อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 112 เป็นเพียงเครื่องมือ
ตอนที่ 112 เป็นเพียงเครื่องมือ
เป็นไปตามที่มู่เถาเยาคาดไว้ หลังจากที่สองสาวได้ทำความรู้จักกัน พวกเธอก็พูดคุยกันอย่างถูกคอมาก
คำพูดนั้นช่างคุ้นเคยราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปี ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด
มู่เถาเยานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ไม่ทันถึงสองนาทีเธอก็รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน
ดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินไปอีกฝั่งเพื่อโทรหาผู้ใหญ่บ้านมู่อี้ซึ่งเป็นพ่อของมู่หว่าน
แม้ว่าพวกเขาจะบอกแล้วว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ไม่สามารถไปเยี่ยมมู่หว่านที่เมืองเฟิงตูได้ แต่ลูกมาไกลขนาดนี้ตามลำพัง ยังไงก็ต้องแจ้งคนในครอบครัวของเธอให้ได้ทราบ
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จและหันกลับมา สองสาวก็นั่งติดกันแล้ว ตำแหน่งที่นั่งตรงกลางของเธอคงไม่เหลือที่ว่างแล้วล่ะ
มู่เถาเยาเลิกคิ้วอันสวยงามนั้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบผลนมหมาป่าจากตู้เย็น ล้างและหั่นมัน แล้วยกออกมาให้พวกเธอกินเล่นขณะพูดคุยกัน
“เสี่ยวเยาเยา เธอใจดีจัง!”
มู่หว่านเงยใบหน้าไร้เดียงสาอันเป็นใบหน้าที่เด็กสาวอายุสิบแปดปีควรมี พลางยิ้มร่าให้มู่เถาเยา
เจียงเฟิงเหมียนพยักหน้าหงึกหงัก เธอเห็นด้วยกับคำพูดของมู่หว่านมากๆ!
พี่เยาเยาแสนดีมากๆๆๆๆๆเลย!
มู่เถาเยาหลุดหัวเราะ
“เสี่ยวหว่าน เธอจะพักผ่อนสักหน่อยไหม เมื่อเช้าก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปขึ้นเครื่อง”
“ไม่ต้องหรอกๆ ฉันไม่เหนื่อยไม่ง่วงเลยสักนิด”
เพิ่งจะเข้าวัยหนุ่มสาว แถมยังเรียนวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ตื่นเช้าแค่ครั้งเดียว ทำไมจะทนไม่ไหว!
เรื่องจิ๊บจ๊อย!
“พี่เยาเยา ในเมื่อพี่เสี่ยวหว่านไม่เหนื่อย และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่เมืองเย่ว์ตู งั้นเราพาเธอออกไปเที่ยวกันเถอะ”
“เสี่ยวหว่านอยากออกไปข้างนอกไหม”
“อื้มๆ”
“งั้นไปกันเถอะ”
สองสาวกรีดร้องอย่างตื่นเต้น เหมือนเด็กอนุบาลที่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ให้ออกไปเที่ยวเล่นยังไงอย่างงั้น
นัยน์ตาของมู่เถาเยาปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ
“เสี่ยวเหมียน เธอนั่งรอก่อนนะ ฉันพาเสี่ยวหว่านขึ้นไปเก็บสัมภาระให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะแวะหยิบกล่องยาด้วย”
“โอเคๆ”
ทั้งสองคนรู้ดีถึงนิสัยของมู่เถาเยา ทุกครั้งที่เธอออกไปข้างนอก เธอจะต้องนำกล่องยาขนาดเล็กติดตัวไปด้วยเสมอ
มู่หว่านหิ้วกระเป๋าเป้ของตนเองตามมู่เถาเยาขึ้นไปที่ชั้นบน
บ้านเดี่ยวสามชั้นนี้มีห้องนอนทั้งหมดเพียงห้าห้อง ดังนั้นแต่ละห้องจึงมีขนาดใหญ่มาก
มีห้องนอนใหญ่สองห้อง ห้องหนึ่งของหยวนเหยี่ย อีกห้องหนึ่งของมู่เถาเยา มีห้องพักสำหรับแขกสองห้อง และห้องอ่านหนังสือหนึ่งห้อง
