนเดินขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยกัน
เดิมทีมู่เถาเยาต้องการเข้าไปในห้องอ่านหนังสือของตี้อู๋เปียน แต่พ่อและพี่ชายของเธอเอาแต่จ้องตาไม่กะพริบจนเธอต้องเปลี่ยนเป้าหมายแล้วเลี้ยวเข้าห้องนอนของตัวเองไป
ช่างเถอะ นอนพักสักครู่ก็ดีเหมือนกัน
ประมาณบ่ายสามโมง ทุกคนก็ลงมาที่ชั้นล่าง
หลังจากดื่มชายามบ่ายในห้องนั่งเล่น ตี้อู๋เปียนก็สั่งให้พ่อบ้านจงเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำบาร์บีคิวและสิ่งของอื่นๆ แล้วย้ายไปที่ริมแม่น้ำชิงซี
ถุงลมน้อยจับมือมู่เถาเยาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างถือถังสีแดงใบเล็ก รีบวิ่งไปที่ริมแม่น้ำตื้นๆ พร้อมกับเสี่ยวเฮยเฮยอย่างตื่นเต้น
“พี่สาว จับปลาไปย่างกัน”
“อันเหยี่ยชอบกินบาร์บีคิวด้วยเหรอคะ”
“ชอบครับ” หอมๆ ! อร่อยสุดๆ !
ในความเป็นจริง มู่เถาเยารู้ว่าโดยพื้นฐานแล้วเด็กๆ ชอบกินอะไร และพวกเขาก็ชอบที่จะเล่นในขณะที่กิน
ท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงเต็มไปด้วยเมฆสีแดง
เย่ว์หลั่ง เย่ว์จือเหิง และตี้อู๋เปียน รับผิดชอบในการย่าง ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองคน มู่เถาเยา และถุงลมน้อยรับผิดชอบการกิน
ตี้อู๋เปียนไม่สามารถกินของที่มีรสชาติจัดจ้านแบบนี้ได้ เขากินได้เฉพาะอาหารที่อบในกระดาษฟอยล์เท่านั้น
มู่เถาเยา “ตี้อู๋เปียน คุณไปนั่งพักก่อนเถอะ อย่าให้ตัวเองต้องเหนื่อยเกินไป เดี๋ยวฉันรับช่วงต่อเอง”
“ไม่เป็นไร เธอกินไปเถอะ ฉันยังไหว” เป็นคำว่ายังไหวที่กระท่อนกระแท่นมาก
ต่อหน้าพ่อและพี่ชายของเธอ เขาไม่ไหวก็ต้องไหวให้ได้
“นายน้อย คุณควรฟังตามที่หมอเทวดาน้อยมู่บอกนะครับ” ไป๋เฮ่าอวี๋ลนลานแล้วจริงๆ
เขาอยากเข้าไปช่วย แต่คนดันรังเกียจหาว่าของที่เขาทำไม่อร่อยจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือ
อันที่จริงฝีมือของเขาดีมาก!
เหอะๆๆ !
นายน้อยแค่ต้องการแสดงฝีมือของตัวเองต่อหน้าหมอเทวดาน้อยมู่! เขาดูออกหมดแล้วโอเคไหม!
เย่ว์จือเหิงหันไปพูดกับเขาว่า “อู๋เปียน นายไปพักผ่อน ถ้าเกิดเหนื่อยจนล้มขึ้นมาเดี๋ยวน้องสาวฉันต้องเหนื่อยมารักษาให้นายอีก”
“ผม…ก็ได้”
ซาลาเปาน้อยยุ่งมาก ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเวลามานั่งเล่นพักผ่อนด้วยกัน เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้เธอเพิ่ม
เย่ว์จือเหิงเห็นอกเห็นใจชายหนุ่มรูปงามแต่ขี้โรคคนนี้จริงๆ
ตลอดหลายวันมานี้หลังจากที่ได้พูดคุยและอยู่ด้วยกัน เขาพบว่าตี้อู๋เปียนไม่มีข้อบกพร่องอื่นใดเลยนอกจากความเจ็บป่วยและความอ่อนแอ!
ทั้งฉลาดหลักแหลม สายตาเฉียบคม แถมยังมีมันสมองที่สั่งการได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์อีก
จนถึงตอนนี้ เขายอมรับเพียงน้องสาวของเขาคนเดียวเท่านั้นว่าเก่งกาจกว่าตัวเอง ส่วนคนที่เหลือล้วนทัดเทียมกับเขา
เคยมีครั้งหนึ่งตี้อู๋เว่ยเคยเปรยถึงความสามารถตี้อู๋เปียนน้องชายของเขาให้ฟัง แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดจริงจังและคิดว่าเป็นเพียงคำชมของพี่ชายที่หลงน้องชายจนหน้ามืดตามัว จึงมองว่าเขาพูดเรื่องไร้สาระ
ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริงทั้งหมด
ถ้าหากเขาได้รับการช่วยเหลือ ด้วยมันสมองระดับนี้ของเขา ประเทศเหยียนหวงจะต้องขึ้นมาเป็นมหาอำนาจปกครองโลกนี้ได้อย่างแน่นอน!