ตอนที่หยวนเหยี่ยอยู่ที่เย่ว์ตูก็อาศัยอยู่ในห้องนอนใหญ่บนชั้นสอง ห้องอ่านหนังสืออยู่ข้างๆห้องนอนของเขา ส่วนห้องรับแขกอยู่ตรงข้ามกับห้องอ่านหนังสือ
ด้านนอกหน้าต่างของทั้งสามห้องมีทิวทัศน์ที่แตกต่างกันสามแบบ คือภูเขา น้ำ และสวนดอกไม้ ซึ่งสวยงามราวกับภาพวาด
ชั้นสามมีสองห้อง ห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องและห้องนอนของแขกอีกหนึ่งห้อง อีกทั้งยังมีระเบียงขนาดใหญ่อีกด้วย
เนื่องจากบ้านเดี่ยวทั้งหลังเป็นสไตล์โบราณ ระเบียงขนาดใหญ่นี้ก็มีสไตล์แบบเดียวกัน
ศาลาในสวน โต๊ะเก้าอี้ และฉากกั้นสลักลายวินเทจ ล้วนทำมาจากไม้…
พืชสีเขียวเลื้อยไต่ขึ้นไปบนศาลาเล็ก ก่อตัวเป็นร่มกันแดดสีเขียวธรรมชาติ เมื่ออยู่ภายใต้เมฆสีขาวของท้องฟ้าเดือนเมษายน ช่างสะดุดตาไม่น้อยเลย
เนื่องจากระเบียงอยู่ติดกับบันได สิ่งแรกที่มู่หว่านเห็นเมื่อเธอขึ้นมาคือระเบียงขนาดใหญ่อันสวยงามและมีสไตล์ย้อนยุค
มู่เถาเยาพามู่หว่านมาถึงชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องพักตรงข้ามกับห้องนอนของเธอ
“เสี่ยวเยาเยา ที่นี่สวยมากเลย!”
“ถ้าชอบ หลังสอบเอนทรานซ์เสร็จก็มาพักอยู่ที่นี่สักช่วงหนึ่งสิ”
“เอาสิๆ ฉันรอเธอปิดเทอมก่อนแล้วค่อยกลับหมู่บ้านเถาหยวนซานด้วยกัน”
“อืม วางกระเป๋าได้แล้ว เราออกไปกันเถอะ ตอนเย็นก็รีบกลับมาพักเร็วหน่อย วันนี้เธอตื่นเช้ามากเลย”
“โอเค”
มู่หว่านวางกระเป๋าเป้ไว้บนโซฟาตัวเล็ก จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วดึงมู่เถาเยาให้เดินออกจากห้อง
เมื่อถึงชั้นสอง จึงไปหยิบกล่องยาที่ห้องอ่านหนังสือแล้วลงไปชั้นล่าง
เจียงเฟิงเหมียนสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กขึ้นไหล่ มู่เถาเยาและมู่หว่านจึงเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเป้ของเธอ
“ออกไปเที่ยวกัน!”
สองสาวควงแขนของมู่เถาเยาทั้งด้านซ้ายและขวา โดยมีมู่หว่านช่วยมู่เถาเยาสะพายกล่องยาเพื่อแสดงความเป็นพี่สาว
เมื่อถูกหนีบอยู่ตรงกลาง มู่เถาเยาก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นนักโทษ “…”
“พี่เสี่ยวหว่าน พี่อยากไปเที่ยวสถานที่แบบไหน”
เจียงเฟิงเหมียนยื่นศีรษะออกไปข้างหน้ามู่เถาเยาและเอียงข้างถามมู่หว่าน
“เย่ว์ตูมีอะไรสนุกๆ บ้างล่ะ”
มู่หว่านก็ยื่นศีรษะไปด้านหน้ามู่เถาเยาและเอียงข้างถามกลับเช่นเดียวกัน
มู่เถาเยา “…”
เพราะงั้นทำไมทั้งสองคนถึงต้องหนีบเธอไว้ตรงกลางด้วย
พูดคุยกันแบบนี้ไม่รำคาญหรือไง
“พี่เสี่ยวหว่าน ตอนนี้เราอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเย่ว์ตู ที่นี่เป็นเขตการศึกษา ทิศใต้เป็นเขตศิลปะ มีการแสดงของศิลปินริมถนนมากมาย ทิศตะวันตกเป็นเขตของเศรษฐี มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามที่สุด ส่วนทิศตะวันออกเป็นเขตเมืองเก่า มีถนนคนเดิน มีชีวิตชีวามาก”
“งั้นจากตรงนี้เราไปที่ไหนได้สะดวกสุด”
“ทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วนทางทิศตะวันตกจะไกลหน่อย”
“โอเค งั้นเราไปทิศตะวันออกของเมืองก่อนแล้วกัน มื้อเย็นก็ทานที่นั่นเลย”
“อืมๆ ฉันรู้ว่าที่นั่นมีร้านอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ ด้วย!”
“งั้นฉันต้องไปชิมรสชาติสักหน่อยแล้ว!”
“…”
ทั้งสองพูดกันไม่หยุด ราวกับว่ามู่เถาเยาเป็นตุ๊กตาเศษผ้าไร้วิญญาณที่ถูกเด็กน้อยทั้งสองลากไปข้างหน้าด้วยมือคนละข้าง
จนกระทั่งขึ้นแท็กซี่ เธอถึงได้รับการปลดปล่อย แล้วฟื้นคืนวิญญาณ
แม้ว่าเธอจะยังคงนั่งอยู่ระหว่างทั้งสองคน แต่อย่างน้อยก็มีคนจำได้ว่าเธอไม่ใช่ตุ๊กตาผ้าที่พูดหรือขยับไม่ได้แล้ว
“พี่เยาเยา โทรหาพ่อให้ฉันหน่อยสิ แล้วบอกว่าคืนนี้ฉันจะพักอยู่บ้านพี่ ฉันยังมีเรื่องต้องพูดกับพี่เสี่ยวหว่านอีกเยอะเลย”
ถ้าเธอโทรไป พ่อของเธอก็ต้องขอหลักฐาน ให้พี่เยาเยาโทรให้น่ะดีแล้ว
มู่หว่านพยักหน้า “ใช่ๆ คืนนี้เราแชร์ห้องกัน พูดคุยกันให้ถึงเช้าไปเลย”
มู่เถาเยา “…โอเค”
ที่แท้เธอก็เป็นเพียงเครื่องมือ
เจียงเฟิงเหมียนหยิบโทรศัพท์มือถือของมู่เถาเยาออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วยื่นให้เธอ
มู่เถาเยาจึงโทรไปหาอาจารย์อาเล็ก
หลังจากพูดเสร็จ ก็ฟังอาจารย์อาเล็กบ่นไปอีกสองสามนาทีก่อนวางสาย
“เสี่ยวเหมียน ฉันบอกเลยนะ ว่าเสี่ยวเยาเยาเป็นเด็กดีมาก! ไม่ว่าจะเด็กอายุสามขวบ ผู้ใหญ่อายุสามสิบปี หรือคนแก่อายุแปดสิบปี เธอก็สามารถคุยได้หมดเลย…” ติ่งอันดับหนึ่ง
“ใช่แล้ว พี่เยาเยาฉลาดสุดๆ! เข้าใจทุกอย่าง! เก่งทุกอย่าง!” ติ่งอันดับสอง
คนขับแท็กซี่ทนไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา
มู่หว่านจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณลุง หัวเราะอะไรเหรอคะ” ไม่มีสาเหตุเลย!
ลุงคนขับคนนี้ก็คือคนที่มาส่งเธอที่เขตเรือนอุ่นรักจากสนามบินเมื่อคราวก่อน
“สาวน้อย ลุงเชื่อแล้วว่าเธอสามารถคุยกับใครก็ได้ แต่ที่เธอกำลังพูดถึงใช่เด็กสาวที่นั่งตรงกลางหรือเปล่า เธอดูไม่เหมือนคนช่างพูดเลย! อีกอย่างมีใครเข้าใจและเก่งทุกเรื่องกัน?”
แม้แต่คนที่มีอายุหนึ่งร้อยปีก็ยังไม่กล้าพูดว่าตนเองเข้าใจและเก่งทุกอย่างเลย!
มู่หว่านร้อนรน
“คุณลุง ลุงไม่รู้จักน้องสาวฉันก็เลยไม่รู้ว่าเธอเก่งกาจแค่ไหน…” บลาๆๆ
หลังจากที่เธอพูดจบ เจียงเฟิงเหมียนก็เอ่ยต่อ
ลุงคนขับ “…” ที่พวกเธอพูดมาทั้งหมดเป็นเทพเซียนหรือไง!
เมื่อมองดูสาวน้อยที่ทั้งเงียบและเย็นชาที่นั่งอยู่ตรงกลางผ่านกระจกมองหลัง เหมือนอย่างที่พวกเธอพูดตรงไหนกัน
มู่เถาเยานิ่งสงบราวกับภูเขา เธอไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลยสักนิด
เป็นเวลาสิบแปดปีแล้วที่เธอเริ่มชินกับการได้รับคำชมจากคนสนิท และชินกับการที่คนแปลกหน้าไม่เชื่อเธอเช่นเดียวกัน