มู่เถาเยาพาถุงลมน้อยไปนั่งที่เดิมที่ตี้อู๋เปียนเพิ่งลุกไปเมื่อสักครู่ แล้วขยับไปพลิกปลาครึ่งที่สุกแล้วขึ้นมา ปลาตัวใหญ่ดูเนื้อนุ่มแน่นน่ากินมาก
“น้องสาว ไปกินต่อเถอะเดี๋ยวพี่ทำเอง”
“ฉันกินใกล้จะอิ่มแล้วล่ะค่ะ พี่ใหญ่กับพ่อไปนั่งกินเถอะ เดี๋ยวฉันย่างให้”
เย่ว์หลั่งต้องการที่จะร้องไห้อีกครั้ง!
ลูกสาวสุดที่รักของเขากตัญญูขนาดนี้ทำอย่างไรดี!
“อันเหยี่ยย่าง ลุงใหญ่กับพี่ใหญ่ไปกินนะครับ” เขาสามารถทำได้!
มู่เถาเยาชำเลืองมองถุงลมน้อยพร้อมกับรอยยิ้มน่ามองบนใบหน้าของเธอ และพูดกับเย่ว์หลั่งและเย่ว์จือเหิงว่า “พ่อกับพี่ใหญ่ไปกินข้าวกับปู่ตี้ย่าตี้และตี้อู๋เปียนเถอะค่ะ”
“ได้”
ไป๋เฮ่าอวี๋หยิบปีกไก่และเนื้อแกะเสียบไม้จากทั้งสองคนที่กำลังย่างอยู่
เขาต้องกำจัดคำใส่ร้ายที่ว่า ‘ไม่อร่อย’ ให้ได้ นายน้อยจะได้มองเขาใหม่เสียที!
ทุกคนมีความสุขกับบาร์บีคิวร้อนๆ มื้อเย็นนี้มาก
หลังจากที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจนหมด ทุกคนก็ออกจากริมแม่น้ำและกลับไปที่ห้องนั่งเล่นของตึกหลัก
คนตระกูลตี้ขอตัวผละไปพักผ่อนอย่างชาญฉลาดและเหลือพื้นที่ไว้ให้พวกเขาสามคนได้ใช้เวลาร่วมกัน
“น้องสาว พ่อกับพี่จะออกจากเย่ว์ตูพรุ่งนี้แล้ว น้องมีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมหรือเปล่า พี่จะหามาให้”
เพราะความรัก ดังนั้นจึงมักกลัวว่าที่ให้ไปจะไม่พอ
“ฉันมีทุกอย่างครบแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้างั้นหลังจากที่พี่กลับไป พี่จะรับช่วงต่ออำนาจทางการทหารจากปู่และย่ามาทั้งหมด ให้พวกท่านทั้งสองคนได้พักผ่อนอย่างสบายซะที ช่วงนี้พี่อาจมาหาน้องได้น้อยลง” เยว่จือเหิงเศร้ามาก
เขาชักอิจฉาน้องชายเสียแล้วสิ เพราะอากวงสามารถออกจากเผ่าได้ทุกเมื่อตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ลูกรัก พี่ชายของลูกจะล่วงหน้ากลับไปที่เผ่าก่อน ส่วนพ่อจะแวะไปเยี่ยมแม่ของลูกที่หมู่บ้านเถาหยวนซานแล้วค่อยกลับไป”
“อืม เดี๋ยวหนูฝากของเอาไปให้…แม่ด้วยนะคะ”
เย่ว์หลั่งสะอื้นไห้อย่างหนัก
ตื้นตันใจ!
มู่เถาเยามองไปที่เย่ว์จือเหิง สายตาบอกว่าต้องการขอให้เขาช่วยปลอบพ่อให้หยุดร้องไห้ที
ใครจะรู้เย่ว์จือเหิงเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน
น้องสาวยอมรับพวกเขาทั้งหมดแล้ว!
เธอช่างดีอะไรขนาดนี้! ทั้งจิตใจดีและอ่อนโยน!
โชคดีที่พ่อแก่ๆ ตรงหน้าไม่ร้องไห้นานนัก จากนั้นพวกเขาก็เริ่มกลับมาพูดมากอีกครั้ง
ทั้งสองเล่าให้เธอฟังตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในครอบครัวไปจนถึงเรื่องการทหาร
มู่เถาเยารับฟังอย่างตั้งใจ
ท่าทีที่เชื่อฟังว่าง่ายและน่ารักของเธอ ทำให้หัวใจของพ่อลูกสุดแกร่งของเผ่าเหลวจนกลายเป็นน้ำ